ผู้จัดการรายวัน- ผู้ค้าเผยยอดใช้แอลพีจีทั้งครัวเรือนและขนส่งส.ค. เริ่มชะลอตัวลง หลังราคาน้ำมันลด และคนประหยัด อีกทั้งผู้ใช้ยังรอกพช. ชี้ขาดขึ้นราคาหรือไม่ แนะรัฐกล้าตัดสินใจขึ้นราคา หวั่นเกิดปัญหาไม่เพียงพอจนต้องนำเข้าเพิ่ม ปตท.วางแผนรับมือ หากต้องนำเข้าเพิ่ม ป้องกันการขาดแคลน
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) หรือก๊าซหุงต้ม เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้ค้าแอลพีจีทั่วประเทศพบว่ายอดการจำหน่ายช่วงส.ค.นี้มีอัตราการเติบโตที่ทรงตัวไม่เพิ่มสูงขึ้นมากเท่ากับช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะส่วนของภาคขนส่งและอุตสาหกรรมมีการเติบโตแบบชะลอตัว ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงประกอบกับผู้ใช้กลุ่มดังกล่าวกำลังรอการตัดสินใจจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ที่จะประชุมปลายเดือนส.ค.นี้ว่าจะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด
“ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนมียอดขายที่ชะลอตัวต่อเนื่องบ่งชี้ว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ประชาชนมีการประหยัดการใช้จ่าย ส่วนภาคขนส่งนั้นน่าจะเกิดจากการรอความชัดเจนการขึ้นราคาจากภาครัฐซึ่งเห็นว่ารัฐควรจะต้องเร่งตัดสินใจช่วงน้ำมันถูกหากปล่อยไว้เมื่อน้ำมันแพงปัญหาเดิมๆ จะกลับมาคือการขาดแคลนเพราะการใช้ที่สูงขึ้นจะทำให้การนำเข้าเกิดปัญหาได้”นายชิษณุพงศ์กล่าว
นายสุรงค์ บูลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บมจ.ปตท.กล่าวว่า ปตท.ไม่เคยมีแนวคิดหรือเงื่อนไขในการนำเข้าแอลพีจีหากแต่ยอมรับว่าระบบคลังของปตท.ในการรองรับการนำเข้าแอลพีจีมีข้อจำกัดที่จะรับได้ไม่เกินเดือนละ 1 แสนตันซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้ามาล่าสุดแล้วเฉลี่ยเดือนละ 6 หมื่นตัน แต่ในเดือนพ.ย.นี้โรงกลั่นไทยออย์และโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยองมีแผนหยุดซ่อมประจำปีซึ่งทำให้ปตท.กังวลว่าอาจจะต้องมีการนำเข้ามาเกินระดับแสนตันจึงต้องเตรียมแผนไว้ทุกด้านที่จะทำให้การนำเข้าไม่สะดุดจนเกิดปัญหาการขาดแคลนเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงก.ค.ทีผ่านมา
“ยอดนำเข้าตั้งแต่เม.ย.ถึงขณะนี้กว่าแสนตันแล้วคิดเป็นมูลค่า 2,700-3,000 ล้านบาท หากอยู่ระดับนี้ระบบคลังและสาธรณูปโภคพอรับไหวแต่มากกว่าระดับแสนตันก็จะลำบากแต่ปตท.ก็ทำทุกอย่างเต็มที่ก็กำลังเตรียมว่าอาจจะต้องมีการโหลดแอลพีจีตลอด 24 ชั่วโมง และต้องจัดซื้อเพิ่มด้วยการนำเรือมาซ้อนกันในการรอคิวโหลดใส่คลัง ฯลฯ”นายสุรงค์กล่าว
ปัจจุบันราคาแอลพีจีตลาดโลกเริ่มลดลงตามน้ำมันดิบจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ระดับเฉลี่ยกว่า 900 เหรียญต่อตันปรับลดมาอยู่ประมาณ 870 เหรียญต่อตันและมีแนวโน้มอาจจะลดลงอีกระดับหนึ่งแต่แนวโน้มราคาก็ยังทรงตัวระดับสูงอยู่ซึ่งปตท.เห็นว่าการดูแลราคาแอลพีจีครัวเรือนเป็นเรื่องที่ควรจะดำเนินการเพราะก๊าซธรรมชาติส่วนหนึ่งนำมาจากอ่าวไทยแต่การใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมโดยให้มีการแบกรับภาระจึงไม่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเพราะส่วนนี้เป็นปริมาณก๊าซที่ส่วนเกินต้องมีการนำเข้า
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันขายปลีกในขณะนี้จะปรับตัวลดลงกว่า 10 บาท/ลิตร แต่ความสนใจในการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวียังมีต่อเนื่อง ซึ่งคงจะเกิดจากประชาชนยังคงเชื่อว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสไม่มีความแน่นอน อาจจะพุ่งสูงขึ้นอีก และปั๊มเอ็นจีวีมีเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยล่าสุดยอดการติดตั้งยังมีสูงถึง 500 คัน/วัน ยอดใช้ก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 2,460 ตัน/วัน ยอดการจัดหาก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 2,700 ตัน/วัน
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) หรือก๊าซหุงต้ม เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้ค้าแอลพีจีทั่วประเทศพบว่ายอดการจำหน่ายช่วงส.ค.นี้มีอัตราการเติบโตที่ทรงตัวไม่เพิ่มสูงขึ้นมากเท่ากับช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะส่วนของภาคขนส่งและอุตสาหกรรมมีการเติบโตแบบชะลอตัว ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลงประกอบกับผู้ใช้กลุ่มดังกล่าวกำลังรอการตัดสินใจจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ที่จะประชุมปลายเดือนส.ค.นี้ว่าจะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด
“ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนมียอดขายที่ชะลอตัวต่อเนื่องบ่งชี้ว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ประชาชนมีการประหยัดการใช้จ่าย ส่วนภาคขนส่งนั้นน่าจะเกิดจากการรอความชัดเจนการขึ้นราคาจากภาครัฐซึ่งเห็นว่ารัฐควรจะต้องเร่งตัดสินใจช่วงน้ำมันถูกหากปล่อยไว้เมื่อน้ำมันแพงปัญหาเดิมๆ จะกลับมาคือการขาดแคลนเพราะการใช้ที่สูงขึ้นจะทำให้การนำเข้าเกิดปัญหาได้”นายชิษณุพงศ์กล่าว
นายสุรงค์ บูลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บมจ.ปตท.กล่าวว่า ปตท.ไม่เคยมีแนวคิดหรือเงื่อนไขในการนำเข้าแอลพีจีหากแต่ยอมรับว่าระบบคลังของปตท.ในการรองรับการนำเข้าแอลพีจีมีข้อจำกัดที่จะรับได้ไม่เกินเดือนละ 1 แสนตันซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้ามาล่าสุดแล้วเฉลี่ยเดือนละ 6 หมื่นตัน แต่ในเดือนพ.ย.นี้โรงกลั่นไทยออย์และโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยองมีแผนหยุดซ่อมประจำปีซึ่งทำให้ปตท.กังวลว่าอาจจะต้องมีการนำเข้ามาเกินระดับแสนตันจึงต้องเตรียมแผนไว้ทุกด้านที่จะทำให้การนำเข้าไม่สะดุดจนเกิดปัญหาการขาดแคลนเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงก.ค.ทีผ่านมา
“ยอดนำเข้าตั้งแต่เม.ย.ถึงขณะนี้กว่าแสนตันแล้วคิดเป็นมูลค่า 2,700-3,000 ล้านบาท หากอยู่ระดับนี้ระบบคลังและสาธรณูปโภคพอรับไหวแต่มากกว่าระดับแสนตันก็จะลำบากแต่ปตท.ก็ทำทุกอย่างเต็มที่ก็กำลังเตรียมว่าอาจจะต้องมีการโหลดแอลพีจีตลอด 24 ชั่วโมง และต้องจัดซื้อเพิ่มด้วยการนำเรือมาซ้อนกันในการรอคิวโหลดใส่คลัง ฯลฯ”นายสุรงค์กล่าว
ปัจจุบันราคาแอลพีจีตลาดโลกเริ่มลดลงตามน้ำมันดิบจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ระดับเฉลี่ยกว่า 900 เหรียญต่อตันปรับลดมาอยู่ประมาณ 870 เหรียญต่อตันและมีแนวโน้มอาจจะลดลงอีกระดับหนึ่งแต่แนวโน้มราคาก็ยังทรงตัวระดับสูงอยู่ซึ่งปตท.เห็นว่าการดูแลราคาแอลพีจีครัวเรือนเป็นเรื่องที่ควรจะดำเนินการเพราะก๊าซธรรมชาติส่วนหนึ่งนำมาจากอ่าวไทยแต่การใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมโดยให้มีการแบกรับภาระจึงไม่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเพราะส่วนนี้เป็นปริมาณก๊าซที่ส่วนเกินต้องมีการนำเข้า
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่าราคาน้ำมันขายปลีกในขณะนี้จะปรับตัวลดลงกว่า 10 บาท/ลิตร แต่ความสนใจในการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวียังมีต่อเนื่อง ซึ่งคงจะเกิดจากประชาชนยังคงเชื่อว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสไม่มีความแน่นอน อาจจะพุ่งสูงขึ้นอีก และปั๊มเอ็นจีวีมีเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยล่าสุดยอดการติดตั้งยังมีสูงถึง 500 คัน/วัน ยอดใช้ก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 2,460 ตัน/วัน ยอดการจัดหาก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ประมาณ 2,700 ตัน/วัน
