วานนี้ ( 25 มี.ค.) คณะทำงานตรวจสอบเอกสารสำนวนหลักฐานกรณี เงินบริจาค 258 ล้านบาท และการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองผิดวัตถุประสงค์ 23 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ส่งมาให้กกต. นำโดย นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ประกอบด้วย พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดี ดีเอสไอ พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพ.ต.ท.จักรกริช แดงสุริศรี รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมเปิดกล่องเอกสารสำนวน ที่กกต. เกรงว่าจะมีความคลาดเคลื่อน และจากการตรวจสอบพบว่า มีเอกสารจำนวน 8 แฟ้ม ตามที่ระบุในหนังสือนำส่ง โดยในกล่องที่หนึ่ง มีจำนวน 4 แฟ้ม แต่มีลำดับหมายเลข 1-3 เนื่องจากแฟ้มลำดับที่ 2 ซึ่งเป็นคำให้การของพยาน มีเอกสารจำนวนมาก จึงต้องแยกออกมาเป็นแฟ้มต่างหาก โดยใช้ชื่อว่า แฟ้มที่ 2 (ต่อ) ขณะที่ กล่องที่ 2 มีแฟ้มลำดับหมายเลข 4- 7 และพบว่ามีสำนวนทั้งสิ้น 3,261 แผ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการตรวจสอบสำนวน เลขาธิการ กกต.ได้ซักถามรองอธิบดี ดีเอสไอว่า ในสำนวนที่นำมาส่งนั้นถือว่าเสร็จสมบูรณ์หรือยัง มีการสรุปสำนวนให้ กกต.หรือไม่ ได้ทำเป็นคำร้องหรือไม่ และถามว่า ดีเอสไอให้ กกต. ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองซึ่ง กกต.เป็นผู้รักษาการ แต่ตามกฎหมายดังกล่าว ยังมีโทษทางอาญาด้วย ดีเอสไอ จะทำคดีในส่วนนี้ต่อไปหรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า สำนวนที่ส่งให้ กกต.ถือว่ายังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่อยู่นอกเหนืออำนาจของ ดีเอสไอ หากเข้าไปดำเนินการ ก็อาจจะถือว่าเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจ
ส่วนเรื่องเอกสารที่ส่งมานั้นไม่ถือว่าเป็นคำร้อง แต่ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ทางดีเอสไอศึกษา พ.ร.บ.พรรคการเมือง แล้วเห็นว่ากฎหมายใช้คำว่า “ความปรากฏต่อนายทะเบียน” จึงส่งสำนวนมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณา ว่าจะสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้หรือไม่ และหากทาง กกต. ต้องการสำนวนสรุป ดีเอสไอ ก็พร้อมจะสรุปเสนอให้ กกต.ภายในวันที่ 27 มี.ค. นี้ ขณะที่ในชั้นคณะทำงานเพื่อให้การดำเนินการ รวดเร็ว และเพื่อความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดีเอสไอก็พร้อมที่จะส่งเจ้าหน้าที่ที่ศึกษา และทำคดีนี้มากว่าครึ่งปีมาช่วยชี้พยานหลักฐานพยานบุคคลให้
รองอธิบดีดีเอสไอ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการสอบตามความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ดีเอสไอ ก็ยังจะดำเนินการต่อ เพราะขณะนี้ทำไปแล้วกว่า 70% ซึ่งหากสอบเสร็จก่อน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนโดยไม่ตรองการสอบของ กกต. ส่วนความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ดีเอสไอ ดำเนินการอยู่ โดยจะหารือกับกกต.ว่า จะให้ดำเนินการต่อหรือไม่ หรือ กกต.จะรับไว้ดำเนินการเอง
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวต่อว่า การประสานความร่วมมือในการตรวจสอบมายัง กกต. ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก แต่กับหน่วยงานอื่น ดีเอสไอ เคยกระทำมาแล้วเช่น ป.ป.ช. โดยจะส่งเอกสารลักษณะเดียวนี้และยืนยันว่า เมื่อเราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องร่วมมือกันทำงาน หากใครทำความผิด ก็ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ แต่ไม่ได้หมายความเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ดีเอสไอ แล้ว กกต. ห้ามทำ หรือเป็นเรื่องของกกต. แล้ว ดีเอสไอ ห้ามยุ่ง เพราะเรามีเป้าหมายที่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดเลย หาก กกต. ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเป็นที่ปรึกษาตามที่ ดีเอสไอ มีหนังสือขอเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยเมื่อมีการร้องขอไป
นอกจากนี้ พ.ต.อ.สุชาติ ยังยอมรับว่าข้อมูลที่ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นส่วนหนึ่งของเท็จจริง ที่ตรงกับสำนวน แต่ยังมีเนื้อสำนวนอีกมากที่แตกต่างออกไป และยืนยันว่าการที่ดีเอสไอ ส่งเอกสารในวันที่ 18 มี.ค. ก่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ 1 วัน ไม่ได้เป็นการกระทำที่หวังผลการเมือง เพราะเราได้ประชุมพนักงานสอบสวน ร่วมกับอัยการ แล้ว จึงเสนอให้อธิบดีดีเอสไอ ลงนาม ซึ่งวันที่ส่งสำนวนมานั้น เราทราบว่า มีผลกระทบกับการเมืองสูง แต่เราไม่ได้ทำให้เป็นประเด็นการเมือง เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็ต้องตีฆ้องร้องเป่ากันแล้ว แต่ได้ส่งเรื่องนี้มาอย่างเงียบๆ อีกทั้งยังโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่หน้าห้องของนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับ ช่วยดูหน่อย นอกจากนี้ กว่าที่อธิบดีจะลงนามก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกัน
อย่างไรก็ตามพ.ต.อ.สุชาติ ปฏิเสธ ที่จะตอบคำถามว่า พยานหลักฐานที่ส่งมามีน้ำหนักพอที่จะเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ จะสามารถนำการรับรองงบดุลของ กกต.ในปี48 มาเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่ เพียงแต่ระบุว่า ในสำนวนที่รวบรวมมามีคำตอบอยู่แล้ว ไม่อยากพูด เพราะจะเป็นการบีบคณะทำงานของ กกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพูดคุย เลขาธิการกกต. พยายามชี้แจงสิ่งที่กกต. ต้องทำ คือพิจารณาว่า การดำเนินการดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของ กกต.หรือไม่ และพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบว่า หากกรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้องยุบ หรือดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ นายทะเบียนพรรคต้องเป็นเจ้าทุกข์ในการฟ้องคดีหรือไม่ โดยระบุแต่ว่า ต้องดูว่า กกต. มีอำนาจหรือไม่ เพราะแม้ความจะปรากฏ แต่ต้องมีเหตุอันสมควร และพยายามชี้ให้ดีเอสไอ สรุปสำนวนมาให้กกต.
นอกจากนี้การเปิดตรวจสอบเอกสาร นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ประธานคณะทำงาน ยังแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการทำงานพอสมควร เพราะเอกสารทั้งหมดที่นำส่งเป็นข้อมูลดิบ
**ปชป.ขู่เอาคืนหากถูกยื่นยุบพรรค
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่พรรคเพื่อไทยขู่ยื่น กกต.พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ จากปัญหาเงินบริจาค 258 ล้านบาทว่า หากพรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะยื่นให้กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทยทันที ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ฐานจงใจใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่น ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย มีโทษถึงขั้นยุบพรรค เพราะถ้าถึงที่สุดแล้ว กกต.ตรวจสอบไม่พบความผิดของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ก็มีสิทธิ์ถูกยุบพรรคได้เช่นกัน ทั้งนี้พรรคขอยืนยันว่ามีความโปร่งใสในเงินบริจาคดังกล่าว รวมถึงการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 23 ล้านบาทที่ได้รับจากกกต.ด้วย อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการของ ดีเอสไอ.ที่ยังไม่ได้สรุปความผิดของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) แต่กลับรีบนำหลักฐานยื่นให้กกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
**ยธ.ยังไม่เด้ง"ทวี"พ้นดีเอสไอ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการสอบกรณีสำนวนสอบสวนคดีบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ถูกนำไปเปิดเผยกับฝ่ายค้านว่า ตนไม่ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรม ดีเอสไอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แต่การตรวจสอบเป็นหน้าที่ที่ดีเอสไอ จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนระเบียบราชการ ส่วนความจำเป็นในการย้ายอธิบดีดีเอสไอ ระหว่างที่มีการสืบสวนข้อเท็จจริงนั้น เป็นอำนาจหน้าที่สั่งการของฝ่ายราชการ ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีกระแสกดดันตนภายในพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเพียงกระแสข่าวเช่นเดียวกับกระแสข่าวโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ ที่ผ่านมา
ขณะที่ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากเกิดกระแสข่าวเรื่องสำนวนสอบสวนรั่วจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะหากเป็นความจริงถือว่ามีความผิด ตนจึงได้มอบหมายให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลดีเอสไอ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์จะสามารถรายงานความคืบหน้าได้
นายกิตติพงษ์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างการสอบข้อเท็จจริงขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นต้องย้ายอธิบดีดีเอสไอ หรือหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนวนคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการตรวจสอบสำนวน เลขาธิการ กกต.ได้ซักถามรองอธิบดี ดีเอสไอว่า ในสำนวนที่นำมาส่งนั้นถือว่าเสร็จสมบูรณ์หรือยัง มีการสรุปสำนวนให้ กกต.หรือไม่ ได้ทำเป็นคำร้องหรือไม่ และถามว่า ดีเอสไอให้ กกต. ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองซึ่ง กกต.เป็นผู้รักษาการ แต่ตามกฎหมายดังกล่าว ยังมีโทษทางอาญาด้วย ดีเอสไอ จะทำคดีในส่วนนี้ต่อไปหรือไม่
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า สำนวนที่ส่งให้ กกต.ถือว่ายังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่อยู่นอกเหนืออำนาจของ ดีเอสไอ หากเข้าไปดำเนินการ ก็อาจจะถือว่าเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจ
ส่วนเรื่องเอกสารที่ส่งมานั้นไม่ถือว่าเป็นคำร้อง แต่ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ทางดีเอสไอศึกษา พ.ร.บ.พรรคการเมือง แล้วเห็นว่ากฎหมายใช้คำว่า “ความปรากฏต่อนายทะเบียน” จึงส่งสำนวนมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณา ว่าจะสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้หรือไม่ และหากทาง กกต. ต้องการสำนวนสรุป ดีเอสไอ ก็พร้อมจะสรุปเสนอให้ กกต.ภายในวันที่ 27 มี.ค. นี้ ขณะที่ในชั้นคณะทำงานเพื่อให้การดำเนินการ รวดเร็ว และเพื่อความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดีเอสไอก็พร้อมที่จะส่งเจ้าหน้าที่ที่ศึกษา และทำคดีนี้มากว่าครึ่งปีมาช่วยชี้พยานหลักฐานพยานบุคคลให้
รองอธิบดีดีเอสไอ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการสอบตามความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ดีเอสไอ ก็ยังจะดำเนินการต่อ เพราะขณะนี้ทำไปแล้วกว่า 70% ซึ่งหากสอบเสร็จก่อน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนโดยไม่ตรองการสอบของ กกต. ส่วนความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ดีเอสไอ ดำเนินการอยู่ โดยจะหารือกับกกต.ว่า จะให้ดำเนินการต่อหรือไม่ หรือ กกต.จะรับไว้ดำเนินการเอง
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวต่อว่า การประสานความร่วมมือในการตรวจสอบมายัง กกต. ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก แต่กับหน่วยงานอื่น ดีเอสไอ เคยกระทำมาแล้วเช่น ป.ป.ช. โดยจะส่งเอกสารลักษณะเดียวนี้และยืนยันว่า เมื่อเราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องร่วมมือกันทำงาน หากใครทำความผิด ก็ต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ แต่ไม่ได้หมายความเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ดีเอสไอ แล้ว กกต. ห้ามทำ หรือเป็นเรื่องของกกต. แล้ว ดีเอสไอ ห้ามยุ่ง เพราะเรามีเป้าหมายที่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดเลย หาก กกต. ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเป็นที่ปรึกษาตามที่ ดีเอสไอ มีหนังสือขอเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยเมื่อมีการร้องขอไป
นอกจากนี้ พ.ต.อ.สุชาติ ยังยอมรับว่าข้อมูลที่ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นส่วนหนึ่งของเท็จจริง ที่ตรงกับสำนวน แต่ยังมีเนื้อสำนวนอีกมากที่แตกต่างออกไป และยืนยันว่าการที่ดีเอสไอ ส่งเอกสารในวันที่ 18 มี.ค. ก่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ 1 วัน ไม่ได้เป็นการกระทำที่หวังผลการเมือง เพราะเราได้ประชุมพนักงานสอบสวน ร่วมกับอัยการ แล้ว จึงเสนอให้อธิบดีดีเอสไอ ลงนาม ซึ่งวันที่ส่งสำนวนมานั้น เราทราบว่า มีผลกระทบกับการเมืองสูง แต่เราไม่ได้ทำให้เป็นประเด็นการเมือง เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็ต้องตีฆ้องร้องเป่ากันแล้ว แต่ได้ส่งเรื่องนี้มาอย่างเงียบๆ อีกทั้งยังโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่หน้าห้องของนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องลับ ช่วยดูหน่อย นอกจากนี้ กว่าที่อธิบดีจะลงนามก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกัน
อย่างไรก็ตามพ.ต.อ.สุชาติ ปฏิเสธ ที่จะตอบคำถามว่า พยานหลักฐานที่ส่งมามีน้ำหนักพอที่จะเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ จะสามารถนำการรับรองงบดุลของ กกต.ในปี48 มาเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่ เพียงแต่ระบุว่า ในสำนวนที่รวบรวมมามีคำตอบอยู่แล้ว ไม่อยากพูด เพราะจะเป็นการบีบคณะทำงานของ กกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการพูดคุย เลขาธิการกกต. พยายามชี้แจงสิ่งที่กกต. ต้องทำ คือพิจารณาว่า การดำเนินการดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของ กกต.หรือไม่ และพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบว่า หากกรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้องยุบ หรือดำเนินคดีกับพรรคประชาธิปัตย์ นายทะเบียนพรรคต้องเป็นเจ้าทุกข์ในการฟ้องคดีหรือไม่ โดยระบุแต่ว่า ต้องดูว่า กกต. มีอำนาจหรือไม่ เพราะแม้ความจะปรากฏ แต่ต้องมีเหตุอันสมควร และพยายามชี้ให้ดีเอสไอ สรุปสำนวนมาให้กกต.
นอกจากนี้การเปิดตรวจสอบเอกสาร นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ประธานคณะทำงาน ยังแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการทำงานพอสมควร เพราะเอกสารทั้งหมดที่นำส่งเป็นข้อมูลดิบ
**ปชป.ขู่เอาคืนหากถูกยื่นยุบพรรค
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่พรรคเพื่อไทยขู่ยื่น กกต.พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ จากปัญหาเงินบริจาค 258 ล้านบาทว่า หากพรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะยื่นให้กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทยทันที ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ฐานจงใจใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่น ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย มีโทษถึงขั้นยุบพรรค เพราะถ้าถึงที่สุดแล้ว กกต.ตรวจสอบไม่พบความผิดของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ก็มีสิทธิ์ถูกยุบพรรคได้เช่นกัน ทั้งนี้พรรคขอยืนยันว่ามีความโปร่งใสในเงินบริจาคดังกล่าว รวมถึงการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 23 ล้านบาทที่ได้รับจากกกต.ด้วย อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการของ ดีเอสไอ.ที่ยังไม่ได้สรุปความผิดของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) แต่กลับรีบนำหลักฐานยื่นให้กกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
**ยธ.ยังไม่เด้ง"ทวี"พ้นดีเอสไอ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการสอบกรณีสำนวนสอบสวนคดีบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ถูกนำไปเปิดเผยกับฝ่ายค้านว่า ตนไม่ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรม ดีเอสไอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แต่การตรวจสอบเป็นหน้าที่ที่ดีเอสไอ จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนระเบียบราชการ ส่วนความจำเป็นในการย้ายอธิบดีดีเอสไอ ระหว่างที่มีการสืบสวนข้อเท็จจริงนั้น เป็นอำนาจหน้าที่สั่งการของฝ่ายราชการ ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีกระแสกดดันตนภายในพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเพียงกระแสข่าวเช่นเดียวกับกระแสข่าวโยกย้ายอธิบดีดีเอสไอ ที่ผ่านมา
ขณะที่ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากเกิดกระแสข่าวเรื่องสำนวนสอบสวนรั่วจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะหากเป็นความจริงถือว่ามีความผิด ตนจึงได้มอบหมายให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลดีเอสไอ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์จะสามารถรายงานความคืบหน้าได้
นายกิตติพงษ์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างการสอบข้อเท็จจริงขณะนี้ ยังไม่มีความจำเป็นต้องย้ายอธิบดีดีเอสไอ หรือหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนวนคดี