xs
xsm
sm
md
lg

ยธ.สั่งสอบDSIทำสำนวนรั่ว-เฉลิมอ้างพลตรีอดีตปชป.ให้ข้อมูล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าว วานนี้ (24 มี.ค.) ถึงการตรวจสอบข้อมูลคดีพิเศษ เรื่องการตรวจสอบเส้นทางเงิน 258 ล้านบาท ที่บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ว่าจ้าง บริษัท เมสไซอะ ครีเอชั่น แอนด์ บินิเนส ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่ฝ่ายค้าน นำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ใช้เมสไซอะฯ ไซฟอนเงิน จำนวนนี้ ผ่านเข้าพรรค เป็นข้อมูลในสำนวน การสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่หลุดไปถึงมือฝ่ายค้านว่า เป็นหน้าที่ของดีเอสไอต้องดำเนินการสอบสวนอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ส่วนจะเป็นข้อมูลของดีเอสไอที่หลุดไปให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยกับใคร ข้อมูลที่ฝ่ายค้านเสนอก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีการกำหนดเวลาในการสอบสวน และไม่ต้องมอบนโยบายไม่ว่า จะเป็นหน่วยงานไหน ก็ต้องดำเนินงานเบื้องต้นก่อน โดยทุกเรื่องต้องรู้หน้าที่ ของตนเองเป็นเรื่องทางวินัยกฎหมาย
นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่าได้สั่งการให้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำชับให้รายงานผลมายังกระทรวงยุติธรรมโดยเร็ว นอกจากนั้นยังสั่งการให้กองการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจากการถอดเทปคำอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับคดีบริษัท ทีพีไอฯ เพื่อตรวจสอบอีกทางหนึ่งว่า มีสำนวนคดีบางส่วนรั่วไหลจริงตามที่มีการ กล่าวอ้างหรือไม่
อย่างไรก็ตามการตรวจสอบจะต้องไม่กระทบต่อรูปคดี โดยวิธีการตรวจสอบ อาจจะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสำนวนคดีมาสอบปากคำ แทนการเข้าไปตรวจสอบรายละเอียดในสำนวนคดีและหากความลับในสำนวนคดีรั่วไหลจากบุคคลที่เข้าไปตรวจสอบ บุคคลนั้นจะต้องรับผิดทางอาญา

ชวนมั่นใจไร้ปัญหาเงินบริจาค
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ข้อกล่าวหา ของ ร.ต.อ.เฉลิม จนนำไปสู่การยื่นเรื่องให้ กกต.พิจารณายุบพรรคกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีเหตุมีผลมีหลักฐาน ก็เป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และเชื่อว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ คงเตรียมอยู่แล้ว และตนก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยเรื่องนี้ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือพูดคุยกับนายสุเทพ แต่ได้ฟังการอภิปรายฯในสภา โดยได้ฟังนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลังและอดีตเลขาธิการพรรค กับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค รวมทั้งคนอื่น ๆ อภิปรายฯชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ชี้แจงได้ดีทุกเรื่อง ไม่คิดว่าใครจะทำได้ถึงขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร

เชื่อข้อมูลฝ่ายค้านออกมาจากดีเอสไอ
ต่อข้อถามว่าสงสัยหรือไม่ว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านอภิปรายมาจากดีเอสไอ. นายชวน กล่าวว่า ความรู้สึกก็เชื่อว่าออกมาจากเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ต้องดูก็คือระเบียบวินัยของเจ้าหน้าที่จะต้องทำอย่างไร ส่วนเรื่องข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อย่าไปบิดเบือนก็แล้วกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า ดีเอสไอเลือกข้างใช่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ความจริงรู้มาตั้งแต่ต้น ช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านแล้วว่า เจ้าหน้าที่ใน ดีเอสไอ หรือหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม มีทั้งคนที่ซื่อตรงและไม่ซื่อตรงประกอบกันอยู่ และดีเอสไอ ก็ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ก็มีคนดีและคนประเภทที่ไม่ซื่อตรงก็เป็นที่รู้กัน ดังนั้นคนที่ไม่ซื่อตรงก็สามารถทำบางอย่าง ที่ไม่ถูกต้องได้
ผมเห็นด้วยกับคนที่เคยเสนอให้กระทรวงยุติธรรมบูรณาการ กรมต่าง ๆ ภายในกระทรวง และจะตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ไม่ได้สอบเพื่อปกป้องพรรค หรือลงโทษพรรคการเมือง แต่สอบเพื่อให้รู้ว่ากระบวนการทำงานของดีเอสไอนั้น มีอะไรที่ต้องระมัดระวัง ทำอะไรถูกหรือผิดต่อระเบียบวินัยของข้าราชการหรือไม่ ควรจะสอบเรื่องนั้นไม่ใช่สอบว่าข้อเท็จจริงรั่วไปแล้ว จะเสียหายหรือไม่เสียหายกับใคร

เจ๊สดรับสำนวนของดีเอสไอหาย
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงข่าวสำนวน การสืบสวนสอบสวนกรณีไซฟ่อนเงินของพรรคประชาธิปัตย์ที่ ดีเอสไอ ส่งมาให้ กกต.หายไปหนึ่งแฟ้มว่า จากการตรวจสอบหนังสือนำส่งระบุว่ามีเอกสารจำนวน 8 แฟ้ม แต่ที่เอกสารปะหน้ากล่องเอกสารทั้งสองกล่องมีการส่งมา เพียง 7 แฟ้ม ซึ่งขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองทำหนังสือ เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มาเป็นสักขีพยานในการเปิดกล่องเอกสาร และหากมีเอกสารรั่วไหลออกไปยืนยันว่าไม่ได้มาจาก กกต.
นางสดศรีตั้งข้อสังเกตว่าการส่งสำนวน เอกสารมาให้ กกต. ถือว่าดำเนินการ ผิดขั้นตอน เพราะหากจะมีการส่งเอกสารใดๆ มาต้องส่งมาที่สำนักงาน กกต.ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่โดยตรงรับเรื่อง ไม่ใช่ส่งไปที่ห้องของประธาน กกต. แม้ว่าจะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่งก็ตาม แต่การทำงานต้องมีขั้นตอน และดีเอสไอ ก็เป็นหน่วยงานราชการควรจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรในการส่งเอกสาร
นางสดศรี กล่าวว่า กรณีหนังสือนำส่งและใบปะหน้าไม่ตรงกันน่าจะเป็นความ ผิดพลาดของดีเอสไอแต่ ดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลงานเอกสารสำนวนและงานสืบสวนสอบสวนก็ไม่น่าที่จะมีความผิดพลาดในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกต. คงจะพิจารณาว่าจะรับเรื่องดังกล่าวไว้ดำเนินการหรือไม่ หากที่ประชุมมีมติไม่รับ เราก็จะส่งเอกสารคืนไป

ระบุแค่เริ่มต้นก็อันตรายแล้ว
ตอนนี้แค่เริ่มต้นเอกสารก็ไม่ตรงกันเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องอันตราย หากเรา ต้องดำเนินการต่อไป และหากเราเปิดกล่องโดยที่ไม่มีพยาน ถ้าเอกสารหายคนรับผิดชอบก็คือเจ้าหน้าที่ กกต. ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมา เราก็จะให้สื่อช่วยเป็น พยานให้ว่ายังไม่ได้เปิดแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องนี้ ดีเอสไอดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาซึ่งก็ไม่ทราบว่าเหตุใดต้องส่งมาให้ กกต. พิจารณาอีก หากยังเล่นกันแบบนี้ คงรับเรื่องไว้ดำเนินการไม่ได้ และหากเขาไม่มาร่วมเปิดกล่องเราก็ต้องส่งคืน เรื่องอะไรจะให้เรารับผิดชอบ
ส่วนที่มองว่า ดีเอสไอ ส่งเรื่องต่อให้ กกต. เพราะไม่ต้องการให้ใครมาแทรกแซง หรือเปลี่ยนตัวผู้ทำคดีนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ดีเอสไอทำเรื่องนี้มาเป็นเวลานานหากจะแทรกแซงคงทำก่อนหน้านี้ อีกทั้งขณะนี้ได้ส่งเอกสารต่อให้หน่วยงานอื่น การจะเปลี่ยน อธิบดีดีเอสไอ ก็คงไม่มีปัญหา แต่ก็ยังติดที่ว่าก่อนหน้านี้ดีเอสไอส่งเรื่องให้ใครไปบ้าง หรือไม่ ก่อนส่งให้ กกต. ทั้งนี้ตนเชื่อว่า ไม่น่าจะมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเล่นแง่ในการ พิจารณา เรื่องนี้

กกต.เตรียมเปิดกล้องสำนวน
วันเดียวกันมีการประชุม คณะกรรมการ กกต. นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงหลังการประชุมว่า มีการหารือถึงกรณีที่ ด้านกิจการพรรคการเมือง เสนอ ความเห็นเกี่ยวกับสำนวนเงินบริจาค และการใช้เงินกองทุนเพื่อพัฒนาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดีเอสไอได้ส่งสำเนาสำนวนการสืบสวนมาให้ซึ่งพบความคลาดเคลื่อนระหว่างเอกสารนำส่งกับใบปะหน้าไม่ตรงกันว่าสมควรจะดำเนินการต่อหรือไม่ หรือควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอความเห็นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง
โดยที่ประชุมเห็นว่า เมื่อทางดีเอสไออ้างว่าความผิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ พ.ร.บ. พรรคการเมือง ที่ กกต. เป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมาย จึงควรตรวจสอบเอกสารดังกล่าวว่ามีการกระทำผิดจริงดังที่ดีเอสไอกล่าวอ้างหรือไม่ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ ด้านกิจการพรรคการเมือง ตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการเปิดกล่องเอกสาร ทั้งนี้ ให้เชิญเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ที่เป็นเจ้าของสำนวนมาร่วมตรวจสอบ และให้บันทึกภาพนิ่ง ภาพวิดีโอ พร้อมเชิญสื่อมวลชนมาร่วมเป็นพยานด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่ถือว่า กกต. รับเรื่องดังกล่าวไว้ดำเนินการ เพราะต้องรอผลการเปิดกล่องเอกสาร ที่จะมีการตรวจสอบก่อนว่า สำเนาสำนวนเอกสาร เหล่านั้นเป็นความผิดที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ กกต. หรือไม่

สดศรีขู่ส่งตร.ถ้าดีเอสไอยึกยัก
นางสดศรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า กกต.ได้ทำหนังสือถึงดีเอสไอ เพื่อขอให้ส่ง เจ้าหน้าที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในการเปิดกล่องเอกสารที่ส่งมาถึงกกต. หากภายในวันนี้( 25 มี.ค.) ดีเอสไอ ยังไม่ส่งเจ้าหน้าที่มา ส่วนตัวคิดว่าจะยังไม่เปิดและจะขอให้มีการส่งเรื่องไปที่สถานีตำรวจ เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบว่ากล่องนั้นเป็นของใคร ฉะนั้นถ้าไม่อยากมากเรื่องก็ขอให้รีบส่งเจ้าหน้าที่มา
เมื่อแจ้งเจ้าของไปแล้ว ยังไม่มาเราก็ต้องนำกล่องดังกล่าวไปส่งให้ตำรวจ เพราะไม่มีเจ้าของมายืนยัน นางสดศรี กล่าวและว่า หากมีการเปิดกล่องเอกสาร ที่ส่งมา กกต.ต้องดูว่ามีสำนวนสรุปการสอบสวนที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำผิด พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาให้กกต.หรือไม่ ถ้าพบว่ามีแค่เพียงสำเนาเช็คใบจดทะเบียนบริษัท แต่ไม่มีการสอบสวนใดๆ มาเลยเราก็ไม่สามารถสรุปประเด็นเสนอกกต. เพื่อที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ หากเป็นเช่นนี้เราต้องส่งคืน เพราะกกต. ไม่ได้มีหน้าที่สรุปสำนวนให้กับหน่วยงานไหน และไม่มีกฎหมายข้อไหนที่เราต้องทำงานให้ใคร

รองอธิบดีดีเอสไออ้างส่งสำนวนครบ
พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงาน สอบสวนคดีไซฟ่อนเงินบริษัททีพีไอ ยืนยันว่า ดีเอสไอได้ส่งสำนวนหลักฐานในคดีให้ กกต. ครบถ้วน โดยข่าวที่ระบุว่าอาจมีสำนวนการสอบสวนบางแฟ้มสูญหายนั้น ไม่เป็นความจริง แต่อาจเกิดความเข้าใจสับสนคลาดเคลื่อนเรื่องหมายเลขเอกสาร เนื่องจากเอกสารปะหน้าระบุว่าสำนวนการสอบสวนทั้งสิ้นรวม 8แฟ้ม โดยกล่องที่ 1 บรรจุแฟ้มที่ 1-4 และกล่องที่ 2 บรรจุแฟ้มที่ 5-7 ส่วนแฟ้มเอกสารที่ขาดหายไป คือแฟ้มที่ 2/1 จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอพร้อมจะส่งเจ้าหน้าทื่ไปร่วมเป็นพยานในการเปิดกล่อง เอกสารสำนวนคดีที่ได้จัดส่งไปให้กกต.ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้หากกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่า เอกสารส่วนใดหายไปให้แจ้งมายังอธิบดีดีเอสไอ ทางพนักงานสอบสวนจะทำสำเนาเอกสารในสำนวนที่หายไป ให้กกต.อีกครั้ง
ตอนนี้ทุกคนกำลังปัดความรับผิดชอบเพราะรัฐบาลกำลังตั้งคณะกรรมการ เข้ามาตรวจสอบการรั่วไหล ของข้อมูลเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของบริษัททีพีไอ แต่ผมในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเรื่องนี้ พร้อมจะชี้แจง ทุกประเด็นสงสัย และตอบคำถามทุกเรื่อง ไม่ว่าหน่วยงานใดจะว่าอย่างไร ตอนนี้หลายคนกำลังออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นสำนวน ไม่เกี่ยวข้อง ก็ไม่เป็นไร ส่วนกรณีที่กกต.ออกมาระบุจะเชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการเปิดกล่องสำนวนก็ยินดีไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

เฉลิมให้ประเกียรตินำส่งกกต.
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลง ว่า พรรคเพื่อไทยมอบหมายให้นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นผู้รับผิดชอบ ในการส่งข้อมูล กรณีบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ และการนำเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ให้กับ กกต. เพื่อพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ และพร้อมเข้าให้ข้อมูลหาก กกต.ร้องขอ
โดยวันที่ 26 มีนาคมนี้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย จะเดินทางไปยื่นเรื่องให้สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบกรณีบริษัท ทีพีไอฯ นำเงินออกมาใช้
ส่วนกรณีที่ รมว.ยุติธรรม สั่งตรวจสอบ ดีเอสไอ ว่าใครเป็นผู้ส่งข้อมูล ให้ฝ่ายค้านนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยันว่าดีเอสไอไม่เคยให้ข้อมูล ตนมีข้อมูลมาก่อน และได้ย้ำหลายครั้งว่า มีข้อมูลหลักฐานพร้อม แต่ที่ยังยื่นญัตติล่าช้า เพราะต้องผ่านกระบวนการของพรรค
ดีเอสไอไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกผม การที่ดีเอสไอส่งหลักฐานไปยัง กกต. เพราะสอบสวนแล้วเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เข้าข่ายการทำผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง รมว.ยุติธรรม ควรจะมีจริยธรรม คุณธรรม มีความโปร่งใส อย่าไปก้าวก่ายงานของดีเอสไอ ถ้า รมว.ยุติธรรม ไปกดดันอย่างนี้ เท่ากับเป็นการสกัดกั้นการทำงานโดยบริสุทธิ์ของดีเอสไอ เข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญ ม. 266

อ้างพลตรีที่เคยอยู่ปชป.ให้ข้อมูล
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ได้ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก พลตรี คนหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ และทั้งสื่อฯ และคนในพรรคประชาธิปัตย์รู้จักดี เมื่อมารวมกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ก็เชื่อมต่อกันพอดี และว่าวันนี้จะไปพบพลตรีคนดังกล่าว เพื่อขออนุญาตเอ่ยชื่อ ถ้าได้รับอนุญาตก็จะเปิดเผยชื่อ ถ้ารัฐบาลต้องการรู้ว่าเป็นใคร จะให้สันติบาลตามไปก็ได้
ร.ต.อ.เฉลิม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า พลตรีคนดังกล่าวคือ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีต ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ใช่หรือไม่ โดยบอกว่า ถ้าต้องการรู้ว่า เป็นใคร ให้ตามไปดู และยังปฏิเสธด้วยว่า พลตรีคนดังกล่าวไม่ใช่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี
กำลังโหลดความคิดเห็น