การลงทุนในหุ้นกู้นั้น หากผู้ลงทุนตั้งใจจะลงทุนยาวจนครบอายุ ไม่คิดจะซื้อขายระหว่างทาง ชีวิตก็ง่ายดี เพราะหลังจากซื้อไปแล้วก็รอรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มั่นคงดี ครบอายุก็ได้เงินต้นคืนอย่างครบถ้วน แถมไม่ต้องกังวลกับการขึ้นๆ ลงๆ ของราคาหุ้นกู้อีกต่างหาก แต่สำหรับบางท่านที่ชื่นชอบสไตล์การลงทุนแบบหวือหวากว่า และเห็นว่ามีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นกู้ได้ วันนี้มี 2 เรื่องมาฝาก คือ วิธีการตีราคาหุ้นกู้ และกลไกการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
ราคาหุ้นกู้เกิดจากอะไร?
ราคาหุ้นกู้ คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะได้รับทั้งหมด จากการถือครองหุ้นกู้นั้น ซึ่งต้องคำนวณโดยนำข้อมูล 2 ส่วน คือ กระแสเงินสด ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) และเงินต้นที่จะได้รับคืนเมื่อหุ้นกู้ถึงวันครบกำหนด และอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน (Yield to maturity : YTM) มาใส่ในสมการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งยุ่งยากพอสมควร ในชีวิตจริงถามเอาจากดีลเลอร์ตราสาร หนี้ หรือโบรกเกอร์เอาจะง่ายกว่า ไม่ต้องเสียเวลานั่งคำนวณเอง แต่ถือว่ารู้ไว้ใช่ว่า...สูตรการ คำนวณราคาหุ้นกู้ คือ
กระแสเงินสด = ดอกเบี้ยที่จะได้รับตลอดอายุของหุ้นกู้ และ เงินต้นที่จะได้รับคืนเมื่อหุ้นกู้ถึงวันครบกำหนด YTM = อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน ซึ่งมักจะเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด (market interest rate) ซึ่งอาจจะเท่ากับหรือแตกต่างจากอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) ก็ได้
ศึกษาวิธีการคำนวณราคาหุ้นกู้เพิ่มเติมได้ที่ www.bex.or.th หรือ www.tsi-thailand.org
ราคาหุ้นกู้เปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้อย่างไร?
จากสูตรดังกล่าว เห็นได้ว่า ตัวแปรของกระแสเงินสด เช่น อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว จะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากถูกกำหนดไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ตัวแปรหลักที่เมื่อมีการเคลื่อนไหวจะส่งผลต่อราคา คือ YTM (ซึ่งมักจะเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด) เช่น หาก YTM เปลี่ยนในทางที่มากขึ้น (เมื่อแทนค่าในสูตรจะทำให้ตัวหารสูงขึ้น) จะส่งผลให้ราคาหุ้นกู้ลดลง กล่าวคือ ความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยในตลาดและราคาหุ้นกู้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือ เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดขึ้น หุ้นกู้ที่กำลังจะออกขายในช่วงนั้น จะเสนออัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นด้วย ไม่งั้นคงขายไม่ออก ดังนั้น เมื่อเราหันมามองหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมในตลาดซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเราก็จะพบว่าหุ้นกู้เดิมน่าสนใจน้อยกว่าหุ้นกู้ที่ออกใหม่ ทางเดียวที่ผู้ลงทุนจะหันมาสนใจซื้อหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมในตลาดก็คือหุ้นกู้เดิมจะต้องมีราคาที่ถูกลง ด้วยหลักการนี้เอง เราจึงเห็นว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคาหุ้นกู้จะลดลง และในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ราคาหุ้นกู้จะเพิ่มขึ้น อันเป็นไปตามกลไกตลาดนั่นเอง
ท่องคาถานี้ไว้ให้แม่น...
อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ราคาหุ้นกู้เพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นกู้ลดลง
ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับหุ้นกู้ยังมีอีกมากมาย ขอให้ท่านติดตามกันต่อในครั้งหน้า ครั้งนี้ลาไปก่อน สวัสดี
'ประชุมผู้ถือหุ้น : มีสิทธิควรไปใช้ ไปไม่ได้...มอบอำนาจ' ก.ล.ต. สนับสนุนผู้ลงทุนใช้สิทธิเข้าร่วมประชุม หรือมอบอำนาจในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2552
ราคาหุ้นกู้เกิดจากอะไร?
ราคาหุ้นกู้ คือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะได้รับทั้งหมด จากการถือครองหุ้นกู้นั้น ซึ่งต้องคำนวณโดยนำข้อมูล 2 ส่วน คือ กระแสเงินสด ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) และเงินต้นที่จะได้รับคืนเมื่อหุ้นกู้ถึงวันครบกำหนด และอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน (Yield to maturity : YTM) มาใส่ในสมการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งยุ่งยากพอสมควร ในชีวิตจริงถามเอาจากดีลเลอร์ตราสาร หนี้ หรือโบรกเกอร์เอาจะง่ายกว่า ไม่ต้องเสียเวลานั่งคำนวณเอง แต่ถือว่ารู้ไว้ใช่ว่า...สูตรการ คำนวณราคาหุ้นกู้ คือ
กระแสเงินสด = ดอกเบี้ยที่จะได้รับตลอดอายุของหุ้นกู้ และ เงินต้นที่จะได้รับคืนเมื่อหุ้นกู้ถึงวันครบกำหนด YTM = อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน ซึ่งมักจะเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด (market interest rate) ซึ่งอาจจะเท่ากับหรือแตกต่างจากอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) ก็ได้
ศึกษาวิธีการคำนวณราคาหุ้นกู้เพิ่มเติมได้ที่ www.bex.or.th หรือ www.tsi-thailand.org
ราคาหุ้นกู้เปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้อย่างไร?
จากสูตรดังกล่าว เห็นได้ว่า ตัวแปรของกระแสเงินสด เช่น อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว จะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากถูกกำหนดไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ตัวแปรหลักที่เมื่อมีการเคลื่อนไหวจะส่งผลต่อราคา คือ YTM (ซึ่งมักจะเป็นอัตราเดียวกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด) เช่น หาก YTM เปลี่ยนในทางที่มากขึ้น (เมื่อแทนค่าในสูตรจะทำให้ตัวหารสูงขึ้น) จะส่งผลให้ราคาหุ้นกู้ลดลง กล่าวคือ ความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยในตลาดและราคาหุ้นกู้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม
เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือ เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดขึ้น หุ้นกู้ที่กำลังจะออกขายในช่วงนั้น จะเสนออัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นด้วย ไม่งั้นคงขายไม่ออก ดังนั้น เมื่อเราหันมามองหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมในตลาดซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเราก็จะพบว่าหุ้นกู้เดิมน่าสนใจน้อยกว่าหุ้นกู้ที่ออกใหม่ ทางเดียวที่ผู้ลงทุนจะหันมาสนใจซื้อหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิมในตลาดก็คือหุ้นกู้เดิมจะต้องมีราคาที่ถูกลง ด้วยหลักการนี้เอง เราจึงเห็นว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคาหุ้นกู้จะลดลง และในทางตรงกันข้าม เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ราคาหุ้นกู้จะเพิ่มขึ้น อันเป็นไปตามกลไกตลาดนั่นเอง
ท่องคาถานี้ไว้ให้แม่น...
อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ราคาหุ้นกู้เพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นกู้ลดลง
ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับหุ้นกู้ยังมีอีกมากมาย ขอให้ท่านติดตามกันต่อในครั้งหน้า ครั้งนี้ลาไปก่อน สวัสดี
'ประชุมผู้ถือหุ้น : มีสิทธิควรไปใช้ ไปไม่ได้...มอบอำนาจ' ก.ล.ต. สนับสนุนผู้ลงทุนใช้สิทธิเข้าร่วมประชุม หรือมอบอำนาจในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2552
