xs
xsm
sm
md
lg

อภิปรายมุกเก่าสุดกร่อย คนหน่าย-ไม่ระคายมาร์ค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิปรายนายกฯไม่สมราคาคุย "เป็ดเหลิม" งัดเรื่องเก่าร่ายยาว 3 ชั่วโมง อัด"มาร์ค"ฉ้อราษฏร์-บังหลวง โชว์ใบเสร็จเส้นทางเดินเงิน 258 ล้าน สุดท้ายเป็นการอภิปรายตระกูล "ภัทรประสิทธิ์" และทีพีไอ "ไอ้ตู่"ยังไม่เลิกข้องใจเรื่อง"มาร์คหนีทหาร" เจอเอกสารตอกกลับหน้าหงาย "สาก" ขุดเรื่อง มาตรา 7 โจมตี ขู่แจ้งข้อหาหนัก ประทุษร้ายในหลวง ด้านส.ส.กรุงเก่าแจกกล้วยกลางสภา หวิดมีมวย "สธ.หนั่น"ชี้ข้อมูลฝ่ายค้านไม่ระคายผิวรัฐบาล ขณะที่ประชาชนผิดหวัง เพราะฝ่ายค้านมีแต่ข้อมูลเก่าไม่มีน้ำหนัก และเชื่อข้อมูลของนายกฯ มากกว่า

การประชุมสภาผู้แทนราษฏรนัดพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 5 คน เริ่มขึ้นเมื่อ เวลา 9.30 น. วานนี้ (19มี.ค.) โดยมีคณะรัฐมนตรี มาร่วมนั่งฟังกันอย่างพร้อมเพรียง
การอภิปรายเริ่มจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธานส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมแสดงชาร์ต ประกอบอย่างคึกคักใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมง ในประเด็นเงิน 263 ล้านบาท ที่มาที่ไปของเส้นทางเงินที่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) นำเงินจากตลาดหลักทรัพย์ 263 ล้านบาท จ่ายให้กับกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับทำธุรกิจโฆษณา รวมทั้งนำสำเนาเช็คการจ่ายเงินให้กับบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ มาแสดง

งัดเรื่องเก่าเงินบริจาคถล่ม
ร.ต.อ.เฉลิม ตั้งข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่า กระทำการแจ้งบัญชีงบดุลประจำปี ณ วันที่ 31 ธ.ค.47 และ 31 ธ.ค.48 อันเป็นเท็จ มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระถึงสองครั้ง โดยในปี 47 บริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการฯ เซ็นชื่อลงนามจ่ายเช็คเพียงคนเดียว โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการบริษัทฯ ถือเป็นการนำเงินของผู้ถือหุ้นมาจ่ายให้กับพรรค และกลุ่มคนของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการจ่ายเช็ค 27 ฉบับ ผ่านเข้าธนาคารต่างๆรวม 75 ครั้ง ภายในเวลา 84 วัน โอนเข้าบัญชีบริษัทเมซไซอะฯ จากนั้นก็แยกย่อย กระจายเช็คไปยังบุคคลต่างๆ 4 กลุ่มด้วยกัน คือ
1.เข้าบัญชี นายประจวบ สังขาว กรรมการบริษัทเมซไซอะฯ ซึ่งเป็นบริษัทรับใช้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยมีกรรมการบริษัทชื่อ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณได้รวม 21,269,300 บาท
2.เข้าบัญชีกลุ่มคนใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นจำนวน 33,728,000บาท
3. เข้าบัญชีกลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น 13,600,000 บาท
4.เข้าบัญชีนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ รวม 43,409,740 บาท ส่วนเส้นทางของเงินที่เหลือ ตนไม่สามารถหาหลักฐานได้ เนื่องจากมีคนในรัฐบาลไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ระงับ
การให้เอกสารเหล่านั้น
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การโอนเงินดังกล่าว เป็นช่วงเวลาเดียวกับช่วงใกล้เลือกตั้งพอดี ที่สำคัญเมื่อคืน วันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา มีฝ่ายรัฐบาลไปบังคับข้าราชการเพื่อไปขอคำให้การในคดีดังกล่าว จึงอยากถามว่า หากแน่จริงจะกลัวอะไร ไหนว่าไม่เคยโกง แล้วเมื่อคืนไปบีบเอาเอกสารจากข้าราชการทำไม ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง ผ่านบริษัทเมซไซอะฯ เพื่อส่งเงินต่อไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่บางคนมีอาชีพทำแพปลา บางคนมีอาชีพเป็นแม่บ้านของบริษัท โดยทุกอย่างเกี่ยวโยงกับ นายธงชัย ดลศรีชัย ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พิจิตร และนายธงชัย ก็เป็นคนพาไปเจอกับนายประจวบ ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทแมซไซอะฯ จนทำให้เกิดการไซฟอนเงินขึ้น จึงขอกล่าวหาว่านายกฯ ได้ทำความผิดฐานฉ้อราษฎร์ เอาเงินประชาชนจากตลาดหลักทรัพย์ และ บังหลวงไม่แสดงบัญชีรายรับของพรรคอย่างตรงไปตรงมา ปกปิดรายรับกรณีได้รับเงินจาก บริษัททีพีไอโพลีน กระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา137 ฐานแจ้งความเท็จ

อัด"ทีพีไอ"ฉ้อราษฎร์
นอกจากนี้ การกระทำของผู้มีอำนาจในบริษัททีพีไอ ที่เบียดบังเอาทรัพย์สินบริษัทมาใช้แสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตัวเองและผู้อื่นทำให้บริษัทได้รับความเสียหายตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/10 89/11 89/21 306 307 308 และ 311 และอยากให้ประชาชนที่ซื้อเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ ในปี2547-2549 ฟ้องบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ใช้โอกาสทางธุรกิจ ทำการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ขณะที่บริษัทเมซไซอะฯ มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน คอยช่วยเหลือและทำใบกำกับภาษีปลอมให้กับพรรคประชาธิปัตย์ จนบริษัทของตัวเองถูกฟ้องล้มละลาย เพราะติดหนี้กรมสรรพากรถึง 14 ล้านบาท
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ยังพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กระทำการไซฟอนเงินที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก กกต.จำนวน 29 ล้านบาท โดยก้อนแรกให้ นายธงชัย ดลศรีชัย น้องชายนายประดิษฐ์ ได้ว่าจ้างน.ส.วาศินี ทองเจือ ไปทำป้ายโฆษณาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งน.ส.วาศินี ก็ได้ว่าจ้างบริษัทเกิดเมฆแอทเวอร์ไทซิ่ง และบริษัทแมกเน็ตไซ อีกต่อหนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามตัดตอนว่า นายธงชัย ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่หากไปดูหลักฐานการยื่นภาษี ภงด.53 ของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อกรมสรรพากร จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งบิล โดยผ่านนายธงชัย ไปยังน.ส.วาศินี ก่อนโอนต่อไปให้บริษัทเกิดเมฆ จำนวน 2 ล้านเศษ และให้บริษัทเมกเน็ตไซ 8 หมื่นกว่าบาท

แฉปชป.ไซฟ่อนเงิน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังนำเงินที่ได้รับจากกกต. ไปว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯ จำนวน 23,314,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างจัดทำป้ายโฆษณา แต่ไม่มีการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง กระทำการเพียงแค่สร้างเรื่องเพื่อต้องการเอาเงินของกกต.มาใช้ เห็นชัดเจนเนื่องจากภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินจาก กกต.มา ก็ได้โอนให้กับนายประจวบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทเมซไซอะฯ เมื่อวันที่10 ม.ค.48 และเพียงแค่วันเดียวคือวันที่11 ม.ค.48 บริษัทแห่งนี้ก็โอนเงินกระจายแยกย่อยไปให้กลุ่มบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และคนของบริษัททันที 11 คน ซึ่งเหตุที่ตนกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ กระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย เพราะนายอภิสิทธ์ ได้เซ็นรับรองงบดุลประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.48 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
พฤติกรรมทุกอย่าง นายอภิสิทธิ์ ล้วนต้องรับรู้รับทราบ จึงขอกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริหารพรรคบางส่วนได้กระทำผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย และไม่จ่ายเงินที่
ได้รับเงินสนับสนุนจาก กกต.ให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด แต่นำเงินส่วนหนึ่งมาฟอกในบริษัทเมซไซอะฯ เพื่อนำไปใช้ ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ยื่นต่อ กกต.ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ในมาตรา 51, 62, 65 ซึ่งมีบทลงโทษให้ยุบพรรค และมาตรา 86 จำคุกไม่เกิน 3 ปี และยังเข้าข่ายการความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 42 , 56 วรรคสอง 82. 93 และ 114 ตนจึงอยากพิสูจน์คำว่า นิติธรรม นิติรัฐ ที่นายกรัฐมนตรีพร่ำบอกอยู่เสมอนั้นว่า จะเป็นจริงหรือไม่ หรือพอเหตุเกิดกับคนกลุ่มหนึ่งต้องผิดทุกเรื่อง แต่พอเกิดกับอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่มีความผิด จึงอยากรู้ว่าบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมอยู่จริงหรือไม่

เรื่องเงินบริจาคถึงมือดีเอสไอ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า วันนี้ดีเอสไอ ได้บรรจุเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษไปแล้ว เพราะนายประจวบได้ไปให้การกับตำรวจ ซึ่งหากสามารถพิสูจน์ลายน้ำหมึกได้ว่า พึ่งมีการเซ็นเมื่อปลายปี 51 ไม่ใช่ปี 47 นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องเข้าคุก เพราะไม่ได้แจ้งเรื่องการบริจาคเงิน และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องถูกยุบ เพราะแจ้งยุบเพราะแจ้งงบดุลเท็จ
จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม ได้อภิปรายถึงความไม่ชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ที่ไปแถลงนโยบายก็ไม่ใช่ที่รัฐสภา แบบไม่สง่างาม และยังสงสัยว่าทำไม เมื่อได้รับพระราชทานยศสัญญาบัตร แล้วทำไมไม่ใช้นำหน้าชื่อ แล้วไปบอกว่า คนโน้น คนนี้ไม่จงรักภักดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือตำรวจถ้าไม่ถูกถอดยศเขาก็ใช้คำนำหน้ากันทุกคน ไม่เช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดีได้
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งทำความผิดยึดสนามบิน เท่ากับเป็นผู้ก่อการร้ายสากล เข้าข่ายผิดกฎหมาย มาตรา 135 (2) โทษถึงประหารชีวิต
ไม่รู้หรือว่า นายกษิต เป็นผู้ต้องหา ถ้ารู้แล้วทำเป็นไม่รู้ ก็ถือว่าเข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิด มาตรา157 เพราะนายอภิสิทธิ์ ร่วมประชุมกับผู้ก่อการร้ายในการประชุม ครม. ทุกวันอังคาร และยังเดินทางไปต่างประเทศกับผู้ก่อการร้ายอีก

ลงทุนสาบานพูดเท็จขอให้ฉิบหาย
ร.ต.อ.เฉลิม ยังสาวไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ว่า มีนโยบายแจกเงิน 2,000 บาท ให้กับคน 9.2 ล้านคน แต่กลับไปขึ้นภาษีสรรพาสามิต กับคน 63 ล้านคน ต้องเดือดร้อน ตอนแรกที่เข้า
รับตำแหน่งใหม่ๆ บอกว่าจะหาเงินด้วยการเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดิน วันนี้กล้าหรือไม่ หากแน่จริงต้องกล้าขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง แทนที่จะไปขึ้นภาษี ชา กาแฟ ตนเชื่อว่าคงไม่กล้าเพราะตอนตั้งรัฐบาล มีใครไปนั่งคุยกันที่ ร.ร.โฟร์ซีซั่น แล้วทำให้พรรคเพื่อไทย แพ้โหวตนายกฯ
สำหรับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทยนั้น ตนปฏิเสธว่าไม่มีใบสั่งจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตนไม่เคยได้รับคำสั่งของพ.ต.ท.ทักษิณ พอมาเป็น มท.1 ก็ทำตัวเป็น “เจ้าพระยา” ทั้งๆ ที่เป็น “พ่อค้า” และไปบำบัดสุข บำรุงทุกข์
" ผมรู้ดีว่าหลังอภิปรายในวันนี้ อาจจะถูกฟ้องร้องอย่างน้อย 5 คดี ซึ่งผมก็ยินดี หากวันนี้ พูดชัดเจน เลือกตั้งครั้งหน้ารับรอง (แลนด์สไลด์) ชนะหมด แต่ถ้าพูดแล้วไม่ชนะ ผมก็พร้อมลงโทษตัวเอง ถ้าวันนี้ผมเอาความเท็จมาพูด ก็ขอให้วิบัติฉิบหาย จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าคนที่เอาความเท็จมาพูด ก็ขอให้ฉิบหาย เช่นเดียวกัน"ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

มาร์คแจงไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงข้อกล่าวหา ในเรื่องต่างๆว่า กรณีที่ไม่ใช้ยศทหารนำหน้าชื่อ เนื่องจากอาชีพทางการเมืองเข้ามาแล้วมีทั้งคนชอบ และคนไม่ชอบ มีเรื่องที่จะต้องถูกโจมตี ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียได้ จึงคิดว่ามาทำงานการเมืองความเป็นทหารต้องไม่ได้ติดมาในลักษณะที่ทำให้ต้องมาถูกโจมตีเสื่อมเสียด้วย (อ่านรายละเอียดคำชี้แจง หน้า 14)

ไม่เคยดีใจที่ได้ญี่ปุ่นให้กู้เงิน
ส่วนที่เดินทางไปญี่ปุ่น ชี้แจงว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเสนอมาเองว่า พร้อมที่จะให้การสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งตนก็สนับสนุนเพราะเป็นโครงการที่ดี และยังไม่เรียบร้อยในเรื่องของแหล่งเงินทุนไม่ใช่ว่าดีอกดีใจว่ากู้เงินได้ ส่วนเรื่องภาษี ตนได้ให้นโยบายกระทรวงการคลังไปแล้ว ถ้ามีความจำเป็นจะต้องจัดเก็บเพิ่มขึ้นตัวแรกที่จะดูคือเรื่องของเบียร์ เหล้า
"ถ้าถามถึงการดีอกดีใจในการกู้เงิน ผมเคยนั่งข้างล่าง และเคยฟังรัฐบาลชุดก่อนประชาธิปัตย์เมื่อปี 2540 ตอนนั้นรัฐมนตรีทนง ( พิทยะ) เป็นคนมาเล่าให้สภาฟังด้วยความดีใจว่า สามารถให้ญี่ปุ่นเอาเงินไปให้ IMF มาให้เรากู้เงินได้ และท่านทักษิณ (รองนายกฯ ขณะนั้น) ก็นั่งตรงนี้ด้วย และเป็นครั้งเดียวที่สภาได้รับแจ้งว่ารัฐบาลมีความดีใจว่า สามารถกู้เงินได้ที่ผมจำได้ และตลอดระยะเวลาการเมืองที่ผมมาอยู่"นายอภิสิทธิ์กล่าว

เกมการเมืองฟ้อง"กษิต"หลังนั่งรมต.
นายกฯจี้แจงประเด็นของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศว่า เหตุการณ์ปิดสนามบินเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย.-ธ.ค. 51 มีคนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคดีที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน 2 -3 คดีเป็นอย่างน้อย ไม่มีการเอ่ยชื่อนายกษิตเลย แต่เป็นการไปแจ้งความวันที่ 23 ธ.ค. เมื่อนายกษิตได้รับโปรดเกล้าฯ แต่ตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเมือง เพราะหากมองว่านายกษิต มีบทบาทสำคัญในการไปทำผิดก่อการร้ายจริง ตนไม่คิดว่าเขาจะรอให้มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ต้องไปแจ้งความร่วมกับคดีอื่น ๆ ที่มีการแจ้งความก่อนหน้านั้นแล้ว

มาร์คยันเป็นนายกฯโดยชอบ
ส่วนที่มีการพาดพิงถึงที่มาที่มิชอบของรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามระบบ นายกฯ กล่าวว่า ตามระบบที่ว่าก็คือตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกพรรคก็ยอมรับด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนที่มีการอ้างถึงคะแนน
เสียงนั้น ถ้าพูดถึงคะแนนที่ให้พรรคการเมืองนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้น้อยกว่าพรรคพลังประชาชนเพียงแสนคะแนน เพียงแค่พรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นที่ได้รับเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศมาร่วมกับปชป.ก็เท่ากับว่ามีประชาชนมากกว่าที่ลงคะแนนให้อยู่แล้ว
ส่วนจำนวนส.ส.เมื่อการเลือกตั้งถูกวินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม ก็มีการลงโทษตามกฎหมาย เช่น ยุบพรรค และเมื่อยุบพรรครัฐธรรมนูญก็เปิดให้
สมาชิกที่พรรคถูกยุบเข้าไปหาสังกัดและมีสิทธิ์อิสระในทางการเมืองว่าจะสนับสนุนขึ้นมาเป็นนายกฯ
"ซึ่งผมก็เชื่อว่า สิ่งที่เพื่อนสมาชิกเสียงส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนเพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงจากสภาพบ้านเมืองเมื่อปีที่แล้ว และผมทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ และผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดอย่างนั้น ดูได้จากผลการเลือกตั้งซ่อมเมื่อต้นเดือนม.ค. ที่ชนะ 21 เขตจาก 27 เขตเลือกตั้ง ดังนั้นผมจึงความชอบธรรมทุกประการที่จะบอกว่า การเข้าสู่ตำแหน่งเป็นไปตามระบบ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนวันแถลงนโยบาย ที่ต้องย้ายสถานที่นั้นต้องถามว่าใครหละที่ขัดขวาง ซึ่งตนต้องการยึดถือระบบ แต่ไม่ต้องการให้เสียเลือกเนื้อ ตนก็ตัดสินใจย้ายสถานที่และประธานสภาก็นัดให้ไปที่กระทรวงการต่างประเทศ

ยันเงินบริจาคพรรคถูกต้อง
นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบข้ออภิปรายของร.ต.อ.เฉลิม กรณีเงินบริจาคพรรคจากบริษัท ทีพีไอ ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่ท่านกล่าวถึงตามคำอภิปรายของท่านคือ 84 วัน เป็นช่วงประมาณปลายปี 47 ต่อเนื่องมาถึงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 48 ซึ่งตนมีความรับผิดชอบในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่เป็นหัวหน้าพรรคคือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน โดยมีนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรคฯ ท่านก็พร้อมที่จะชี้แจงเหตุการณ์ต่างๆ และจะยืนยันว่าตนไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในเรื่องของการจัดทำโครงการ และเรื่องเงิน แต่ว่าการดำเนินการที่ จะกล่าวหา ปชป. ก็สามารถที่จะทำได้ตามกฎหมาย
"สิ่งที่ผมต้องกราบเรียนก่อนก็คือว่า ที่ท่านสมาชิกอภิปรายให้คนเข้าใจว่า หนึ่งผมไปสมรู้ร่วมคิด มีการพบปะที่โรงแรมนั้นกับบุคคลนี้ รู้จักกับคนนั้นคนนี้ เช่น บริษัททีพีไอ ต้องกราบเรียนว่า ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลย แล้วถ้าท่านคิดว่าผมเกี่ยวข้อง ก็คงจะต้องมาแสดงเอกสารหลักฐานข้อมูลที่บอกว่าผมเข้าไปพบปะอย่างที่กล่าวหา ประการที่สอง เมื่อผมมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วผมไม่เคยเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสืบสวนสอบสวนขององค์กรใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเรื่องนี้ที่ท่านอภิปรายโดยพูดถึงคดีพิเศษ ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของบริษัท ก็ดำเนินต่อไป และผมฟังบางครั้งคนเข้าใจผิดได้ว่า เมื่อคืนนี้ผมไปทำอะไร เพราะว่าเกรงกลัว ทั้งที่ผมนอนหลับสบายดีอยู่ที่บ้าน และวันนี้ก็พร้อมมาชี้แจง"นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายกฯกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ตนเป็นรองนายกฯ เป็นช่วงที่เกิดขึ้นปลายปี 47 ต่อเนื่องปี 48 และหลังจากการเลือกตั้ง นายบัญญติได้ลาออกและเปิดให้เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และผู้บริหารชุดใหม่ ตนก็เข้ามาทำหน้าที่ตั้งแต่เดือนเม.ย. โดยหน้าที่มีสองส่วนคือถ้าท่านบอกว่ามีการบริจาคเข้ามาสู่พรรคก็ต้องแจ้งให้กกต.ทราบ ซึ่งอันนี้ไม่ได้แจ้งเป็นรายปี เพราะเมื่อมีเงินบริจาคเข้ามาเขาจะมีการกำหนดให้มีการแจ้งเป็นระยะ ดังนั้นแทบจะทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนต้องมีการเซ็นแจ้งเงินบริจาคไปยังกกต. ตนก็ทำสมบูรณ์ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรค
ส่วนที่สองคือ เมื่อตนเข้ามาบังเอิญเป็นช่วงที่จะมีการรับรองงบดุลของปี 47 ซึ่งต้องเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคด้วย กระบวนการคือเมื่อตนเข้ามาต้องให้เจ้าหน้าที่รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเงินของพรรคและให้มีผู้สอบบัญชีเข้ามาสอบ ซึ่งก็เข้ามาดูว่างบดุลเป็นไปตามเอกสารหลักฐานหรือไม่ เขาก็ต้องรับรอง จากนั้นก็เสนอมาให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ เหรัญญิกพรรค ขณะนั้น ท่านก็ตรวจสอบว่าถูกต้องตามเอกสารที่มีอยู่ และได้ลงนามพร้อมเสนอมาที่ตน และเมื่อเห็นว่าผ่านกระบวนการตรวจสอบมาแล้ว ตนก็ลงนามในงบดุล
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาในเรื่องของปี 48 ซึ่งตนไปรับรองในปี 49 ก็มีประเด็นในการใช้จ่ายในการเลือกตั้งในช่วงต้นปี ตรงนี้อยากจะเรียนว่า นอกจากงบดุลแล้วเรื่องค่าใช้จ่ายการเลือกตั้งก็ต้องมีการแสดงในส่วนของพรรค ซึ่งมีการแสดงไปและกกต. ก็ได้ตรวจสอบ และในการตรวจสอบของกกต.ก็มีการซักถามในประเด็นที่มีความสงสัยว่าถูกต้องหรือไม่ ซึ่งกกต.ก็มีหนังสือมาถึงปชป.ตั้งข้อสังเกตบางประเด็นต่ำไม่มีประเด็นที่ ร.ต.อ.เฉลิม อภิปรายเลย
"ดังนั้น ตรงนี้ผมได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคในการรายงานเงินบริจาคต่างๆ และในการรับรองงบดุลอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว จึงไม่มีประเด็นอะไรที่ตั้งข้อสงสัยในการทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไป" นายอภิสิทธิ์กล่าว

"ตู่"อ้าง“มาร์ค-กษิต"ทำเสียดินแดน
ต่อมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายโจมตีนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ว่า การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ประชาชนรู้ดีว่า เป็นเพราะทหารเรียกนักการเมืองเข้าไปบ้านพัก ร. 1 รอ. เพื่อบีบบังคับ จากนั้นส่งคนของตัวไปเป็นรัฐมนตรี เป็นการได้อำนาจมาด้วยวิธีพิเศษ เป็นการสมคบกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และกองทัพ ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย และแต่งตั้งคนที่ยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ มาเป็นรมว.ต่างประเทศ
นายจตุพรกล่าวว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ให้สัมภาษณ์ และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างรุนแรงว่า เป็นตัวการที่จะทำให้ประเทศ เสียดินแดน เสียอธิปไตย แต่วันนี้มาเป็นรัฐบาล กลับปล่อยให้ทหารกัมพูชาบุกรุกเข้าในเขตประเทศไทย 250 เมตร เพื่อสร้างถนนขึ้นเขาพระวิหาร แต่ตนมีหลักฐานจากกองกำลังสุรนารี ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาลให้ประท้วงการบุกรุกของทหารกัมพูชา ถึง 9 ครั้ง แต่ไม่มีการตอบสนอง ทำหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา
แต่นายกษิต แทงเรื่องนี้เป็นเรื่องลับ ทำให้ไม่มีใครรู้ แต่ที่ตนรู้เพราะมีทหารจากกกองกำลังสุรนารี ส่งเอกสารมาให้ การที่นายกษิต เคยบอกก่อนหน้านี้ว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของ
ไทย โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์วันนี้ทำไมถึงไม่ทำเรื่องอุทธรณ์ไปยังศาลโลก เพื่อขอรักษาสิทธิตรงนี้ไว้ วันนี้นายกฯ และรมว.กลาโหม ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งได้อย่างไร

ตามจิกข้อหา"มาร์ค"หนีเทหาร
นายจตุพร ยังกล่าวว่า นายกฯ ชอบแสดงว่า เป็นคนมีมาตรฐานสูงออกกฎบังคับให้รัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม 9 ข้อ โดยเฉพาะรัฐมนตรีทุกคนต้องไม่มีอภิสิทธิ์ทางด้านกฎหมายเหนือประชาชนทั่วไป แต่ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ไม่แค่หนีการเกณฑ์ทหารเท่านั้น แต่ประวัติการเมืองก็ยังสับสน โดยเฉพาะการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หลังได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยข้อมูลระบุว่านายอภิสิทธิ์ สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 15 มิ.ย. 35 แต่การเลือกตั้งเกิดขึ้นเดือนมี.ค. 35 เป็นข้อน่าสังเกตว่าหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว 3 เดือน จึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่ช่วงนั้นใช้รัฐธรรมนูญปี 34 ที่ระบุว่าผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมือง

อัด"มาร์ค"ส่งSMSอ้อนปชช.
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายกรณี นายอภิสิทธิ์ มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ กรณีที่มีการส่งข้อความเอสเอ็มเอส ไปยังประชาชนหลังจากที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ ได้รับเลือกจากสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ยังไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯ โดยนายกรณ์ จาติกวณิช ได้เรียกผู้บริหารของบริษัทโทรศัพท์มือถือ 3 แห่ง คือ เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ซึ่งมีเบอร์ผู้รับบริการประมาณ 53 ล้านเลขหมาย มาหารือที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เพื่อขอให้ส่งข้อความสั้นในนามของนายอภิสิทธิ์
นายสุรพงษ์ กล่าวว่าการส่งข้อความดังกล่าว ผู้ประกอบการระบุว่า จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายเลขหมายละ 1 บาท แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้จ่ายค่าบริการดังกล่าวให้แก่บริษัท ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากอัตรา
ภาษีสรรพสามิต จึงต่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ นอกจากนี้ หากคิดค่าบริการก็ต้องเป็นเงินจำนวนมากกว่า 3 พันบาทแน่นอน การที่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้จ่ายในส่วนนี้ก็เท่ากับได้รับประโยชน์เกินมูลค่า 3 พันบาท
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผลประโยชน์ในค่าส่งเอสเอ็มเอส กลับมาในอัตราค่าบริการ 3 บาท ต่อครั้ง ก็ไม่ทราบว่าไปอยู่ไหน หรือจะกลายเป็นค่าตอบแทนให้กับนายกฯ ซึ่งก็จะมีความผิดในการรับของ
กำนัลมูลค่าเกินกว่า 3 พันบาท

มาร์คยันSMSทำเพื่อส่วนรวม
นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่มีแนวคิดการส่งเอสเอ็มเอส เพราะบ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในภาวะความแตกแยกสูง จึงหาวิธีที่จะสื่อสารกับประชาชนโดยตรง โดยให้หลักการว่า จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเรื่องสำคัญกำชับว่า หากจะขอความร่วมมือจะต้องไม่มีเรื่องผลประโยชน์เรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง
ส่วนเรื่องการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลนั้น เราไม่ได้คิดขนาดนั้น เพราะเมื่อเวลาไปงานที่ไหน ก็มีเอสเอ็มเอส ต้อนรับ ถ้าพูดถึงการละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ต้องถามกลุ่มคนที่เอาเบอร์โทรศัพท์ตนไป
ประกาศตามสถานีวิทยุ เพื่อให้ส่งข้อความหยาบคายเข้ามา ถือว่าละเมิดสิทธิ์มนุษยชนมากกว่าอีก
ขณะที่นายกรณ์ ชี้แจงว่า ตนไม่เคยใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับบริษัทเอกชน เพราะในช่วงที่เจรจา ตนเป็นเพียงส.ส.คนหนึ่ง ไม่ใช่ รมว.คลัง เพราะนอกจาก 3 บริษัทนี้ยังมีบริษัท ฮัชชิสัน ที่กสท.ถือหุ้นใหญ่ และประธาน กสท.คือรองปลัดกระทรวงการคลัง หากตนใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับจริง บริษัทแรกที่จะให้ความร่วมมือคือฮัชชิสัน แต่สุดท้ายบริษัทนี้ก็ไม่มาร่วมโครงการ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร และได้ตำแหน่งรมว.คลัง ก็ไม่ได้เพราะดำเนินการเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะตนเป็นรมว.คลังเงา มาตั้งแต่แรก
นายกรณ์ กล่าวว่า การส่งเอสเอ็มเอสไปจำนวน 17 ล้านเลขหมาย แต่มีประชาชนตอบกลับมา 3.4 แสนเลขหมาย ซึ่งรายได้ที่คิดค่าบริการครั้งละ 3 บาทนั้น ก็เป็นเรื่องของบริษัทที่จะได้รับและทำ
รายการการเสียภาษี ส่วนค่าใช้จ่ายในการส่งข้อความของนายกฯนั้น รัฐบาลไม่ได้จ่ายค่าบริการ เพราะเป็นการขอความร่วมมือกับบริษัทเอกชน ซึ่งยินดีร่วมสร้างความสมานฉันท์ ส่วนเรื่องภาษีนั้น กระทรวงการคลังก็ไม่ได้ละเว้น โดยในรายการการเสียภาษีเดือน ม.ค.52 ก็มีรายการผลประกอบการจากการส่งข้อความด้วย และตนก็ไม่เคยมีส่วนร่วมทำทุจริตด้วยการแก้สัมปทาน เอื้อประโยชน์ให้เจ้าของบริษัทมือถือแต่อย่างใด

ส.ส.กรุงเก่าแจกกล้วย หวิดมีมวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเกิดเหตุวุ่นวายในห้องประชุมสภาขึ้นขณะที่ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายการทุจริตในนโยบายการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของสำนักงานการอาชีวศึกษา จนทำให้น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ ต้องลุกขึ้นชี้แจง และนายสุนัย ยังได้เปิดเผยข้อมูลทุจริตบุคคลชื่อ"ปัญญา"โดยระบุว่าครอบครัวของนางนาถยา เบญจศิริวรรณ ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ รู้จักดี จากนั้นนางนาถยา ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า บุคคลในครอบครัวไม่มีคนชื่อปัญญา และได้กล่าวถึงชื่อของสามีและลูกทั้งสามคน แต่ปรากฏว่านายสุนัยได้ยียวน ด้วยการโต้ว่าตนไม่ได้บอกว่าคนในครอบครัวมีคนชื่อปัญญา และนายสุนัย ยังได้ถามถึงชื่อสามีของนางนาถยาอีกว่าตกลงชื่อสามีชื่ออะไร ขอทราบอีกครั้ง เพราะฟังไม่ถนัดรวมทั้งชื่อสามีที่กล่าวมาไม่ตรงกับหลักฐานที่ตนมี
ต่อมานายอภิชาต สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นถามนายสุนัย ที่เคยให้สัญญาว่า จะเปิดเผยว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตัวจริงคือใคร เพราะก่อนหน้านี้นายสุนัย ได้บอกว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ หัวหน้าพรรคตัวจริง แต่นายสุนัย ก็ไม่ยอมเปิดเผย โดยอ้างว่าไม่พาดพิงคนนอก จากนั้นมีส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลคนหนึ่งลุกขึ้นประท้วง นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ที่ไม่ควบคุมการประชุมเพราะนายสุนัย ไม่ได้อภิปรายในประเด็น แต่นายสุนัย ก็ยังโต้เถียง จนทำให้นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ลุกขึ้นประท้วงนายสุนัย โดยขอให้เลิกพูดวกไปวนมา ขอให้เข้าประเด็นดีกว่า
ปรากฏว่า นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงบ้าง โดยถามนายชัย ว่านายรณฤทธิชัย ใช้สิทธิ์อะไรในการประท้วง ถ้าจะใช้สิทธิ์รัฐมนตรี ขอให้รอปรับ ครม.รอบหน้า ซึ่งนายรณฤทธิชัย กล่าวว่า ตนขอรอบนี้แหละ และจากนั้น นายสุรเชษฐ์ ที่นั่งอยู่ติดกับมุมของสื่อมวลชน ได้กล่าวสวนนายรณฤทธิชัย ขึ้นว่า "ค-ย” จนทำให้นายรณฤทธิชัย ถึงกับบอกว่า "เฮ้ย ค-ย เลยหรอ" และจากนั้นนายรณฤทธฺชัย ก็ปรี่จะเข้ามาหานายสุรเชษฐ์ แต่ก็ถูกเพื่อนส.ส.ห้ามไว้ ทว่านายสุรเชษฐ์ ไม่ยอมหยุด และยังได้ท้านายรณฤทธฺชัย ว่า "เฮ้ย..น้องไปเจอกันนอกห้อง" จากนั้นนายสุรเชษฐ์ ก็เดินออกจากห้องประชุมไป แต่นายรณฤทธิชัย ไม่ได้เดินออกไป และยังนั่งอยู่กับที่เฉยๆ โดยมีนายนที สุทินเผือก (กรุง ศิริไล) ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย นั่งประกบให้ใจเย็น เพราะเคยเป็นเพื่อนร่วมวงการบันเทิงด้วยกันมา

"สาก"ขู่แจ้งข้อหาหนัก"มาร์ค"
ต่อมา ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย อภิปรายโดยพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่องการขอการพระราชทาน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ซึ่งเป็นการทำให้พระมหากษัตริย์อึดอัด เข้าข่ายเป็นการประทุษร้ายต่อกาย และจิตใจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต และคดีดังกล่าวไม่ขาดอายุความ นี่เป็นโทษประหารชีวิต ซึ่งร.ต.ท.เชาวริน ระบุว่า เมื่ออภิปรายเสร็จ จะไปแจ้งความที่ สน.ดุสิต ว่านายกฯ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 108 เป็นการประทุษร้ายในหลวง
ร.ต.ท.เชาวรินยังกล่าวการที่นายอภิสิทธิ์ ไม่ใช้ยศนำหน้าชื่อ โดยอ้างว่ามีระเบียบกลาโหม กำหนดว่าจะใช้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งนายกฯ อาจจะไม่รู้ว่าการมียศ ต้องมีใบกำกับสัญญาบัตรยศ มีพระปรมาภิไธย มีพระราชลัญจกร จึงสมควรใช้นำหน้าชื่อด้วย
นอกจากนี้ ร.ต.ท.เชาวริน ยังได้นำ ภาพงานแต่งของนายอภิสิทธิ์ กับนางพิมพ์เพ็ญ ภริยา มาแสดงประกอบอภิปราย โดยระบุว่าต่างหูเพชร ที่นางพิมพ์เพ็ญใส่ในงานสมรส เมื่อ20 กว่าปีที่ผ่านมาราคา 2 แสนบาท แต่ตอนนี้คาดว่าน่าจะประมาณ 6 แสนบาท แต่นายกฯไม่ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. และยังได้กล่าวหาว่ามีตำแหน่งเป็นผอ.กอรมน. แต่ปล่อยปะละเลยให้ทหารที่ปฏิบัติการอยู่ใน3 จ.ชายแดนภาคใต้ ต้องถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด
ทั้งนี้ร.ต.ท.เชาวริน ได้นำวีซีดีภาพเหตุการณ์ระหว่างที่นายทหารถูกฆ่าตัดคอมาเปิดในสภาด้วย ทำให้ส.ส.หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วง ว่าไม่ควรปล่อยให้มีการนำภาพลักษณะนี้มาฉายในสภา

มาร์คยันไม่เคยละเมิดสถาบันฯ
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงเรื่องต่างหูเพชร ว่า พ่อแม่ภรรยาให้เป็นของขวัญ จึงไม่ได้ขาย เป็นของขวัญ ราคาขณะนั้นหกหมื่นบาท เท่านั้นซึ่งก็อยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่ตนแสดงแล้ว
ส่วนเรื่องมาตรา 7 ที่กล่าวหาตนอย่างรุนแรง หากอ่านกระแสพระราชดำรัสให้ครบถ้วน จะพบว่า พระองค์ไม่เคยใช้พระราชอำนาจเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ หากใครเสนอพระองค์ให้ใช้อำนาจเกิน พระองค์จะไม่กระทำ ที่บอกว่าตนเรียกร้องมาตรา 7 และขอนายกฯ พระราชทาน ตนไม่เคยเสนอแนวทางนั้น ที่เสนอคือหลังจากยุบสภา ทุกพรรคไม่มั่นใจในความเป็นกลางของ กกต. ในการดูแลการเลือกตั้ง จึงตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้ง วันนั้นก็มีพระราชดำรัสเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ตนจึงเสนอให้นายกฯทักษิณ กับ ครม.ให้ลาอออก เพื่อเข้าเงื่อนไขมาตรา 7 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคไทยรักไทย และกลุ่มบุคคลไปฟ้องร้องให้ยุบพรรค แต่สุดท้ายอัยการเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นในการยุบพรรค เรื่องนี้จึงชัดเจน หากนายกฯทักษิณ ยอมรับทุก คนก็จะเดินเข้าสู่เงื่อนไขมาตรา 7 หากเป็นอย่างนั้น วันนี้อาจจะใช้รัฐธรรมนูญ 2540 อยู่ก็ได้ ยืนยันตนไม่ได้ละเมิดสถาบันฯแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องปัญหา ชายแดนใต้และที่ยกภาพฆ่าตัดคอ ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เกิดหลายปีตนก็ไม่อยากยกขึ้นมา แต่ตอนนี้ถือว่าลดลง ดังนั้นฝ่ายก่อเหตุเมื่อน้อยครั้งจึงทำให้รุนแรงเพื่อเป็นข่าว เราต้องไม้ตกเป็นเหยื่อให้ภาพเหล่านี้สร้างความหวาดกลัว และตนไม่เคยละเลยปัญหาชายแดนใต้

'เหลิม'อภิปรายด้วยแค้น'ประชัย'
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การอภิปรายของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นเรื่องเก่า ที่สื่อมวลชนได้นำมาลงก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะ กรณีบริษัท แมซไซอะ ครีเอชั่น จำกัด กับกรณีเงิน 258 ล้านบาท
"การอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นการอภิปราย บริษัททีพีไอ มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่ทราบว่า มีความโกรธแค้นอะไรส่วนตัวกับคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จึงมีคนฝากตั้งคำถามเพื่อให้ร.ต.อ
.เฉลิม ตอบว่า จริงหรือไม่ที่ร.ต.อ.เฉลิมได้ให้คอลัมนิสต์ชื่อดังคนหนึ่ง ประสานงานระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับคุณประชัย เพื่อพบกันที่ห้องอาหารจีน โรงแรมเดอะแกรนด์ หรือนิโก้เก่า ถนนรัชดาภิเษก และจริงหรือไม่ที่ข่าวบอกว่า คุณเฉลิมได้ขอเงินสนับสุนนจากคุณประชัย 1 พันล้านบาท เพื่อมาฟื้นฟูพรรคมวลชน แต่คุณประชัย กลับมาสนับสนุนพรรคมัชฌิมาธิปไตย ถ้าหากเรื่องนี้เป็นความจริง อยากจะเรียนกับคุณเฉลิม ว่า ไม่ควรเอาความแค้นส่วนตัวมาชำระในที่ประชุมสภา"นายเทพไท กล่าว

"เสธ.หนั่น"บอกไม่ระคายผิวรัฐบาล
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย กล่าวว่าการอภิปรายไม่มีข้อมูลอะไรที่สามารถทำให้รัฐบาลกระทบกระเทือนได้ ทั้งเรื่องที่บอกว่านายกฯ หนีทหาร ปรากฎว่านายกฯ ก็ชี้แจงได้ชัดเจน โดยพยายามไม่เปิดเผยก่อน แต่สุดท้ายก็เปิด สด.9 ออกมาหักล้างได้ จึงไม่มีปัญหาอะไร และกรณีเงินบริจาค แม้จะมีหลักฐานโยงไปถึงคนนั้นคนนี้ แต่ไม่ได้เป็นการโอนไปให้พรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นพรรคชาติไทยพัฒนาก็สบายใจ ที่จะสนับสนุนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย อย่างไรก็ตามต้องรอฟังการอภิปรายอีกหนึ่งวันว่าจะมีอะไรหรือไม่
"ผมว่ารัฐบาลจะผ่านไปได้ ไม่มีอะไรที่เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง" พล.ต.สนั่น กล่าว

เอกชน-ปชช. ผิดหวังฝ่ายค้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตลาดเทศบาลเมืองพิจิตร และชาวบ้านที่มาจ่ายตลาด ก็ให้ความสนใจติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หลายคนบอกว่า ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายเร็วเกินไป ทั้ง
ที่รัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 3 เดือน รวมทั้งเนื้อหาที่อภิปรายโดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่ค่อยมีเหตุผล
เช่นเดียวกับประชาชน จ.ขอนแก่น บางส่วนเห็นว่า การอภิปรายส่วนใหญ่เป็นเรื่องเดิม โดยเฉพาะนายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า ผิดหวังกับการอภิปรายของฝ่ายค้าน เพราะเนื้อหาไม่เน้นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า
ขณะที่ประชาชน จ.สงขลา เห็นว่า ฝ่ายค้านควรให้เวลารัฐบาลทำงานสักระยะ ส่วนที่ จ.สตูล ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า เนื้อหาของฝ่ายค้านไม่มีน้ำหนักพอจะล้มรัฐบาลได้
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าที่มีการปราศรัยบนเวทีชุมนุมของกลุ่มนปช. เนื้อหาหลักๆ มุ่งโจมตีและ
ทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เช่น เรื่องเงินทีพีไอ เรื่องเกณฑ์ทหาร เรื่องมาตรา 7 ปัญหาในกระทรวงศึกษา หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยของนายกฯ และภรรยา ซึ่งไม่ใช่การประเมินผลงานของรัฐบาล ถ้าเป็นแบบนี้ฝ่ายค้านไม่ต้องยื่นญัตติเปิดอภิปรายให้เสียเวลาก็ได้ ปล่อยให้คุณทักษิณ โฟนอินตามงานวัด งานบวช งานแต่ง ยังดูน่าติดตามมากกว่า

โพลชี้ประชาชนเชื่อข้อมูลนายกฯ
เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความคิดเห็นประชาชน ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัด ทั่วประเทศ พบว่า ในประเด็นความน่าเชื่อถือ
ของข้อมูลที่นำมาอภิปราย ร้อยละ 34.4 ระบุ ข้อมูลของ ร.ต.อ.เฉลิม มีความน่าเชื่อถือ และร้อยละ 62 ระบุข้อมูลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าเชื่อถือ
เมื่อสอบถามถึงความนิยมศรัทธาที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ ภายหลังการอภิปราย พบว่าร้อยละ 70.6 ระบุไม่ลดน้อยลง ส่วนร้อยละ 29.4 บอกศรัทธาลดน้อยลง ส่วนความเห็นที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ว่าควรเป็นฝ่ายค้านต่อไปหรือกลับมาเป็นรัฐบาล พบว่าร้อยละ 73.1 เห็นว่าพรรคเพื่อไทยควรเป็นฝ่ายค้านต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น