xs
xsm
sm
md
lg

“เป็ดเหลิม” ชักเลอะป้ายสี “มาร์ค” อุ้ม “กษิต” เสียดสีไม่จงรักภักดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เฉลิม อยู่บำรุง
ร.ต.อ.เฉลิม จับแพะชนแกะ อ้าง “กษิต” ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรง แต่นายกฯ กลับละเว้นดึงเข้าร่วมประชุม ครม.ทุกวันอังคาร ป้ายสี “มาร์ค” ไม่จงรักภักดีสถาบันฯ ไม่กล้าใช้ชื่อยศทหารนำหน้า

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ป้ายสี “มาร์ค” อุ้ม “กษิต” เสียดสีไม่จงรักภักดี

วันนี้ (19 มี.ค.) การประชุมสภาผู้แทนราษฏรนัดพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 5 คน เริ่มขึ้นเเวลา 9.30 น. โดยมีคณะรัฐมนตรีมาร่วมนั่งฟังกันอย่างพร้อมเพรียง

การอภิปรายเริ่มจากร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธานส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมแสดงชาร์ตประกอบอย่างคึกคักใช้เวลาร่วม3 ชั่วโมง ในประเด็น263 ล้าน ที่มาที่ไปของเส้นทางเงินที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด นำเงินจากตลาดหลักทรัพย์จำนวน 263 ล้านบาทจ่ายเงินให้กับกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับทำธุรกิจโฆษณาที่ไม่มีโรงพิมพ์ โรงงาน ตั้งอยู่บ้านเลขที่108/12 หมู่11 กิโลเมตร7 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1ล้านบาทเศษ รวมทั้งนำสำเนาเช็คการจ่ายเงินให้กับบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์มาแสดงอย่างละเอียด

ร.ต.อ.เฉลิมตั้งข้อกล่าวหานายกฯว่ากระทำการแจ้งบัญชีงบดุลประจำปี ณ วันที่31 ธ.ค.2547 และ 31 ธ.ค. 2548 อันเป็นเท็จ มีการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระถึงสองครั้ง โดยในปี2547 บริษัททีพีไอโพลีน จำกัดซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้จ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการฯเซ็นชื่อลงนามจ่ายเช็คเพียงคนเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากกรรมการบริษัทฯ ถือเป็นการนำเงินของประชาชนผู้ถือหุ้นมาจ่ายให้กับพรรคและกลุ่มคนของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการจ่ายเช็คจำนวน 27 ฉบับ ผ่านเข้าธนาคารต่างๆรวม 75 ครั้ง ภายในเวลา 84 วันโอนเข้าบัญชีบริษัทเมซไซอะจากนั้นก็แยกย่อยกระจายเช็คไปยังบุคคลต่างๆ 4กลุ่มด้วยกันคือ 1.เข้าบัญชีนายประจวบ สังขาว กรรมการบริษัทเมซไซอะซึ่งเป็นบริษัทรับใช้คนของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยมีกรรมการบริษัทชื่อน.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณ ได้รวม 21,269,300บาท 2.เข้าบัญชีกลุ่มคนใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นจำนวนรวม 33,728,000บาท 3. เข้าบัญชีกลุ่มของนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น13,600,000 บาท และ4.เข้าบัญชีนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้รวม 43,409,740บาท ส่วนเส้นทางของเงินที่เหลือตนไม่สามารถหาหลักฐานได้เนื่องจากมีคนในรัฐบาลไปสั่งให้เจ้าหน้าที่ระงับการให้เอกสารเหล่านั้น

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การโอนเงินดังกล่าว เป็นช่วงเวลาเดียวกับช่วงใกล้เลือกตั้งพอดี ที่สำคัญเมื่อคืนวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมามีฝ่ายรัฐบาลไปบังคับข้าราชการเพื่อไปขอคำให้การในคดีดังกล่าว จึงอยากถามว่าหากแน่จริงจะกลัวอะไร ไหนว่าไม่เคยโกงแล้วเมื่อคืนไปบีบเอาเอกสารจากข้าราชการทำไม ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางผ่านบริษัทเมซไซอะ เพื่อส่งเงินต่อไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่บางคนมีอาชีพทำแพรปลา บางคนมีอาชีพเป็นแม่บ้านของบริษัท โดยทุกอย่างเกี่ยวโยงกับนายธงชัย ดลศรีชัย ลูกพี่ลูกน้องของนายประดิษฐ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จ.พิจิตร และนายธงชัยก็เป็นคนพาไปเจอกับนายประจวบ ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทแมซไซอะจนทำให้เกิดการไซฟอนขึ้น จึงขอกล่าวหาว่านายกฯได้ทำความผิดฐานฉ้อราษฎร์เอาเงินประชาชนจากตลาดหลักทรัพย์ และบังหลวงไม่แสดงบัญชีรายรับของพรรคอย่างตรงไปตรงมา ปกปิดรายรับกรณีได้รับเงินจากบริษัททีพีไอโพลีน กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา137 ฐานแจ้งความเท็จ

นอกจากนี้การกระทำของผู้มีอำนาจในบริษัททีพีไอที่เบียดบังเอาทรัพย์สินบริษัทมาใช้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและผู้อื่นทำให้บริษัทได้รับความเสียหายตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/10 89/11 89/21 306 307 308 และ 311 และอยากให้ประชาชนที่ซื้อเสียประโยชน์จากเรื่องนี้ในปี2547-2549ฟ้องบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ใช้โอกาสทางธุรกิจ ทำการทุจริตแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ขณะที่บริษัทเมซไซอะ โดยนายประจวบ สังขาว มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน คอยช่วยเหลือและทำใบกำกับภาษีปลอมให้กับพรรคประชาธิปัตย์จนบริษัทของตัวเองถูกฟ้องล้มละลายเพราะติดหนี้กรมสรรพากรถึง 14 ล้านบาท

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ยังพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการไซฟอนเงินที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกกต.จำนวน 29ล้าน โดยก้อนแรกให้นายธงชัย ดลศรีชัย น้องชายนายประดิษฐ์ได้ว่าจ้างน.ส.วาศินี ทองเจือไปทำป้ายโฆษณาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งน.ส.วาศินีก็ได้ว่าจ้างบริษัทเกิดเมฆแอทเวอร์ไทซิ่งและบริษัทแมกเน็ตไซ อีกต่อหนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามตัดตอนว่านายธงชัยไม่เกี่ยวข้องกับพรรค แต่หากไปดูหลักฐานการยื่นภาษีภงด.53ของพรรคประชาธิปัตย์ต่อกรมสรรพากร จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งบิลโดยผ่านนายธงชัยไปยังน.ส.วาศินี ก่อนโอนต่อไปให้บริษัทเกิดเมฆจำนวน 2ล้านเศษ และให้บริษัทเมกเน็ตไซ 8 หมื่นกว่าบาท

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังนำเงินที่ได้รับจากกกต. ไปว่าจ้างบริษัทเมซไซอะจำนวน 23,314,200 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างจัดทำป้ายโฆษณา แต่ไม่มีการทำธุรกรรมอย่างแท้จริง กระทำการเพียงแค่สร้างเรื่องเพื่อต้องการเอาเงินของกกต.มาใช้ เห็นชัดเจนเนื่องจากภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินจากกกต.มา ก็ได้โอนให้กับนายประจวบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทเมซไซอะเมื่อวันที่10 มกราคม 2548 และเพียงแค่วันเดียวคือวันที่11 ม.ค.48 บริษัทแห่งนี้ก็โอนเงินกระจายแยกย่อยไปให้กลุ่มบุคคลต่างที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์และคนของบริษัททันที11คน ซึ่งเหตุที่ตนกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์กระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย เพราะนายอภิสิทธ์ ได้เซ็นรับรองงบดุลประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2548 ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

“พฤติกรรมทุกอย่างนายอภิสิทธิ์ล้วนต้องรับรู้รับทราบ จึงขอกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริหารพรรคบางส่วนได้กระทำผิดฐานรับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองโดยไม่เปิดเผย และไม่จ่ายเงินที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกกต.ให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด แต่นำเงินส่วนหนึ่งมาฟอกในบริษัทเมซไซอะเพื่อนำไปใช้ ไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ยื่นต่อกกต.ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ. 2541 ในมาตรา 51 62 65 ซึ่งมีบทลงโทษให้ยุบพรรค และมาตรา 86 จำคุกไม่เกิน 3 ปี และยังเข้าข่ายการความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ. 2550 มาตรา 42 56 วรรคสอง 82 93 และ 114 ตนจึงอยากพิสูจน์คำว่านิติธรรม นิติรัฐที่นายกรัฐมนตรีพร่ำบอกอยู่เสมอนั้นว่าจะเป็นจริงหรือไม่ หรือพอเหตุเกิดกับคนกลุ่มหนึ่งต้องผิดทุกเรื่อง แต่พอเกิดกับอีกกลุ่มหนึ่งไม่มีความผิด จึงอยากรู้ว่าบ้านเมืองนี้มีความยุติธรรมอยู่จริงหรือไม่”

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า วันนี้ดีเอสไอได้บรรจุเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษไปแล้ว เพราะนายประจวบได้ไปให้การกับตำรวจ ซึ่งหากสามารถพิสูจน์ลายน้ำหมึกได้ว่าพึ่งมีการเซ็นเมื่อปลายปี 2551 ไม่ใช่ปี 2547 นายอภิสิทธิ์ก็ต้องเข้าคุก เพราไม่ได้แจ้งเรื่องการบริจาคเงินและพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกยุบเพราะแจ้งยุบเพราะแจ้งงบดุลเท็จ ขนาดนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯจัดรายการชิมไปบ่นไปยังต้องออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเรื่องนี้ตนยืนยันว่านายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวเพราะคนที่รับรองงบดุลทั้ง 2 ปีคือนายอภิสิทธิ์ ซึ่งในเบื้องต้นตนแนะนำให้ปลดนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ในฐานะที่เป็นเหรัญญิกในขณะนั้นแต่ไม่ยอมตรวจสอบไม่รู้จักดับเบิลเช็ค ก่อนที่จะให้นายเซ็น

จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม ได้อภิปรายถึงความไม่ชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ที่ไปแถลงนโยบายก็ไม่ใช่ที่รัฐสภา แบบไม่สง่างาม และยังสงสัยว่าทำไมเมื่อได้รับพระราชทานยศสัญญาบัตรแล้วทำไมไม่ใช่นำหน้าชื่อ แล้วไปบอกว่าคนโน้นคนนี้ไม่จงรักภักดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจถ้าไม่ถูกถอดยศเขาก็ใช้คำนำหน้ากันทุกคน ไม่เช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีได้

นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งทำความผิดยึดสนามบิน เท่ากับเป็นผู้ก่อการร้ายสากล เข้าข่ายผิดกฎหมาย มาตรา135 (2) โทษถึงประหารชีวิต ไม่รู้หรือว่า นายกษิต เป็นผู้ต้องหาถ้ารู้แล้วทำเป็นไม่รู้ก็ถือว่าเข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิด มาตรา157 เพราะนายอภิสิทธิ์ ร่วมประชุมกับผู้ก่อการร้ายในการประชุม ครม. ทุกวันอังคาร และยังเดินทางไปต่างประเทศกับผู้ก่อการร้ายอีก ตรงนี้ถือว่ามีความสง่างามหรือไม่

ร.ต.อ.เฉลิมยังสาวไปยังนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ว่า มีนโยบายแจกเงิน2,000บาท ให้กับคน9.2 ล้านคน แต่กลับไปขึ้นภาษีสรรพาสามิต กับคน63ล้านคนต้องเดือดร้อน ตรงนี้อยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด ตอนแรกที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ บอกว่าจะหาเงินด้วยการเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดิน วันนี้กล้าหรือไม่ หากแน่จริงต้องกล้าขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง อย่างกระทิงแดง แทนที่จะไปขึ้นภาษีชา กาแฟ ตนเชื่อว่าคงไม่กล้าเพราะตอนตั้งรัฐบาลมีใครไปนั่งคุยกันที่ ร.ร.โฟร์ซีซั่น แล้วทำให้พรรคเพื่อไทยแพ้โหวตนายกฯ นอกจากนี้หากการบริหารงานรัฐบาลชุดนี้คิดได้แค่การกู้เงินจากต่างประเทศและจ้องขึ้นภาษีอย่างนี้ให้ตนมาเป็นนายกฯก็ได้ เพราะตนเป็นนายกฯประเทศไทยก็ยังมี 76 จังหวัดเท่าเดิม

สำหรับนายชวรัตน์ รมว.มหาดไทย ตนปฏิเสธว่า ไม่มีใบสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตนไม่เคยได้รับคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ พอมาเป็น มท.1 ก็ทำตัวเป็น “เจ้าพระยา” ทั้งๆที่เป็น “พ่อค้า” และไปบำบัดสุข บำรุงทุกข์ ส่วนนายบุญจง รมช.มหาดไทย นั้นเจอข้อหาน่าหมั่นไส้ในการทำงาน เพราะบริหารราชการแบบไฮเปอร์ ไปบอกข้าราชการในกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.)ว่าการจัดสรรงบประมาณถ้าจัดเสร็จแล้วก็จัดไป แต่ถ้ายังเหลือก็ให้เอามาจัดสรรใหม่ ตรงนี้ถือว่าทำงานไม่สอดคล้องกับกฎเหล็ก 9ข้อ ที่นายกรัฐมนตรี ได้วางไว้ตอนรับตำแหน่งใหม่

“คนอย่างผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ที่เห็นเป็นประกายแวววาวก็ไม่ใช่ทองแท้เสมอไป ผมรู้ดีว่าหลังอภิปรายในวันนี้อาจจะถูกฟ้องร้องอย่างน้อย5คดี ซึ่งผมก็ยินดี หากวันนี้พูดชัดเจน เลือกตั้งครั้งหน้ารับรอง (แลนด์สไลด์)ชนะหมด แต่ถ้าพูดแล้วไม่ชนะผมก็พร้อมลงโทษตัวเอง ถ้าวันนี้ผมเอาความเท็จมาพูดก็ขอให้วิบัติฉิบหาย จะให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าคนที่เอาความเท็จมาพูด ก็ขอให้ฉิบหาย เช่นเดียวกัน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวและว่า ตนยังมีเอกสารลึก ๆ อีก แต่ไม่อยากเอามาฆ่าคน วันนี้เอาแค่ทางการเมืองก็พอเพียงพอ


กำลังโหลดความคิดเห็น