บอร์ดการบินไทยประกาศงดจ่ายเงินปันผล หั่นเบี้ยประชุมจิ๊บจ๊อย เปิดทางบอร์ดบริหารยังบินฟรีแต่ลดเหลือครึ่ง ดัน "พัชรวาท" ร่วมนั่งเก้าอี้บอร์ดใหม่ ขณะที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯเตรียม เสนอรัฐบาลใช้ 2 สนามบิน หลังถกผู้เกี่ยวข้องพร้อมหนุน เอกชนท่องเที่ยวแนะควรปรับปรุงการบริหารงานสุวรรณภูมิให้เต็มประสิทธิภาพก่อน บวท.ยันจุดตัดอากาศมีแค่24 จุด
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 มีมติให้งดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2551 หลังจากประสบปัญหาการขาดทุน จากวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ
โดยตามงบการเงินที่บริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า ในปี 51 การบินไทย มีผลการดำเนินงานขาดทุนก่อนภาษีเงินได้ 23,600 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนซึ่งกำไร 6,338 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 21,379 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 12.58 บาท เปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 4,368 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.57 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติให้ปรับลดค่าตอบแทนเบี้ยประชุมกรรมการใหม่ และสิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสาร โดยค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการให้ปรับลดลงหนึ่งในสี่ ขณะที่สิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารให้กรรมการใช้สิทธิได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเที่ยวบินที่ได้รับสิทธิ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ถึง 30 เมษายน 2553
สำหรับสิทธิประโยชน์และผลตอบแทนของกรรมการบริษัทเดิม ประกอบด้วย ค่าตอบแทนกรรมการบริษัทฯ คนละ 50,000 บาทต่อเดือนเป็นประจำทุกเดือน และได้รับเบี้ยประชุมคนละ 30,000 บาทต่อครั้ง หากในเดือนใดมีการประชุมเกินกว่า 1 ครั้ง คงให้กรรมการบริษัทได้รับเบี้ยประชุมคนละ 30,000 บาทเท่านั้น โดยให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมสูงกว่ากรรมการ 25% และรองประธานกรรมการได้รับสูงกว่า 12.5% และให้กรรมการเสียภาษีเงินได้เอง
ส่วนในกรณีกรรมการบริษัทฯได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริษัท หรือประธานกรรมการบริษัท ให้เป็นกรรมการ อนุกรรมการ และคณะทำงานชุดต่างๆ ของบริษัท ให้กรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าว ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเป็นเบี้ยประชุมคนละ 10,000 บาทต่อครั้ง หากในเดือนใดมีการประชุมเกินกว่า 1 ครั้ง คงให้ได้รับเบี้ยประชุมคนละ 10,000 บาท เท่านั้น
ขณะที่ คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเท่ากับเบี้ยประชุมกรรมการบริษัท โดยที่ในเดือนใดไม่มีการประชุมคงให้ได้รับค่าตอบแทนด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2543
ด้านเงินรางวัลประจำปี (Bonus) ให้คณะกรรมการบริษัท ได้รับเงินรางวัลประจำปี (Bonus) โดยคำนวณจากอัตรา 0.5% ของเงินปันผลจ่าย และหลักเกณฑ์การจัดสรรเป็นไปตามที่คณะกรรมการบริษัทกำหนด ขณะที่สิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารสำหรับกรรมการ ให้เป็นไปตามระเบียบของบริษัท
"พัชรวาท"ตุลาทมิฬ!นั่งบอร์ดฯ
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติแต่งตั้งกรรมการบริษัทใหม่จำนวน 9 คน แทนกรรมการที่ลาออกและพ้นตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2552 เป็นต้นไป ประกอบด้วย นายอมรศักดิ์ นพรัมภา , นายอำพน กิตติอำพน , นายพิชัย ชุณหวชิร ,นายบรรยง พงษ์พานิช ,พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (อนุป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 51 ) ,นายกอบชัย ศรีวิลาศ ,นายคณิศ แสงสุพรรณ , นายวัลลภ พุกกะณะสุต และนายวีระวงศ์ จิตต์มิตรภาพ
ส่วนกรรมการที่ลาออก 8 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2552 ได้แก่ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ นายพิชัย ชุณหวชิร นายวิชิต สุรพงษ์ชัย นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต นายวิกรม คุ้มไพโรจน์ และนายอมรศักดิ์ นพรัมภา
อย่างไรก็ตาม มติคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้นจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ โดยกำหนดประชุมใหญ่ สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 ในวันที่ 22 เมษายน 2552 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวันที่ 1 เมษายน 2552
สภาที่ปรึกษาฯ ชง 2 สนามบิน
นายโอกาส เตพละกุล ประธานคณะทำงาน โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงาน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) เปิดเผยว่า จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง" ประเทศไทยควรมีสนามบินเดียวหรือสนามบินคู่ ? " วานนี้ (19 มี.ค.) ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแสดงความเห็น โดยที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับ Single Airport เพราะการใช้ 2 สนามบินคือ ดอนเมืองและสุวรรณภูมิร่วมกันย่อมดีกว่า อย่างน้อยสนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินสำรองใช้สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ หากกรณีสุวรรณภูมิมีปัญหาฉุกเฉินเครื่องบินขึ้นลงไม่ได้
ทั้งนี้ สายการบินไหน ต้องการปฏิบัติการบินที่สนามบินใด ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของสายการบินนั้นๆ เพราะเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับการย้ายไปสุวรรณภูมิของการบินไทยก็เป็นเรื่องของบริษัท ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับ Single Airport แต่ทั้งนี้ การบินไทยมีฐานะเป็นสายการบินแห่งชาติ สมควรต้องคำนึงถึงประเด็นเรื่องการให้อะไรกับประชาชนด้วย
นกแอร์อ้างไม่คุ้มย้ายกลับ
นายสีหพันธุ์ ชุมสาย ณ อยุธยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการสื่อสารองค์กร สายการบินนกแอร์ กล่าวยืนยันว่า การใช้สนามบินดอนเมืองของนกแอร์ทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกซึ่งฐานลูกค้าของนกแอร์เป็นคนไทยที่เดินทางภายในประเทศถึง 85% ซึ่งต้องการความรวดเร็วในการเดินทางเข้าเมือง แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร สายการบินก็จำเป็นต้องทำตาม แต่ทั้งนี้ รัฐบาลกลั่นกรองให้ดีก่อนตัดสินใจและเป็นนโยบายระยะยาวไม่กลับไปกลับมา
“นกแอร์ต้องเสียเงินถึง 50 ล้านบาทในการย้ายการบินเมื่อตอนเปิดสุวรรณภูมิและก็ต้องเสียอีก 50 ล้านบาท ตอนที่ย้ายกลับมาดอนเมือง หากย้ายอีกครั้งก็ต้องเสียอีก 50 ล้านบาท ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ไหว วันนี้ นกแอร์ฝ่าวิกฤติน้ำมันปี 51 โดยปรับตัวลดขนาดบริษัทลง พอมีกำไรรวม80 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนต.ค.51-ก.พ.52 แต่ไม่พร้อมกับการเสียเงินเพิ่มอีก 50 ล้านบาท การย้ายไปสุวรรณภูมิยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทำงานที่ ทอท.จัดให้นกแอร์อยู่นอกอาคารผู้โดยสารพนักงานต้องเดินถึง15 นาที”นายสีหพันธุ์กล่าว
บวท.ชี้จุดตัดอากาศมีแค่ 24 จุด
ด้านนายอนุชา คำโมง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการจราจรทางอากาศ บวท.กล่าวว่า การใช้ 2 สนามบินมีจุดตัดในอากาศ 24 จุดซึ่งสามารถบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยได้ โดยสุวรรณภูมิและดอนเมืองอยู่ใกล้กันมาก และมีข้อจำกัดในห้วงอากาศแตกต่างจากประเทศอื่นที่มี สนามบินอยู่ใกล้กัน
เผยลูกค้าหนุน 2 สนามบิน
นางสาวชลดา สิทธิวรรณ หัวหน้างานวิเคราห์ตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ข้อมูลในเวปไซด์ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการมี 2 สนามบิน เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินและสามารถตอบสนองการเดินทางของคนไทยได้มากกว่า ส่วนผู้โดยสารต่อเครื่องการบินไทยก็สามารถจัดเที่ยวบินไปลงที่สุวรรณภูมิได้
ด้านนางสมทรง สัจจาภิมุข ผู้ช่วยเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวสนับสนุนการใช้ 2 สนามบิน โดยให้ดอนเมืองเป็นสนามบินสำรอง กรณีที่สุวรรณภูมิมีปัญหาได้ โดยแยกประเด็นการย้ายของการบินไทยออกจากเรื่อง Single Airport
นางสาวมัยรัตน์ พีระญาณีโกเศส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ กล่าวว่า วันนี้สุวรรณภูมิยังบริหารได้ไม่เต็มประสิทธิภาพที่มี ดังนั้นต้องถามว่าสุวรรณภูมิพร้อมที่จะเป็นฮับหรือยัง ถ้าจะเป็นก็ต้องพร้อมจริงๆ
ทอท.ยัน2สนามบินไม่มีปัญหา
นางจิราพร เชมนะสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายแผนงานและการเงิน ทอท.กล่าวว่า ปี 2551 ท่าอากาศยานดอนเมืองมีผลขาดทุนประมาณ 193 ล้านบาท โดยมีรายได้ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1,818 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีค่าเสื่อมราคาประมาณ 725 ล้านบาทดังนั้น ไม่ว่าการบินไทยจะใช้ดอนเมืองหรือไม่ ก็ยังต้องมีค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งหากเหลือเพียง 2 สายการบินคือวันทูโก และนกแอร์ ดอนเมืองก็จะยังมีรายได้ 400 ล้านบาทต่อปี
“กรณีการใช้ทั้ง 2 สนามบินว่า ในแง่ของทอท.ไม่มีปัญหา เพราะในส่วนของรายได้ที่ได้จากการบินไทยจะไปเพิ่มที่สุวรรณภูมิแทน และไม่ว่าการบินไทยจะอยู่หรือไม่อยู่ ทอท.ก็มีค่าบำรุงรักษาสนามบินดอนเมืองประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือนอยู่แล้วโดยยังไม่รวมค่าเสื่อมราคา”นางจิราพรกล่าว
สำหรับกรณีการย้ายเที่ยวบินของการบินไทยกลับไปสุวรรณภูมิจะก่อให้เกิดความแออัดในอนาคตหรือไม่นั้น นางจิราพรกล่าวว่า ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิ มี 45 ล้านคนต่อปี แต่จากการประมาณการเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร พบว่า ในปี 2552 จะมีผู้โดยสารรวมลดลงเหลือ 40 ล้านคนส่วนปี 2553 คาดว่าจะมี 43 ล้านคน และค่อยๆ เพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันทอท.มีแผนเพิ่มเติมในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศที่สุวรรณภูมิ หากไม่มีปัญหาก็จะแล้วเสร็จในปี 3ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้อีก 15 ล้านคนต่อปี ส่วนแผนสุวรรณภูมิเฟส 2 อยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งตามแผนจะดำเนินการในปี 52-58 รองรับได้ 60 ล้านคนต่อปีไปจนถึงปี 2561
"เหตุผลของการใช้สนามบินเดียว เพราะต้องการรักษาความเป็นศนย์กลางด้านการบินในภูฒิภาค(ฮับ) ของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ต้องจัดบริการในด้านการต่อเชื่อมเที่ยวบินที่เหมาะสมให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก ลดต้นทุนของสายการบิน เพราะไม่ต้องจัดเตรียมพนักงานและอุปกรณ์ต่างไว้ 2 แห่ง และลดความเสี่ยงจากจุดตัดในอากาศของการใช้ 2 สนามบินจะมีจุดตัดประมาณ 24 จุด ขณะที่ดอนเมืองมีการพัฒนาเพื่อเป็นศูนย์ซ่อมอากาศยาน ศูนย์ฝึกการบินจำลอง มีCustom Free Zone มี Private Jet Terminal เพิ่มเติมจากการรองรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ"
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 มีมติให้งดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2551 หลังจากประสบปัญหาการขาดทุน จากวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ
โดยตามงบการเงินที่บริษัทแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า ในปี 51 การบินไทย มีผลการดำเนินงานขาดทุนก่อนภาษีเงินได้ 23,600 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนซึ่งกำไร 6,338 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 21,379 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 12.58 บาท เปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 4,368 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.57 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติให้ปรับลดค่าตอบแทนเบี้ยประชุมกรรมการใหม่ และสิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสาร โดยค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการให้ปรับลดลงหนึ่งในสี่ ขณะที่สิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารให้กรรมการใช้สิทธิได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเที่ยวบินที่ได้รับสิทธิ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ถึง 30 เมษายน 2553
สำหรับสิทธิประโยชน์และผลตอบแทนของกรรมการบริษัทเดิม ประกอบด้วย ค่าตอบแทนกรรมการบริษัทฯ คนละ 50,000 บาทต่อเดือนเป็นประจำทุกเดือน และได้รับเบี้ยประชุมคนละ 30,000 บาทต่อครั้ง หากในเดือนใดมีการประชุมเกินกว่า 1 ครั้ง คงให้กรรมการบริษัทได้รับเบี้ยประชุมคนละ 30,000 บาทเท่านั้น โดยให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมสูงกว่ากรรมการ 25% และรองประธานกรรมการได้รับสูงกว่า 12.5% และให้กรรมการเสียภาษีเงินได้เอง
ส่วนในกรณีกรรมการบริษัทฯได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริษัท หรือประธานกรรมการบริษัท ให้เป็นกรรมการ อนุกรรมการ และคณะทำงานชุดต่างๆ ของบริษัท ให้กรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งดังกล่าว ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเป็นเบี้ยประชุมคนละ 10,000 บาทต่อครั้ง หากในเดือนใดมีการประชุมเกินกว่า 1 ครั้ง คงให้ได้รับเบี้ยประชุมคนละ 10,000 บาท เท่านั้น
ขณะที่ คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเท่ากับเบี้ยประชุมกรรมการบริษัท โดยที่ในเดือนใดไม่มีการประชุมคงให้ได้รับค่าตอบแทนด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2543
ด้านเงินรางวัลประจำปี (Bonus) ให้คณะกรรมการบริษัท ได้รับเงินรางวัลประจำปี (Bonus) โดยคำนวณจากอัตรา 0.5% ของเงินปันผลจ่าย และหลักเกณฑ์การจัดสรรเป็นไปตามที่คณะกรรมการบริษัทกำหนด ขณะที่สิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารสำหรับกรรมการ ให้เป็นไปตามระเบียบของบริษัท
"พัชรวาท"ตุลาทมิฬ!นั่งบอร์ดฯ
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติแต่งตั้งกรรมการบริษัทใหม่จำนวน 9 คน แทนกรรมการที่ลาออกและพ้นตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2552 เป็นต้นไป ประกอบด้วย นายอมรศักดิ์ นพรัมภา , นายอำพน กิตติอำพน , นายพิชัย ชุณหวชิร ,นายบรรยง พงษ์พานิช ,พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (อนุป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 51 ) ,นายกอบชัย ศรีวิลาศ ,นายคณิศ แสงสุพรรณ , นายวัลลภ พุกกะณะสุต และนายวีระวงศ์ จิตต์มิตรภาพ
ส่วนกรรมการที่ลาออก 8 คน มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2552 ได้แก่ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ นายพิชัย ชุณหวชิร นายวิชิต สุรพงษ์ชัย นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต นายวิกรม คุ้มไพโรจน์ และนายอมรศักดิ์ นพรัมภา
อย่างไรก็ตาม มติคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้นจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ โดยกำหนดประชุมใหญ่ สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2552 ในวันที่ 22 เมษายน 2552 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในวันที่ 1 เมษายน 2552
สภาที่ปรึกษาฯ ชง 2 สนามบิน
นายโอกาส เตพละกุล ประธานคณะทำงาน โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงาน สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) เปิดเผยว่า จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง" ประเทศไทยควรมีสนามบินเดียวหรือสนามบินคู่ ? " วานนี้ (19 มี.ค.) ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแสดงความเห็น โดยที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับ Single Airport เพราะการใช้ 2 สนามบินคือ ดอนเมืองและสุวรรณภูมิร่วมกันย่อมดีกว่า อย่างน้อยสนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินสำรองใช้สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ หากกรณีสุวรรณภูมิมีปัญหาฉุกเฉินเครื่องบินขึ้นลงไม่ได้
ทั้งนี้ สายการบินไหน ต้องการปฏิบัติการบินที่สนามบินใด ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของสายการบินนั้นๆ เพราะเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับการย้ายไปสุวรรณภูมิของการบินไทยก็เป็นเรื่องของบริษัท ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับ Single Airport แต่ทั้งนี้ การบินไทยมีฐานะเป็นสายการบินแห่งชาติ สมควรต้องคำนึงถึงประเด็นเรื่องการให้อะไรกับประชาชนด้วย
นกแอร์อ้างไม่คุ้มย้ายกลับ
นายสีหพันธุ์ ชุมสาย ณ อยุธยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการสื่อสารองค์กร สายการบินนกแอร์ กล่าวยืนยันว่า การใช้สนามบินดอนเมืองของนกแอร์ทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกซึ่งฐานลูกค้าของนกแอร์เป็นคนไทยที่เดินทางภายในประเทศถึง 85% ซึ่งต้องการความรวดเร็วในการเดินทางเข้าเมือง แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไร สายการบินก็จำเป็นต้องทำตาม แต่ทั้งนี้ รัฐบาลกลั่นกรองให้ดีก่อนตัดสินใจและเป็นนโยบายระยะยาวไม่กลับไปกลับมา
“นกแอร์ต้องเสียเงินถึง 50 ล้านบาทในการย้ายการบินเมื่อตอนเปิดสุวรรณภูมิและก็ต้องเสียอีก 50 ล้านบาท ตอนที่ย้ายกลับมาดอนเมือง หากย้ายอีกครั้งก็ต้องเสียอีก 50 ล้านบาท ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ไหว วันนี้ นกแอร์ฝ่าวิกฤติน้ำมันปี 51 โดยปรับตัวลดขนาดบริษัทลง พอมีกำไรรวม80 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนต.ค.51-ก.พ.52 แต่ไม่พร้อมกับการเสียเงินเพิ่มอีก 50 ล้านบาท การย้ายไปสุวรรณภูมิยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ทำงานที่ ทอท.จัดให้นกแอร์อยู่นอกอาคารผู้โดยสารพนักงานต้องเดินถึง15 นาที”นายสีหพันธุ์กล่าว
บวท.ชี้จุดตัดอากาศมีแค่ 24 จุด
ด้านนายอนุชา คำโมง ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการจราจรทางอากาศ บวท.กล่าวว่า การใช้ 2 สนามบินมีจุดตัดในอากาศ 24 จุดซึ่งสามารถบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยได้ โดยสุวรรณภูมิและดอนเมืองอยู่ใกล้กันมาก และมีข้อจำกัดในห้วงอากาศแตกต่างจากประเทศอื่นที่มี สนามบินอยู่ใกล้กัน
เผยลูกค้าหนุน 2 สนามบิน
นางสาวชลดา สิทธิวรรณ หัวหน้างานวิเคราห์ตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ข้อมูลในเวปไซด์ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการมี 2 สนามบิน เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินและสามารถตอบสนองการเดินทางของคนไทยได้มากกว่า ส่วนผู้โดยสารต่อเครื่องการบินไทยก็สามารถจัดเที่ยวบินไปลงที่สุวรรณภูมิได้
ด้านนางสมทรง สัจจาภิมุข ผู้ช่วยเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวสนับสนุนการใช้ 2 สนามบิน โดยให้ดอนเมืองเป็นสนามบินสำรอง กรณีที่สุวรรณภูมิมีปัญหาได้ โดยแยกประเด็นการย้ายของการบินไทยออกจากเรื่อง Single Airport
นางสาวมัยรัตน์ พีระญาณีโกเศส นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ กล่าวว่า วันนี้สุวรรณภูมิยังบริหารได้ไม่เต็มประสิทธิภาพที่มี ดังนั้นต้องถามว่าสุวรรณภูมิพร้อมที่จะเป็นฮับหรือยัง ถ้าจะเป็นก็ต้องพร้อมจริงๆ
ทอท.ยัน2สนามบินไม่มีปัญหา
นางจิราพร เชมนะสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายแผนงานและการเงิน ทอท.กล่าวว่า ปี 2551 ท่าอากาศยานดอนเมืองมีผลขาดทุนประมาณ 193 ล้านบาท โดยมีรายได้ประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1,818 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีค่าเสื่อมราคาประมาณ 725 ล้านบาทดังนั้น ไม่ว่าการบินไทยจะใช้ดอนเมืองหรือไม่ ก็ยังต้องมีค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งหากเหลือเพียง 2 สายการบินคือวันทูโก และนกแอร์ ดอนเมืองก็จะยังมีรายได้ 400 ล้านบาทต่อปี
“กรณีการใช้ทั้ง 2 สนามบินว่า ในแง่ของทอท.ไม่มีปัญหา เพราะในส่วนของรายได้ที่ได้จากการบินไทยจะไปเพิ่มที่สุวรรณภูมิแทน และไม่ว่าการบินไทยจะอยู่หรือไม่อยู่ ทอท.ก็มีค่าบำรุงรักษาสนามบินดอนเมืองประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือนอยู่แล้วโดยยังไม่รวมค่าเสื่อมราคา”นางจิราพรกล่าว
สำหรับกรณีการย้ายเที่ยวบินของการบินไทยกลับไปสุวรรณภูมิจะก่อให้เกิดความแออัดในอนาคตหรือไม่นั้น นางจิราพรกล่าวว่า ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิ มี 45 ล้านคนต่อปี แต่จากการประมาณการเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร พบว่า ในปี 2552 จะมีผู้โดยสารรวมลดลงเหลือ 40 ล้านคนส่วนปี 2553 คาดว่าจะมี 43 ล้านคน และค่อยๆ เพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันทอท.มีแผนเพิ่มเติมในการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศที่สุวรรณภูมิ หากไม่มีปัญหาก็จะแล้วเสร็จในปี 3ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้อีก 15 ล้านคนต่อปี ส่วนแผนสุวรรณภูมิเฟส 2 อยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งตามแผนจะดำเนินการในปี 52-58 รองรับได้ 60 ล้านคนต่อปีไปจนถึงปี 2561
"เหตุผลของการใช้สนามบินเดียว เพราะต้องการรักษาความเป็นศนย์กลางด้านการบินในภูฒิภาค(ฮับ) ของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ต้องจัดบริการในด้านการต่อเชื่อมเที่ยวบินที่เหมาะสมให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก ลดต้นทุนของสายการบิน เพราะไม่ต้องจัดเตรียมพนักงานและอุปกรณ์ต่างไว้ 2 แห่ง และลดความเสี่ยงจากจุดตัดในอากาศของการใช้ 2 สนามบินจะมีจุดตัดประมาณ 24 จุด ขณะที่ดอนเมืองมีการพัฒนาเพื่อเป็นศูนย์ซ่อมอากาศยาน ศูนย์ฝึกการบินจำลอง มีCustom Free Zone มี Private Jet Terminal เพิ่มเติมจากการรองรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ"
