xs
xsm
sm
md
lg

หยุด! กม.นิรโทษกรรมล้างผิด-ฉีกคำพิพากษาปฏิบัติการ “โจรช่วยโจร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย
“หลักของการออกกฎหมาย ต้องมุ่งหวังเพื่อให้กฎหมายออกมาเพื่อบังคับใช้อันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและคนหมู่มาก หาใช่เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลคณะใด”

ดังนั้น เมื่อพรรคเพื่อไทยโดยการบัญชาการและสั่งการโดยทักษิณ ชินวัตร ที่ให้ ส.ส.ของพรรคไปยกร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏร อันมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้หมกเม็ดเหมือนที่ทักษิณ-เพื่อไทย เคยกระทำมา

เพราะครั้งนี้เล่นแก้ผ้าล่อนจ่อน

นั่นก็คือเจตนาเพื่อช่วยไม่ให้ “ทักษิณ” ติดคุก


และปลดปล่อยนักโทษคดีการเมือง-คดีอาญาทั้งหมดให้เป็นอิสระ ทั้งในคดียุบพรรคและคดีอาญา-แพ่ง ที่เป็นผลมาจากการสอบสวนของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะได้ไม่ต้องถูกผูกโซ่ตรวนและสุ่มเสี่ยงจะไปกินข้าวแกงในห้องขัง

อันแสดงให้เห็นว่า นี่คือการออกกฎหมายเพื่อช่วย “โจร” ให้พ้นผิดดีๆ นี่เอง แล้วประชาชนจะยอมให้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ยิ่งกับ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักสร้างประชาธิปไตยบนท้องถนนมายาวนานถึง 193 เพื่อไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ ฟอกผิดให้ทักษิณและพวก เชื่อได้ว่าคงไม่มีหมู่ชนคนเสื้อเหลืองที่ไหนจะยอมให้

“โจรช่วยโจร” แน่นอน

ยิ่งเมื่อมีการให้ความคิดเห็นมาจากนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. และอดีตกรรมการ คตส.ที่ว่า หากมีการออกกฎหมายมาเพื่อลบล้างความผิดที่เคยเกิดขึ้น ศาลก็ต้องจำหน่ายคดีออกไปทันทีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้!

“กรณีคดีที่ดินรัชดาฯ นักกฎหมายทั่วไปก็รู้ดีว่า แม้กระบวนการพิจารณาทางคดีไม่ว่าจะเป็นคดีใด ถึงแม้ศาลจะตัดสินไปแล้ว แต่หากมีการออกกฎหมายเพื่อลบล้างความผิด ก็ต้องจำหน่ายคดีเสมือนกับไม่เคยมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นมาก่อน”

อันสรุปง่ายๆ ว่า พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ….ฉบับนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ในมาตรา 3 ที่ระบุว่า

“ให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลที่มีความผิดตามกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากองค์กรที่เกิดจากคปคในความผิดเกี่ยวกับ
(1) การต่อต้านการบริหาราชการแผ่นดิน
(2) การต่อต้านการยึดอำนาจการปกครองประเทศ
(3) การปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
(4) การปฏิบัติหน้าที่ในคตส.และการที่บุคคลหรือคณะบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากคตส.
(5) การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าระงับปราบปรามหรือสลายการชุมนุมของบุคคล

เห็นแค่นี้ วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่า นี่ไม่ใช่การออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่เป็นการออกกฎหมายเพื่อ “ผลประโยชน์การเมือง”ของฝ่ายที่ออกกฎหมาย

มันก็คือ ความพยายามจะใช้กฎหมายเพื่อล้มล้างความถูกต้องและหวังจะตบหน้าองค์กรอิสระ และระบบตุลาการดีๆนั่นเอง เสมือนหนึ่งว่า

“พวกข้านักการเมืองชั่วร้ายเลวทราม ไม่มีวันถูกพิพากษาจองจำ เพราะข้ามีอำนาจอยู่ในมือ”

ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริงในผืนแผ่นดินไทย และโดยมีฝายนิติบัญญัติเป็นผู้ดำเนินการ

นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบลี้หนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ซึ่งศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินจำคุกสองปีไปยังประเทศต่างๆตอนนี้ หากกฎหมายชื่อปรองดองแห่งชาติแต่สร้างความแตกแยกให้คนในประเทศ ฉบับนี้ออกมาจริงๆ

นช.ทักษิณ ที่กำลังจ่อจะถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติถอดยศ พ.ต.ท. ก็จะกลายเป็น อิสระ ไม่ต้องหนีคดีอีกต่อไปแล้ว และเดินทางกลับเข้าประเทศไทยได้อย่างสะดวกโยธิน แถมลงเล่นการเมืองได้เลย เพราะสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ก็คือการปลดปล่อยนักโทษการเมืองในคดียุบพรรค และล้มล้างกระบวนการตรวจสอบจับทุจริตของคตส.ทั้งหมด

เมื่อนั้น ทักษิณก็จะกลับมาครองเมืองอีกครั้ง หากแผนนี้สำเร็จ ทั้งวงศ์วานว่านเครือทั้งหมดอย่าง สมชาย และเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็จะได้รับอานิสงส์กลับมาเล่นการเมืองได้พร้อมๆกันอีกครั้ง รวมถึงลูกสมุนทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆก็จะพลอยได้รับอานิสงส์ครั้งนี้ด้วย

โดยเฉพาะตัว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลเดียวกัน ที่ไม่ต้องถูกสอบสวนเอาผิดกรณีออกคำสั่ง “ทำร้าย-สังหารประชาชน” ในวันที่ 7 ตุลาคม 51 เพราะตัวกฎหมายนี้ให้นิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึงการสลายการชุมนุมด้วย

เท่ากับว่า ต่อไปนี้หากผู้กุมอำนาจรัฐ ไม่พอใจการชุมนุมเรียกร้องของประชาชนไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ แล้วออกคำสั่งทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ ล้มตาย แล้วกลัวความผิดจะมาถึงตัว ก็ไปยืมพวกส.ส.ทาสในสภาฯเพื่อให้ออกกฎหมายยกเลิก-ล้มล้างความผิด

แบบนี้ประเทศไทยก็ไม่ต้องเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานอีกแล้ว หากระบบกฎหมายและนิติบัญญัติของเรา มีไว้เพื่อช่วยให้นักการเมืองคือ “อภิสิทธิ์ชน”ผู้ไม่ต้องรับผลกรรมใดๆ จากการใช้อำนาจโดยหน้ามืดตามัว

แต่คิดหรือว่าจะทำได้ มันยากเสียยิ่งกว่าความพยายามแก้ รธน.เมื่อปี 2551 ของพรรคพลังประชาชนเสียอีก เพราะหากวันใดที่สภาฯพิจารณากฎหมายเพื่อให้ความเห็นชอบ วันนั้นเสื้อเหลืองจะพรึ่บทั้งแผ่นดิน

แม้หลายคนจะอ่านความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเพื่อไทยว่าเป็นการยาก หากคิดจะทำให้สำเร็จ เมื่อกลไกเสียงในสภาฯ ไม่สามารถผลักดันให้กฎหมายผ่านออกมาได้ เว้นแต่จะมีพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วย อีกทั้งต้องใช้เวลาอีกนานในการผ่านร่างกม.เรียกว่ากว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาตามระเบียบวาระ และสมัยประชุมสภาฯ ก็กลายเป็นกฎหมายแช่แข็งไปร่วมปี

เพียงแต่เพื่อไทย ประสบความสำเร็จในการทำให้สังคมเห็นธาตุแท้ของพรรคการเมืองบางพรรค ที่หลงกลเพื่อไทยเข้าไปเต็มประตู เพราะแค่เริ่มเขี่ยลูก ก็ทำเอาหลายคนเห็นธาตุแท้กันไปเลยกับหลายพรรคการเมือง ทั้งภูมิใจไทย เพื่อแผ่นดิน รวมใจไทยชาติพัฒนา ชาติไทยพัฒนา ที่เสียงส่วนใหญ่ “หนุน” มากกว่า “หลบ”

โดยเฉพาะภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา ที่แก้ผ้าล่อนจ้อนไม่มีอะไรเหลือ ยิ่งกับภูมิใจไทยที่แกนนำพรรคส่วนใหญ่หนุนให้ผ่านกม.ฉบับนี้เพื่อหวังปลุกผีแกนนำพรรคที่หลบซ่อนตัวอยู่ได้ลงมาเล่นการเมืองเต็มตัวด้วยแล้ว ก็ทำให้สังคมเห็นแล้วว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ซึ่งตั้งพรรคได้ไม่กี่วัน แต่ก็แสดงธาตุแท้ “การเมืองเก่า”ที่แสดงให้เห็นว่า

เล่นการเมือง ทำการเมือง เพื่อผลประโยชน์ตัวเองเท่านั้น

เช่นเดียวกับ ชาติไทยพัฒนา ที่สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่เป็นเหมือนโฆษกส่วนตัวของบรรหาร ศิลปอาชา ก็ออกโรงหนุนเต็มที่ หลังจากเห็นเจ้านายออกมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่พอใจเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปี ที่รัฐมนตรีของพรรคชาติไทยฯ ลูกพรรคก็เลยอดรนทนไม่ได้อยากให้บรรหารกลับมาคอนโทรลเกมเองเต็มตัว เพื่อที่พรรคจะได้ไม่เสียเปรียบอีกต่อไป

เกมของเพื่อไทย นอกจากจะเช็คกระแสสังคม พรรคร่วมรัฐบาล ต่อการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้แล้ว ที่ได้ผลทันที เพราะมันทำให้เห็นแล้วว่าเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาลอยู่กันด้วย

“ผลประโยชน์ล้วนๆ”

หาใช่ “เพื่อส่วนรวม” อย่างที่แอบอ้างกันแต่ใดไม่ และความเปราะบางในการอยู่ร่วมกันนี้ ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ต้องคอยประคบประหงมพรรคร่วมรัฐบาลมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ไปร่วมเห็นดีเห็นงามกับเพื่อไทยในการหนุนกฎหมายตัวนี้

จนอาจทำให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและประชาธิปัตย์ต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองในการกอดคออยู่ร่วมกัน

แค่นี้ ทักษิณ-เพื่อไทย ก็ตีกินแล้ว

โดยที่ชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทย แม้จะเขย่าการเมืองให้ประชาธิปัตย์เสียววูบว่าจะไปร่วมมือกับเพื่อไทยสร้างปัญหาให้รัฐบาล แต่มองยาวๆ แล้ว สังคมรับไม่ได้กับความคิดสนับสนุนการ

“ล้างผิด-ฉีกคำพิพากษา” เช่นนี้

จนทำเอาแกนนำทั้งสองพรรคต้องปรับท่าทีใหม่เป็นการด่วนหลังรู้ว่าเสียท่า เสียรู้ จนสังคมก่นด่าไปทั่วทิศ ด้วยการร่วมเห็นชอบกับประชาธิปัตย์และอ้างเป็น

“มติวิปรัฐบาล”

ว่าไม่เห็นความจำเป็นในการผลักดันกม.ฉบับนี้ เพราะต้องการให้รัฐบาลทุ่มเทเวลาไปกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า

แต่ดูเหมือนจะช้าเสียแล้ว เพราะสังคมรู้แล้วว่าธาตุแท้แต่ละคน แต่ละพรรคแล้วว่าแท้ที่จริงเป็นเช่นใด ครั้นจะมาสร้างภาพใหม่ ฟังความคิดเห็นประชาชน ไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยก-วุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองแบบพลิกท่าทีหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามวัน

มีหรือประชาชนจะรู้ไม่ทัน
ทักษิณ ชินวัตร
นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช.และอดีตกรรมการ คตส.
กำลังโหลดความคิดเห็น