ASTVผู้จัดการรายวัน- ส.อ.ท. สั่งเกาะติดการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม หวั่นลดต่ำกว่า 50% เมื่อใดจะเห็นโรงงานทยอยปิดกิจการมากขึ้น เหตุไม่สามารถแบกภาระต้นทุนได้ ชี้มาตรการด้านการเงิน ลดดอกเบี้ยไร้ผล แบงก์ยังนิ่งไม่ปล่อยสินเชื่อง่ายๆ
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคการผลิตรวมมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียง 57% ซึ่งคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทิศทางการผลิตว่าจะลดต่ำกว่าระดับ 50% หรือไม่ในช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้ หากลดต่ำในระดับดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดการปิดกิจการเพิ่มมากขึ้นและปัญหาการเลิกการจ้างงานจะตามมา โดยเห็นว่ามาตรการดูแลภาคการผลิตจากรัฐบาลในเรื่องของนโยบายการเงินยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะสถาบันการเงินมีการชะลอการปล่อยสินเชื่อและเข้มงวดในเรื่องของหลักค้ำประกันมากขึ้น
“เวลานี้ธุรกิจต่างๆ มีการทยอยปิดตัวไปแล้ว เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ โดยเฉพาะทางด้านการเงิน แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.5% เพื่อลดต้นทุนก็ตาม แต่ปัญหาช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยฝากกับกู้ยังห่างกันมาก 5-6% แบงก์จึงชะลอการให้สินเชื่อลงทำให้กลไกการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเงินไม่ได้ผล “นายธนิตกล่าว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า เร็วๆ นี้ กลุ่มยานยนต์จะสรุปยอดการจำหน่าย การผลิต และการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนก.พ. ซึ่งยอมรับว่าสัญญาณเบื้องต้นอาจไม่กระเตื้องนัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่รับรู้คำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้วว่าภาพรวมการผลิตลดลง 40% ซึ่งคงจะต้องติดตามสถานการณ์เดือนต่อเดือน
“แนวโน้มไม่ดีนัก คงจะต้องรอผลให้ชัดเจนอีกครั้ง ผู้ผลิตรถยนต์เองก็ลุ้นว่าหลัง 6 เดือนไปแล้วน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ทุกประเทศรวมถึงไทยได้ออกมาตรการต่างๆ และจะไปมีผลช่วงนั้นแต่ระหว่างนี้ทุกฝ่ายก็พยายามรักษาระดับแรงงานเอาไว้ แต่ถ้า 1-2 เดือนนี้มันเลวร้าย ผู้ผลิตชิ้นส่วนเองก็ระบุว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน”นายสุรพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อในเรื่องของการดาวน์และผ่อนรถนั้นมีความเข้มงวดมากขึ้นจึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ ประกอบกับประชาชนเองก็ยังไม่มั่นใจเรื่องเศรษฐกิจในอนาคตจึงทำให้แรงซื้อในระบบยังไม่สู้ดีนัก
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคการผลิตรวมมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียง 57% ซึ่งคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดถึงทิศทางการผลิตว่าจะลดต่ำกว่าระดับ 50% หรือไม่ในช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้ หากลดต่ำในระดับดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดการปิดกิจการเพิ่มมากขึ้นและปัญหาการเลิกการจ้างงานจะตามมา โดยเห็นว่ามาตรการดูแลภาคการผลิตจากรัฐบาลในเรื่องของนโยบายการเงินยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะสถาบันการเงินมีการชะลอการปล่อยสินเชื่อและเข้มงวดในเรื่องของหลักค้ำประกันมากขึ้น
“เวลานี้ธุรกิจต่างๆ มีการทยอยปิดตัวไปแล้ว เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ โดยเฉพาะทางด้านการเงิน แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.5% เพื่อลดต้นทุนก็ตาม แต่ปัญหาช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยฝากกับกู้ยังห่างกันมาก 5-6% แบงก์จึงชะลอการให้สินเชื่อลงทำให้กลไกการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเงินไม่ได้ผล “นายธนิตกล่าว
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า เร็วๆ นี้ กลุ่มยานยนต์จะสรุปยอดการจำหน่าย การผลิต และการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนก.พ. ซึ่งยอมรับว่าสัญญาณเบื้องต้นอาจไม่กระเตื้องนัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่รับรู้คำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้วว่าภาพรวมการผลิตลดลง 40% ซึ่งคงจะต้องติดตามสถานการณ์เดือนต่อเดือน
“แนวโน้มไม่ดีนัก คงจะต้องรอผลให้ชัดเจนอีกครั้ง ผู้ผลิตรถยนต์เองก็ลุ้นว่าหลัง 6 เดือนไปแล้วน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ทุกประเทศรวมถึงไทยได้ออกมาตรการต่างๆ และจะไปมีผลช่วงนั้นแต่ระหว่างนี้ทุกฝ่ายก็พยายามรักษาระดับแรงงานเอาไว้ แต่ถ้า 1-2 เดือนนี้มันเลวร้าย ผู้ผลิตชิ้นส่วนเองก็ระบุว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน”นายสุรพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อในเรื่องของการดาวน์และผ่อนรถนั้นมีความเข้มงวดมากขึ้นจึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศ ประกอบกับประชาชนเองก็ยังไม่มั่นใจเรื่องเศรษฐกิจในอนาคตจึงทำให้แรงซื้อในระบบยังไม่สู้ดีนัก
