xs
xsm
sm
md
lg

ม็อบ2ฝ่ายบุกทำเนียบฯ16มี.ค.วัดใจมาร์คอุทธรณ์มาบตาพุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชุมชนมาบตาพุดเสียงแตกอีกฝ่ายหนุนให้อุทธณ์ แต่อีกฝ่ายต่อต้านการยื่นอุทธรณ์ให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ ขู่นำม็อบชนม็อบบุกทำเนียบฯ ฟังมติที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติวันที่ 16 มี.ค.นี้ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยผนึกสถาบันพระปกเกล้า จับมือเครือข่ายธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและองค์กรภาคี ล่าชื่อหนุน"อภิสิทธิ์"ไม่อุทธรณ์คดี

วานนี้ (13มี.ค.) นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ลงพื้นที่รับฟังข้อคิดเห็นของฝ่ายสนับสนุน และต่อต้านการประกาศให้บริเวณพื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ
นายชาญชัย กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ยังคงแตกต่างกันคือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ยื่นอุทธรณ์ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้ยื่นอุทธรณ์ ดังนั้นจะนำความเห็นของทุกฝ่ายไปเสนอรายงานต่อที่ประชุมบอร์ดสิ่งแวดล้อมฯที่จะประชุมวันที่ 16 มี.ค.นี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องของชุมชนที่เป็นแกนนำยื่นฟ้องต่อศาลให้มาบตาพุด เป็นเขตควบคุมมลพิษ ประกอบด้วย ให้มีการดูแลปัญหาการทิ้งกากอุตสาหกรรม การสร้างห้องทดสอบระดับสารมลพิษต่างๆ การสร้างศูนย์สุขภาพ รวมไปถึงการให้ความรู้แก่ประชาชน เยาวชน ในการป้องกันมลพิษที่จะเกิดขึ้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มอบหมายให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม กนอ. รับไปดำเนินการ ส่วนกรณีศูนย์สุขภาพนั้นจะประสานไปยังรมว.สาธารณสุข เข้ามาสนับสนุนการจัดสร้างต่อไป
นายอิทธิพล แจ่มแจ้ง ประธานกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ได้สนับสนุนให้มีการยื่นอุทธรณ์ ก็เพื่อให้แผนการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันที่มีการลงทุนไปแล้วเกือบหมื่นล้านบาท (แผนปี 50-54) ดำเนินต่อไป แต่หากจะมีการเพิ่มเติมหรือปรับปรุงก็ควรจะดึงทุกส่วนเข้ามาร่วมแบบมืออาชีพ เพราะการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษนั้นจะต้องมองผลกระทบในทุกมิติ
“อำนาจจะตกไปอยู่ในท้องถิ่นแทนที่จะเป็นหน่วยงานระดับชาติแล้วแน่ใจหรือว่า เทศบาลจะจัดทำแผนชุมชนอย่างมืออาชีพได้ เพราะขนาดแผนที่จัดทำมาจากทุกส่วนแล้วยังไม่ยอมรับ” นายอิทธิพลกล่าว
ทั้งนี้ วันที่ 16 มี.ค. กลุ่มจะนำชุมชนที่จะสนับสนุนการยื่นอุทรณ์ เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลที่จะมีการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อรับฟังผลของที่ประชุมว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งหากไม่ยื่นอุทธรณ์ ก็คงจะต้องมาหารือว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
นายสุทธา เหมสถล นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม อ.บ้านฉาง-มาบตาพุด กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมหารือเพื่อจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้หรือเซาท์เทิร์นซีบอร์ด และได้ยกให้มาบตาพุดเป็นรูปแบบของการจัดการด้านมลพิษ ขณะเดียวกันยังได้เข้าร่วมทำแผนลดมลพิษในมาบตาพุดในหลายๆ คณะทำงานหากรัฐประกาศเป็นเขตควบคุมก็เท่ากับที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรเลย ก็พร้อมจะลาออกจากทุกคณะทำงาน และจะออกมาเคลื่อนไหวด้านนอกเพื่อทำให้ประกาศนั้นทุเลา

ม็อบต้านอุทธรณ์บุกทำเนียบฯชน

นายรัชยุทธ วงศ์ภุชชงค์ ประธานชุมชนซอยร่วมพัฒนา ซึ่งเป็นกลุ่มยื่นเรื่องให้ศาลปกครองระยองพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ประกาศให้มาบตาพุดเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษว่า วันที่ 16 มี.ค. จะนำผู้สนับสนุนไม่ให้มีการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลมาฟังผลการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หากอุทธรณ์ ก็จะยื่นร้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษสามารถดำเนินการได้ใน 60 วัน ตามที่ศาลปกครองระยองพิพากษา ขณะเดียวกันจะเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้เห็นความสำคัญของชีวิตประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ สิ่งที่ชุมชนต้องการคือ 1.ไม่อยากให้มีการยื่นอุทธรณ์ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อชุมชนมานาน การแก้ไขปัญหายังไม่ชัดเจน 2. มีการลักลอบขนกากอุตสาหกรรมไปทิ้งในชุมชนต่างๆ 3. ชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข 4. ขอให้มีห้องแล็ป ตรวจ สอบน้ำเสียโรงงาน 5. ขอให้สร้างศูนย์สุขภาพ 6. ให้มีการสอนวิชาเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายให้กับนักเรียน 7.ให้กลุ่มโรงงานทั้งหมดจดทะเบียนใน จังหวัด ระยอง
“แผนการจัดการสิ่งแวดล้อมเดิมนั้นทางเทศบาลไม่มีส่วนเข้าไปร่วมแต่อย่างใด นายกเทศมนตรีก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากประกาศเขตควบคุมอำนาจจะอยู่ที่ท้องถิ่นงบประมาณส่วนหนึ่งก็จะเข้ามา และเราเห็นว่า ควรกำหนดให้โรงงานมาจดทะเบียนในท้องถิ่นก็จะทำให้มีภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าท้องถิ่นแทนก็จะนำงบนี้มาบริหารจัดการที่ดีกว่า” นายรัชยุทธกล่าว

ระวังส่งสัญญาณปิโตรฯไทยมีปัญหา

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ไออาร์พีซี อยู่นอกเขตมาบตาพุดจึงไม่ได้รับผลกระทบ แต่เรื่องนี้หากมองในแง่จิตวิทยาส่งผลกระทบมากเพราะเท่ากับไทยส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนต่างชาติว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งๆ ที่มาบตาพุดไม่ได้บ่งชี้ว่าสิ่งแวดล้อมเลวร้าย
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล หรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แต่เอกชนต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบที่ออกมาอยู่แล้ว แต่หากภาครัฐต้องการให้บริษัทฯจัดหาข้อเท็จจริง ข้อมูลวิชาการพร้อมที่จะให้ คำสั่งศาลที่ออกมามองในแง่ดี ก็ถือว่าทำให้ชุมชนมีความใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นแต่กฏระเบียบจะต้องมีความชัดเจน มีเหตุและผลเพราะในการพิจารณาการลงทุนในอาคตก็ต้องนำไปปัจจัยดังกล่าวไปประกอบการลงทุน
“เครือปตท.ก็มีการลงทุนต่างประเทศ คงไม่ได้มองแค่เมืองไทยแล้ว ถ้าหากลงไม่ได้ก็ต้องหันไปต่างประเทศแทน ก็เท่ากับสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศอื่นๆไปแทนที่ไทยจะได้ ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ไทยมีความจำเป็นต้องการเงินตราต่างประเทศ การประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษอยากให้พิจารณาให้ดีว่าจะกระทบภาพรวมประเทศมากน้อยแค่ไหน แต่ ปตท.ไม่กังวลอยู่แล้ว เพราะดูแลตามระเบียบทุกอย่าง” นายวีรศักดิ์กล่าว

ล่าชื่อหนุนไม่ยื่นอุทธรณ์
ทางด้านเครือข่ายธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และองค์กรภาคี ประกอบด้วย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สถาบันพระปกเกล้า มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการยุทธศาสตร์นโยบายฐานทรัพยากร สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาทนายความฯ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม และนักวิชาการอิสระ ร่วมออกแถลงการณ์ พร้อมกับล่ารายชื่อผู้สนับสนุนทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เครือข่ายฯ มีความเห็นว่ารัฐไม่ควรยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองระยอง และควรนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วย การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจ และการเข้าถึงความยุติธรรม มาดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหานี้
สำหรับข้อเสนอเพื่อการเสริมสร้างธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม “มาบตาพุด” ที่เครือข่ายฯ เสนอต่อรัฐบาล คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
1. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ควรยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองระยอง แต่ควรปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล โดยการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ และต้องสนับสนุนเจ้าพนักงานท้องถิ่น จังหวัด และประชาชน ในการจัดการปัญหามลพิษอุตสาหกรรมให้สัมฤทธิ์ผล รวมทั้งการทบทวนมาตรฐานมลพิษทั้งหลาย ทั้งมลพิษในแหล่งกำเนิดและในสิ่งแวดล้อม
2. ยุติการอนุญาตให้มีการเพิ่มหรือขยายโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจนกว่าจะเป็นที่ประจักษ์ว่า สามารถควบคุมระดับมลพิษในพื้นที่ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ได้เสียก่อน
3. การนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องพัฒนาศูนย์ข้อมูลข่าวสารเชิงรุกประจำนิคม และจัดทำระบบเครือข่ายข้อมูลระหว่างนิคมต่างๆ โดยมีหน้าที่แจ้งให้โรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชนโดยรอบทราบทันที เมื่อเกิดการรั่วไหลของก๊าซหรือมลพิษอื่นอย่างผิดปกติ พร้อมทั้งให้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง และตอบคำถามต่างๆ เกี่ยวกับมลพิษ และสารอันตรายแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที
4.คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ควรเร่งอนุมัติการประกาศใช้การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ของพื้นที่จังหวัดระยองโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงนโยบายและแผนการพัฒนา/จัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการปรับปรุงผังเมืองรวมมาบตาพุด และผังเมืองอื่นๆในพื้นที่ จ.ระยอง
5. กรมควบคุมมลพิษ ควรเร่งการดำเนินการประเมินขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่มาบตาพุดให้สัมฤทธิ์ผล และจัดให้มีการตรวจวัดมลพิษในอากาศอย่างต่อเนื่อง และถาวรตามจุดต่างๆ รวมถึงในทุกชุมชน และทุกโรงเรียน และเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้ประชาชนทราบตามเวลาที่เกิดขึ้นจริงโดยจอมอนิเตอร์ ที่มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล
6. ให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการพหุพาคีเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่
7. ให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในรูปคณะกรรมการนำร่องขึ้นในพื้นที่จังหวัดระยอง ตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
8. ทบทวน/ประเมินผลแผนและผังเมืองเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่มาบตาพุด ได้แก่ การทบทวนแผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะ 3 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและให้มีแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินผลแผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และในการจัดทำผังเมืองรวมมาบตาพุดฉบับใหม่แทนผังเมืองเดิมที่หมดอายุ ให้คำนึงถึงศักยภาพและขีดจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ และจัดให้มีกระบวนการหารือประชาชน
9. กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดให้ประชาชนตรวจดูได้ตาม มาตรา 9 (8) แห่ง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
10. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ร.บ. การผังเมือง พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพ.ศ. 2535 รวมทั้งเร่งตรากฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และเร่งจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมและวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบัญญัติแนวทางการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้ปรากฏผลโดยเร็ว
ทั้งนี้ เครือข่ายฯ ระบุว่า คำพิพากษาของศาลปกครองจังหวัดระยอง เป็นข้อยืนยันเป็นที่ประจักษ์ของผลกระทบจากแผนพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด เนื่องจากเมื่อเครือข่ายได้ศึกษาธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ของแผนแม่บทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 3 แผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษในพื้นที่จังหวัดระยอง และผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง ที่นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่มาบตาพุดในปัจจุบันแล้ว
ปรากฏว่าผลการศึกษาได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐมีนโยบายอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบและความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ ชายฝั่งทะเล เกิดมลพิษ และส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน เหมือนกับจะไม่ได้ตระหนักว่าประชาชนเป็นเจ้าของพื้นที่ เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นเจ้าของประเทศ
การดำเนินนโยบายดังกล่าวเป็นการขัดต่อหลักการการพัฒนาที่ยั่งยืน ขัดต่อมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่รับรองสิทธิของบุคคลที่จะดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลส่อไม่อุทธรณ์

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด)ว่า ได้มอบหมายให้นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานในที่ประชุม เนื่องจากสามารถนำข้อเสนอขอ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และข้อสรุปในวันนี้ เสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีโดยตรง ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในวันที่ 16 มี.ค.นี้
ด้านนายสาวิตต์ โพธิวิหค กล่าวหลังการประชุมว่า ที่ประชุมรับทราบคำสั่งศาลปกครองจ.ระยอง จากปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเข้าใจว่า คณะกรรมการฯชุดนี้มีอำนาจเพียงรับฟังปัญหาจากภาคเอกชน และจะนำข้อเสนอรายงานนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ส่วนความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้น ส่วนตัวเห็นว่า การแก้ไขปัญหาควรจะยึดหลักผลประโยชน์เพื่อประชาชน เนื่องจากหากปล่อยให้เรื่องบานปลาย ก็จะเกิดปัญหา จึงควรจะเร่งดำเนินการให้เรื่องจบโดยเร็ว
นายสาวิตต์ กล่าวว่า ปัญหาเช่นเดียวกันนี้อาจจะกระทบกับแผนพัฒนาพื้นที่ภาคใต้เช่นเดียวกัน แม้ตอนนี้ยังไม่มีการบรรจุแผนเซาท์เทิร์นซีบอร์ด แต่เชื่อว่า การเชื่อมโยงอาจจะไปกระทบกับประชาชนในพื้นที่ภาคใต้หรือพื้นที่อื่น ๆเช่นกัน ดังนั้นประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วย และประชาชนก็มีสิทธิแสดงออกเช่นกัน ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ

เอกชนเตรียมยื่นฟ้องศาลปค.

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรารับฟังความคิดเห็นวันนี้จากภาครัฐ แต่หากมีความเป็นไปได้ว่า รัฐโดยเฉพาะคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่ยื่นอุทธรณ์ ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบก็คงจะต้องยื่นฟ้องศาลปกครองเอง เหมือนกับภาคประชาชนที่ยื่นฟ้องศาลปกครอง จ.ระยองในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่เราจะยื่นฟ้องในฐานะที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคการลงทุน ภาคบริการ และภาคการท่องเที่ยว
"หากไม่มีการยื่นอุทธรณ์ เอกชนก็กำลังดูความเป็นไปได้ในการยื่นตรงเอง หรือหากทำไม่ได้จริง ก็อาจนำไปสู่การยื่นฟ้องบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในฐานะที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล" นายสันติกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น