xs
xsm
sm
md
lg

อัยการไปฮ่องกงขอตัวแม้วนิด้าค้านแก้กม.หมิ่นสถาบันฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คณะทำงานอัยการ กำหนด 17 มี.ค.บินไปฮ่องกง เจรจาร่างสนธิสัญญาขอตัว"ทักษิณ" คาดการเจรจาน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี และมีผลสำเร็จ "ณัฐวุฒิ"อ้าง"แม้ว"ไม่เคยขอพระราชทานอภัยโทษ เพียงแค่ถวายรายงานเหตุการณ์ภายหลังเหตุปฏิวัติ ด้าน"อภิสิทธิ์"เชื่อ "ใจ" ชักใยต่อต้านการกล่าวสุนทรพจน์ที่อังกฤษ ชี้พฤติกรรมไม่ใช่วิสัยนักประชาธิปไตย อาจารย์นิด้าและประชาชน ออกแถลงการณ์ คัดค้านการแก้ กม.หมิ่นสถาบันฯ

วานนี้ (13 มี.ค.) นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ กล่าวถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ว่า ตนเองได้รับมอบหมายจากนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานอัยการนำทีมงาน 3 คน ประกอบด้วย พนักงานอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ 3 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 1 นาย เดินทางร่วมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศไปยังเกาะฮ่องกง เพื่อเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการในการร่างสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับฮ่องกง ในวันที่ 17 มี.ค.นี้ โดยกำหนดใช้เวลาเจรจากันประมาณ 2-3 วัน

นายศิริศักดิ์กล่าวว่า ในการเจรจาเชื่อว่าทางการฮ่องกงจะเน้นหลักการเรื่องการร่างสนธิสัญญาฯ ระหว่างกัน มากกว่าการใช้วิธีต่างตอบแทนระหว่างรัฐ ส่วนจะต้องเจรจากันอีกกี่รอบ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายว่าจะยอมรับในเงื่อนไขกันได้มากน้อยแค่ไหน โดยหากได้ข้อสรุปในเบื้องต้นอย่างไรตนจะนำกลับมารายงานต่อนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสูด เพื่อเสนอต่อรัฐบาล และรัฐสภาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าการเดินทางไปครั้งนี้จะติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาได้หรือไม่ นายศิริศักดิ์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้งสองฝ่ายโดยหากการร่างสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดนไทยฮ่องกงไม่สำเร็จก็อาจส่งผลให้ไม่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมารับโทษไม่ได้ เนื่องจากทางการฮ่องกงให้ความสำคัญกับเรื่องสนธิสัญญาฯ มากกว่าการใช้หลักต่างตอบแทนระหว่างรัฐ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการเจรจาน่าจะผ่านไปได้ด้วยดีและมีผลสำเร็จ

ถูกกีดกันซื้อดีวีดี"ไข่แม้วดำ"หมิ่นฯ

วันเดียวกัน นายอัคบาร์ ข่าน (Mr.akbar kan) สัญชาติอังกฤษ อายุ 43 ปี ผู้สื่อข่าวอิสระ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวอาชญากรรม เอเอสทีวีผู้จัดการ ว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ได้เข้าพบคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อร้องเรียน สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หรือ FCCT เรียกค่าเสียหาย 3 ล้านบาท หลังไม่ยอมขายดีวีดี ที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. กรณีแถลงข่าวที่ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.51 หลังตรวจสอบพบว่า อาจมีเนื้อหาบางส่วนพาดพิงสถาบันเบื้องสูง นอกจากนี้ยังถูกสมาคมไล่ออกจากสมาชิกอย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วย

นายอัคบาร์ ข่าน กล่าวว่า วันที่นายวีระ แถลงข่าวที่สมาคมฯนั้นตนเข้าฟังด้วย โดยมีแกนนำ นปช.ทั้ง นายวีระ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมแถลง ขาดเพียงนายจักรภพ เพ็ญแข เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วม ซึ่งมีหัวข้อแถลงว่า “ใครอยู่เบื้องหลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เท่าที่ได้ฟังบางส่วนเห็นว่า น่าจะเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง เช่นตอนที่ นักข่าวฝรั่งถาม ซึ่งนายวีระ ตอบว่าพูดไม่ได้เดี๋ยวติดคุก 15 ปี และตอบไม่ได้เดี๋ยวกลายเป็นนายจักรภพ จากนั้นคนที่ฟังการแถลงข่าวต่างหัวเราะกันลั่นสมาคม ต่อมาตนได้ติดต่อขอซื้อดีวีดี ดังกล่าว จากสมาคมฯ ซึ่งมีการขายให้สมาชิกในราคาแผ่นละ 600 บาท แต่สมาคมฯกลับปฏิเสธไม่ยอมขายให้ โดยกล่าวหาว่าตนจะนำไปให้ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน สน.บางมด ซึ่งเป็นเพื่อนกันฟ้องร้องนายวีระ นอกจากนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางสมาคมฯยังไล่ตนออกจากการเป็นสมาชิกอีกด้วย ตนเห็นว่าสมาคมฯทำเกินกว่าเหตุ ตนออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ตนเคารพ ไม่ต่างไปจากคนไทยคนหนึ่ง แต่กลับถูกไล่ออกจากการเป็นสมาชิกอย่างไม่เป็นธรรม

นายอัคบาร์ ข่าน กล่าวอีกว่า ทางสมาคมฯกล่าวหาว่า ตนสนิทกับนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวที่สมาคมฯ ตนก็ไปถามเหตุผลว่าทำไมถึงไล่ตนออก และไม่ขายยอมดีวีดีให้ เขาบอกว่า เมื่อคุณได้ไปแล้วคุณก็จะนำไปให้ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เพื่อนของคุณแจ้งความตำรวจอีก จากนั้นตนได้ส่งเพื่อนๆ กว่า 10 คนไปล่อซื้อ แต่เขาก็ไม่ยอมขายให้ แต่ขณะนี้ตนได้ประสานไปยังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เพื่อขอดีวีดี คำแถลงดังกล่าว และหากพบว่าเข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ จะเข้าแจ้งความแน่นอน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางสมาคมได้ส่งทนายมาไกล่เกลี่ยกับตน ซึ่งตนบอกว่าจะยอมถอนฟ้องแต่ต้องขาย ดีวีดี ดังกล่าวให้ ซึ่งทางเขาก็ไม่ยอม

"นช.แม้ว"ไม่เคยขออภัยโทษ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และผู้จัดรายการความจริงวันนี้ กล่าวยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 3 ฉบับ เพียงแต่ที่ผ่านมาได้ทำจดหมาย ถวายรายงานหลังการปฏิวัติรัฐประหาร 3 ฉบับเท่านั้น ซึ่งเป็นการถวายรายงานเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งคดีความและความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งดำเนินการก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยตัดสินในคดีที่ดินรัชดาฯ ทั้งนี้ เห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชน

แหล่งข่าวทำเนียบองคมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่พ.ต.ท. ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์ส ว่า เคยส่งหนังสือเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษถึง 3 ฉบับ ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือขออภัยโทษจากพ.ต.ท. ทักษิณ เข้ามายังทำเนียบองคมนตรี อีกทั้งไม่คิดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะยื่นหนังสือเพื่อขออภัยโทษ เพราะถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการขออภัยโทษจริงๆ ควรจะหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปนานแล้ว และคงไม่มีการโฟนอินเข้ามาว่า กล่าวโจมตีรัฐบาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และสถาบันต่างๆ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเดินทางกลับเข้าประเทศเพื่อรับโทษตามคำตัดสินของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากกว่า ก่อนที่จะมาขออภัยโทษ

สำหรับขั้นตอนในการยื่นหนังสือขออภัยโทษสามารถทำได้หลายทาง โดยยื่นหนังสือที่กระทรวงยุติธรรม หรือ ที่สำนักราชเลขาธิการพระราชวัง ทั้งนี้หากยื่นหนังสือผ่านทางสำนักราชเลขาธิการพระราชวัง ทางสำนักเลขาธิการพระราชวังก็จะต้องนำเรื่องส่งให้กับทางกระทรวงยุติธรรม ก่อนที่จะส่งให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา หลังจากนั้นเมื่อขั้นตอนการพิจารณาจากนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งมายังสำนักราชเลขาธิการพระราชวัง เพื่อนำเสนอให้กับคณะองคมนตรี เพื่อพิจารณาก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป

แหล่งข่าวจากนายทหารระดับสูง กล่าวว่า หลักการนิรโทษกรรม ส่วนใหญ่เราก็เห็นด้วยที่อยากให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ แต่ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เลิกและไม่หยุดที่จะป่วน ก็เหมือนเอาประโยชน์ใส่ตัวเองเป็นหลัก จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาประโยชน์เข้าตัวไม่ได้หมายถึงทำเพื่อส่วนรวมก่อน เสียสละเพื่อประเทศชาติ ยอมรับโทษทัณฑ์แล้วถึงมาสู่ขั้นตอนการขอนิรโทษกรรม แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ยอมรับผิดด้วยซ้ำ

"ภาพที่ออกมาเหมือนเป็นการกดดันพระองค์ท่าน เพราะเท่าที่ผ่านมา ปกติพระองค์ท่านจะให้พระราชทานอภัยโทษอยู่แล้ว แต่บนพื้นฐาน พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องเข้ามารับผิดในคดีความก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่ยอมรับผิดเลยและคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ หากมองในหลักข้อเท็จจริงคิดว่า ควรจะรอเวลาสักนิด และเมื่อกลับเข้ามาในประเทศก็รับโทษสักระยะ แล้วถึงทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษถึงจะเหมาะสมกว่า แต่ตอนนี้เหมือนเป็นการกดดันมากกว่า ทั้งนี้การกระทำ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง เพื่อดูทิศทางมากกว่า และพยายามเคลื่อนไหวเดินเกมเพื่อกดดัน รัฐบาล และกองทัพ" แหล่งข่าวระบุ

จวกแม้ว ตีสองหน้าผ่านสื่อ

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศว่าได้ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้วถึง 3 ฉบับว่า เป็นการพูดในลักษณะผูกโยงเงื่อนไขการได้รับอภัยโทษ กับเงื่อนไขด้านมวลชน แต่กลับให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวของตนเอง ออกมาให้ข่าวปฏิเสธกับสื่อในประเทศไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีการเขียนจดหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่เหมาะสมตั้งแต่แรกในการออกมาเปิดเผยกับสื่อต่างประเทศ จึงเห็นได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะไม่ให้พื้นที่ข่าวในสื่อ ทั้งในและนอกประเทศของตนลดลง และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้รัฐบาลต้องทำงานยากขึ้น ทั้งในการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงต่อสื่อ ในขณะที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยไปด้วย

อัด"ใจ"ไม่ใช่นักประชาธิปไตย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า นายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตนักวิชาการ และผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยังพำนักและเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศอังกฤษโดยเชื่อว่านายใจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการต่อต้านการกล่าวสุนทรพจน์ของตน ที่มหาวิทยาลัย ออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายใจ ไม่ถือว่า เป็นนักประชาธิปไตยตามที่อ้างไว้ เพราะการขัดขวางและละเมิดสิทธิของผู้อื่น ถือได้ว่าไม่เป็นระบอบประชาธิปไตย

ทั้งนี้ ตามกำหนดการของนายอภิสิทธิ์ จะพบสื่อมวลชนอังกฤษโดยจะมีการชี้แจงประเด็นและข้อสงสัยกรณีการปิดเว็บไซต์ประชาไท ที่ทำผิดกฎหมายคอมพิวเตอร์ และขอให้สื่อต่างประเทศเข้าใจรัฐบาลไทย ต่อการให้สิทธิเสรีภาพของสื่อ แต่หากทำผิดกฎหมาย จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด

นิด้าออกแถลงการณ์ค้านแก้กม.หมิ่นฯ

วานนี้ (13 มี.ค.) คณาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และประชาชน ได้ร่วมลงชื่อ เพื่อออกแถลงการณ์เรื่อง การคัดค้านข้อเสนอให้มีการยกเลิก และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องพระมหากษัตริย์จากการถูกละเมิด

โดยระบุว่า จากกรณีที่ นายใจ อึ๊งภากรณ์ และกลุ่มนักวิชาการ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ได้ออกแถลงการณ์ เสนอให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยเหตุผลว่า เป็นมาตราที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิทธิ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของพลเมืองไทย รวมทั้งการรณรงค์ล่ารายชื่อของนายธงชัย วินิจจกูล และ 50 นักวิชาการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น

นักวิชาการ และประชาชนได้มีการประชุมวิเคราะห์แง่มุมต่างๆในประเด็นนี้อย่างรอบด้านแล้ว และมีความเห็นร่วมกันว่า รัฐบาลและรัฐสภาไม่ควรดำเนินการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และบทบัญญัติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการป้องกันมิให้มีการละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มนักวิชาการดังกล่าวข้างต้น โดยมีเหตุผลประกอบการแสดงจุดยืนทางความคิดดังต่อไปนี้

1.การละเมิดหรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์พระมหากษัตริย์เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ มิใช่ประเด็นหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป เนื่องจากองค์พระมหากษัตริย์ดำรงฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐไทย ที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2.จึงเป็นความชอบธรรมตามหลักนิติรัฐ ที่ต้องมีกฎหมายปกป้องมิให้มีการละเมิดหรือการหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐ ซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการฟ้องร้องต่อผู้ละเมิดหรือหมิ่นประมาทได้ด้วยตนเอง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐส่วนที่ 2 แนวนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ มาตรา 77 จึงกำหนดไว้ว่า

“รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ”

นอกจากนี้ในหมวด 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 8 ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า

“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”

ทั้งนี้เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติในการดูแลปกป้ององค์พระมหากษัตริย์จากการถูกละเมิด ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ประมวลกฎหมายอาญาจึงได้กำหนดไว้ในมาตรา 112 ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

ดังนั้น การเสนอแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา จึงมิใช่ประเด็นการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐโดยตรง

3. คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เกิดขึ้นค่อนข้างมากในระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นกระบวนการเพื่อนำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศจากรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปสู่การปกครองรูปแบบอื่น

ดังนั้นการเสนอแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้ององค์พระมหากษัตริย์จากการถูกละเมิดหรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงเป็นประเด็นการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศไทย มิใช่การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ

4.การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้ององค์พระมหากษัตริย์นั้น ในทางปฏิบัติ อาจมีผู้นำไปใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งบุคคลบางคนได้ จึงขอเรียกร้องต่อเจ้าพนักงานของรัฐให้ระมัดระวังการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างรอบคอบและเป็นธรรม

จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล รัฐสภาและสังคมไทย มิให้หวั่นไหวต่อข้อเสนอของกลุ่มที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปกป้ององค์พระมหากษัตริย์ จากการถูกละเมิดหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น