ASTVผู้จัดการรายวัน – สมาคมภัตตาคารไทย ชง”อภิสิทธิ์” พัฒนาร้านอาหารไทยขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ หวั่นตกชะตากรรมเดียวโชวห่วยล้มหายตายจาก หลังวิกฤตเศรษฐกิจพ่นพิษ ผจญการแข่งขันธุรกิจอาหารต่างประเทศบุกขยายสาขา ร้านอาหารญี่ปุ่น-อิตาเลี่ยนบูม ผนึก 8 กระทรวง บูรณาการร่วม ส่งโมเดลธุรกิจไก่ย่างส้มตำ ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกงนำร่อง หวังโกอินเตอร์ต่างประเทศ
(วานนี้ 11 มีนาคม 52) สมาคมภัตตาคารไทยจัดงานในหัวข้อ”บทบาทใหม่ สมาคมภัตตาคารไทยกับการอยู่รอดของธุรกิจร้านอาหารไทย” เพื่อยกระดับมาตรฐานอาหารไทยสู่สากล และฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอย ท่ามกลางการเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงจากร้านอาหารต่างประเทศ
นางปวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ เตรียมเข้าพบกับนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อผลักดันการบูรณาธุรกิจร้านอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งการทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยการส่งเสริมผลักดันให้มีการยกระดับมาตรฐานร้านอาหารให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ศักยภาพเติบโตท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในแง่ของการส่งออกมีมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท
“สมาคมฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นในการปรับตัว และความเร่งด่วนที่ร่วมมือกันฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งธุรกิจร้านอาหารนั้นนับว่า น่าจะมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพื่อการตอบรับรูปแบบการใช้ชีวิต พฤติกรรมการบริโภค ตลอดจนภาวะการแข่งขัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การส่งเสริมผลักดันให้มีการยกระดับมาตรฐานร้านอาหารให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น ”
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจแต่ธุรกิจร้านอาหารไทยยังเติบโตได้ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ถือว่ามีศักยภาพมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อและราคาอาหารต่อเมนูสูง ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่า โดยวางเป้าหมายขยายร้านอาหารเพิ่มจาก 1.3 หมื่นแห่ง เพิ่มเป็น 1.5 หมื่นแห่ง
สำหรับสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยมีจำนวน 3 แสนแห่ง หรือมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี โดยปีที่ผ่านมาและปีนี้คาดว่า มีการขยายตัว 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ พฤติกรรมการกินข้าวลดลง อีกทั้งการแข่งขันยังรุนแรง โดยเฉพาะร้านอาหารต่างประเทศ ซึ่งพบว่า มีการขยายตัวเติบโต 20% เป็นอัตราโตต่อเนื่องทุกปี และปีนี้คาดว่าโต 20%
นางปวรรณ กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่ายอดขายของธุรกิจร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ 500 ที่นั่ง ลดลง 50% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายร้านอาหารไทยปัจจุบันเหลือ 200 บาทต่อคนต่อหัว ส่วนต่างจังหวัด 100 บาทต่อคนต่อหัว เทียบกับร้านอาหารญี่ปุ่น 400-500 บาทต่อคนต่อหัว
ทั้งนี้ พบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 500บริษัท เข้ามาธุรกิจในไทยมีมูลค่า 6,000ล้านบาท เติบโต 20% และล่าสุดขยายเพิ่มเป็น 1,000บริษัท พร้อมทั้งมีแนวโน้มว่าร้านอาหารอิตาเลี่ยนขยายตัวอีกมาก ส่วนหนึ่งเพราะไทยไม่มีกำแพงกีดกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศ ขณะที่หากร้านอาหารไทยจะเข้าไปเปิดธุรกิจต่างประเทศ จะมีข้อจำกัดต่างๆ มากมาย
“ที่ผ่านมาโชวห่วยในประเทศไทยล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากจากแสนแห่ง จนกระทั่งเหลือเพียง 5 หมื่นแห่ง ซึ่งในอนาคตธุรกิจร้านอาหารไทยอาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโชวห่วย เริ่มล้มหายตายจาก เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบรายเล็ก 1.5 แสนราย หรือคิดเป็นกว่า 50% อีกทั้งยังขาดการจัดการ และการยกระดับสู่มาตรฐานสากล”
นางปวรรณ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้วางแนวทางดำเนินการเพื่อยกระดับธุรกิจร้านอาหารไทย ทั้งในระบะสั้นและระยะยาว 3-5 ปี วางเป้าหมายให้ธุรกิจร้านอาหารไทยเทียบขั้นมาตรฐานสากล” ด้วยกลยุทธ์บูรณาการ เชื่อมโยงทุกภาค โดยแผนระยะสั้น ได้ผนึกกับ 8 กระทรวง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ แรงงาน สาธารณะสุข เป็นต้น ออกนโยบาย-ประสานจุดแข็ง
“ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่างเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ การบริหารจัดการ และการทำประชาพิจารณ์ เพื่อนำสู่ภาคปฏิบัติจริง คาดว่า จะสรุปและเปิดตัวโครงการได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ธุรกิจร้านอาหารของไทยนี้ จะก้าวสู่วิวัฒนาการใหม่ พลิกโฉมไปสู่อีกรูปแบบที่น่าจับตาจากตลาดโลก”
ล่าสุดดำเนินการ 3 แคมเปญพิเศษ ได้แก่ แคมเปญลดค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 10% โดยประสานงานช่วยซัพพลายเออร์อาหาร ให้เกิดเจรจาการซื้อขายโดยตรง แคมเปญเพิ่มยอดขาย และแคมเปญสนับสนุนธุรกิจ อีกทั้งยังจับมือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินโครงการ บูล เรสเตอรองต์ จัดกิจกรรมฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ชวนร้านอาหารลดราคา โครงการปรับตัวของการบริการอาหารอันเนื่อง จากการเปิดตัวเสรีภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าทวิภาคี และโครงการพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารสู่ตลาดโลก
ทั้งนี้ได้เตรียมพัฒนาโมเดล 4 ร้านต้นแบบ ได้แก่ 1.ร้านไก่ย่างส้มตำ 2. ข้าวแกง3. ก๋วยเตี๋ยว และ4. ผัดไทย ออกมานำร่อง โดยใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และโครงการพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารสู่ตลาดโลกเพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศ โดยรุกเข้าไปในประเทศที่มีศักยภาพ อาทิ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ตะวันออกกลางเป็นต้น
นางปวรวรรณ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปีนี้ การที่จะห้ามขายเหล้าเบียร์ ช่วงระยะเวลา 7 วันอันตรายนั้น เท่ากับเป็น 7 วันตายของร้านอาหาร อย่างแน่นอน จากปัจจุบันยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 15% และอาหาร 85% ฉะนั้นทางสมาคมภัตตาคารไทย จึงอยากร้องขอให้นายกฯ เข้ามาพิจารณาก่อนออกประกาศ โดยทางสมามฯ เสนอให้ ยกเว้นร้านค้าที่มีใบอนุญาติ ซึ่งปัจจุบันมี 1.7 แสนรายจาก 3 แสนราย ให้สามารถขายได้หรือ ผ่อนผันให้เหลือแค่วันเดียว
(วานนี้ 11 มีนาคม 52) สมาคมภัตตาคารไทยจัดงานในหัวข้อ”บทบาทใหม่ สมาคมภัตตาคารไทยกับการอยู่รอดของธุรกิจร้านอาหารไทย” เพื่อยกระดับมาตรฐานอาหารไทยสู่สากล และฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอย ท่ามกลางการเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงจากร้านอาหารต่างประเทศ
นางปวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ เตรียมเข้าพบกับนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อผลักดันการบูรณาธุรกิจร้านอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งการทำตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยการส่งเสริมผลักดันให้มีการยกระดับมาตรฐานร้านอาหารให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ศักยภาพเติบโตท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในแง่ของการส่งออกมีมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท
“สมาคมฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นในการปรับตัว และความเร่งด่วนที่ร่วมมือกันฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งธุรกิจร้านอาหารนั้นนับว่า น่าจะมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพื่อการตอบรับรูปแบบการใช้ชีวิต พฤติกรรมการบริโภค ตลอดจนภาวะการแข่งขัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การส่งเสริมผลักดันให้มีการยกระดับมาตรฐานร้านอาหารให้ได้มาตรฐานสูงขึ้น ”
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจแต่ธุรกิจร้านอาหารไทยยังเติบโตได้ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ถือว่ามีศักยภาพมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อและราคาอาหารต่อเมนูสูง ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่า โดยวางเป้าหมายขยายร้านอาหารเพิ่มจาก 1.3 หมื่นแห่ง เพิ่มเป็น 1.5 หมื่นแห่ง
สำหรับสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยมีจำนวน 3 แสนแห่ง หรือมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี โดยปีที่ผ่านมาและปีนี้คาดว่า มีการขยายตัว 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ พฤติกรรมการกินข้าวลดลง อีกทั้งการแข่งขันยังรุนแรง โดยเฉพาะร้านอาหารต่างประเทศ ซึ่งพบว่า มีการขยายตัวเติบโต 20% เป็นอัตราโตต่อเนื่องทุกปี และปีนี้คาดว่าโต 20%
นางปวรรณ กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่ายอดขายของธุรกิจร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ 500 ที่นั่ง ลดลง 50% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายร้านอาหารไทยปัจจุบันเหลือ 200 บาทต่อคนต่อหัว ส่วนต่างจังหวัด 100 บาทต่อคนต่อหัว เทียบกับร้านอาหารญี่ปุ่น 400-500 บาทต่อคนต่อหัว
ทั้งนี้ พบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 500บริษัท เข้ามาธุรกิจในไทยมีมูลค่า 6,000ล้านบาท เติบโต 20% และล่าสุดขยายเพิ่มเป็น 1,000บริษัท พร้อมทั้งมีแนวโน้มว่าร้านอาหารอิตาเลี่ยนขยายตัวอีกมาก ส่วนหนึ่งเพราะไทยไม่มีกำแพงกีดกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศ ขณะที่หากร้านอาหารไทยจะเข้าไปเปิดธุรกิจต่างประเทศ จะมีข้อจำกัดต่างๆ มากมาย
“ที่ผ่านมาโชวห่วยในประเทศไทยล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากจากแสนแห่ง จนกระทั่งเหลือเพียง 5 หมื่นแห่ง ซึ่งในอนาคตธุรกิจร้านอาหารไทยอาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโชวห่วย เริ่มล้มหายตายจาก เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบรายเล็ก 1.5 แสนราย หรือคิดเป็นกว่า 50% อีกทั้งยังขาดการจัดการ และการยกระดับสู่มาตรฐานสากล”
นางปวรรณ กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ได้วางแนวทางดำเนินการเพื่อยกระดับธุรกิจร้านอาหารไทย ทั้งในระบะสั้นและระยะยาว 3-5 ปี วางเป้าหมายให้ธุรกิจร้านอาหารไทยเทียบขั้นมาตรฐานสากล” ด้วยกลยุทธ์บูรณาการ เชื่อมโยงทุกภาค โดยแผนระยะสั้น ได้ผนึกกับ 8 กระทรวง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ แรงงาน สาธารณะสุข เป็นต้น ออกนโยบาย-ประสานจุดแข็ง
“ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่างเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ การบริหารจัดการ และการทำประชาพิจารณ์ เพื่อนำสู่ภาคปฏิบัติจริง คาดว่า จะสรุปและเปิดตัวโครงการได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ธุรกิจร้านอาหารของไทยนี้ จะก้าวสู่วิวัฒนาการใหม่ พลิกโฉมไปสู่อีกรูปแบบที่น่าจับตาจากตลาดโลก”
ล่าสุดดำเนินการ 3 แคมเปญพิเศษ ได้แก่ แคมเปญลดค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 10% โดยประสานงานช่วยซัพพลายเออร์อาหาร ให้เกิดเจรจาการซื้อขายโดยตรง แคมเปญเพิ่มยอดขาย และแคมเปญสนับสนุนธุรกิจ อีกทั้งยังจับมือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินโครงการ บูล เรสเตอรองต์ จัดกิจกรรมฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ชวนร้านอาหารลดราคา โครงการปรับตัวของการบริการอาหารอันเนื่อง จากการเปิดตัวเสรีภายใต้กรอบข้อตกลงการค้าทวิภาคี และโครงการพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารสู่ตลาดโลก
ทั้งนี้ได้เตรียมพัฒนาโมเดล 4 ร้านต้นแบบ ได้แก่ 1.ร้านไก่ย่างส้มตำ 2. ข้าวแกง3. ก๋วยเตี๋ยว และ4. ผัดไทย ออกมานำร่อง โดยใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และโครงการพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารสู่ตลาดโลกเพื่อเพิ่มรายได้เข้าประเทศ โดยรุกเข้าไปในประเทศที่มีศักยภาพ อาทิ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ตะวันออกกลางเป็นต้น
นางปวรวรรณ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปีนี้ การที่จะห้ามขายเหล้าเบียร์ ช่วงระยะเวลา 7 วันอันตรายนั้น เท่ากับเป็น 7 วันตายของร้านอาหาร อย่างแน่นอน จากปัจจุบันยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 15% และอาหาร 85% ฉะนั้นทางสมาคมภัตตาคารไทย จึงอยากร้องขอให้นายกฯ เข้ามาพิจารณาก่อนออกประกาศ โดยทางสมามฯ เสนอให้ ยกเว้นร้านค้าที่มีใบอนุญาติ ซึ่งปัจจุบันมี 1.7 แสนรายจาก 3 แสนราย ให้สามารถขายได้หรือ ผ่อนผันให้เหลือแค่วันเดียว