ศูนย์วิจัยปัญหาสุราซัด “วิทยา-มานิต” อ่อนปวกเปียก ยอมให้ร้านอาหาร ผับ โรงแรม ขายเหล้าช่วงสงกรานต์ ชี้ไม่ได้ผลควบคุมอุบัติเหตุไม่ได้ ด้านแพทย์ชนบทจวกรัฐมนตรีแค่ทำแบบขอไปที ยกธงขาวตั้งแต่ยังไม่สู้
ร.ท.หญิงจุฑาภรณ์ แก้วมุงคุณ รองผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า การที่ รมต.สาธารณสุข ทั้ง นายวิทยา แก้วภราดัย และ นายมานิต นพอมรบดี จะเสนอมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ช่วงสงกรานต์ 2 แนวทาง คือ 1.ห้ามตลอด 24 ชม.ตั้งแต่ 12-14 เม.ย. และ 2.ให้จำหน่ายได้เฉพาะในร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรม ที่มีใบอนุญาต ตั้งแต่ 18.00-24.00 น. ตั้งแต่วันที่ 12-14 เม.ย. โดยอ้างจะกระทบการท่องเที่ยวนั้น เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนใน 3 ประเด็น คือ 1.ไร้เหตุผลทางวิชาการ และเหตุผลทางสาธารณสุขอย่างสิ้นเชิง 2.ไร้จุดยืนโอนอ่อนตามผู้ทักท้วง เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจบางกลุ่มอย่างชัดเจน 3.กลุ่มธุรกิจมีอิทธิพลต่อการกำหนดมาตราการ โดยไม่ฟังเสียงของประชาชน ที่สำคัญคือมาตรการที่หย่อนยานแบบนี้ จะไม่ได้ผลในการควบคุมอุบัติเหตุแน่นอน
“การอนุญาตให้ร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรม ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลา 18.00-24.00 น. จะไม่สมารถแก้ปัญหาอุบัติเหตุได้เลย เพราะเป็นช่วงที่มีการซื้อขายและดื่มมากที่สุด ส่งผลกระทบให้ห้เกิดอุบัติเหตุตามมา ดังข้อมูลที่พบว่า เวลาของการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางบกช่วง 16.00-20.00 น. สูงถึง 31.4% เวลา 20.00-24.00 น. 17.7% ซึ่งรวมแล้วเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดของวัน คือครึ่งหนึ่งของอุบัติเหตุทั้งวัน แต่นี่ รมต.สาธารณสุข กำลังจะอนุญาตให้ซื้อขายเหล้ากันได้ ทั้งๆที่เหตุผลของการพิจารณามาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาล คือต้องการลดอุบัติเหตุ”ร.ท.หญิงจุฑาภรณ์ กล่าว
ร.ท.หญิงจุฑาภรณ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนซื้อจะไปซื้อในร้านอาหาร แล้วออกมานั่งดื่ม หรือไปดื่มตามท้องถนนเช่นเดิม ไม่สามารถคุมได้ การซื้อได้ในตอนเย็นของทุกวัน ทำให้มีการกักตุนเพื่อดื่มวันต่อวันได้ง่ายกว่าห้าม 3 วันติดต่อกัน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการออกแบบมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล สิ่งที่รมต.สาธารณสุขทำชัดเจนว่า ฟังเสียงฝ่ายธุรกิจอย่างชัดเจน โดยออกมาพบและรับหนังสือจากกลุ่มผู้แทนธุรกิจร้านอาหารด้วยตนเอง ในวันที่ 10 มี.ค.52 และเมื่อประชุมวันที่ 11 มี.ค. ก็เปลี่ยนการตัดสินใจทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 52 มีฝ่ายธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคารร่วมด้วย
ร.ท.หญิงจุฑาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ประชาพิจารณ์ธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร ยอมรับข้อเสนอห้ามจำหน่ายตลอด 24 ชม. ตั้งแต่วันที่ 12-14 เม.ย. และผู้แทนผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็บอกว่าไม่มีปัญหา แต่รมต.สาธารณสุข กลับเป็นฝ่ายลดหย่อนความเข้มข้นของมาตรการถึง 3 รอบ 1.รอบที่ 1 ลดหย่อนจากห้ามจำหน่ายช่วงเทศกาลตลอด 7 วัน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย เหลือเพียง 3 วัน 2.รอบที่ 2 ลดหย่อนเรื่องเวลาจากการห้ามตลอด 24 ชั่วโมง เป็น อนุญาตให้ขายได้ 6 ชม. ในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 3.รอบที่ 3 ห้ามร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางประเภทแต่ลดหย่อนให้ร้านจำหน่ายบางประเภทให้ขายได้
“สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฝ่ายธุรกิจมายื่นหนังสือทักท้วง และรมต.สาธารณสุข ยังบอกอีกว่าจะไม่มีการฟังเสียงใดๆเพิ่มอีก แล้วจะไม่ให้ประชาชนผิดหวังได้อย่างไร ขอย้ำว่าอุบัติเหตุจากการเมาในช่วงเทศกาลก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจกว่าพันล้านบาท เกิดคนบาดเจ็บ พิการ ตาย ลูกไม่มีพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่มีลูกที่จะช่วยดูแลอีกมากมาย”ร.ท.หญิงจุฑาภรณ์ กล่าว
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า การให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ในร้านอาหาร ผับ บาร์ โรงแรมนั้น ร้านค้าทั่วไปจะไม่ยอมรับและละเมิดกติกา ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าจับ สุดท้ายจะลดจำนวนคนป่วย-ตาย ได้ไม่มาก ในปีต่อไปบริษัทเหล้าจะอ้างว่าห้ามจำหน่าย 3 วัน ลดอุบัติเหตุไม่ได้ ถ้ากระทรวงสาธารณสุขห้ามจำหน่ายก็ควรจะทำจริงจังให้ได้ 7 หรือ 3 วัน การทำเช่นนี้เรียกว่าทำแบบขอไปที การท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ควรส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ไม่ใช่ส่งเสริมการเมาเหล้า ถ้าชาวต่างชาติรู้ว่าเดินทางในไทยเสี่ยงต่อการบาดเจ็บด้วยอุบัติเหตุรถยนต์นาทีละ 3 ราย คงไม่อยากมาเที่ยว
“นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ควรเสนอห้ามขายตลอด 7 วันช่วงสงกรานต์ แล้วทำหน้าที่เป็นตัวแทนต่อสู้ในกรรมการนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประสาส์น เป็นประธาน ไม่ใช่ยอมยกธงขาวตั้งแต่ยังไม่สู้ สถานการณ์ตอนนี้แม้แต่กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ไม่มีผลบังคับใช้จริงจัง ผมเห็นทุกจังหวัดมีร้านค้าติดป้ายโฆษณามีภาพขวดเหล้าติดหน้าร้าน ผิดกฎหมายทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่ไม่ทำอะไร มีเด็กอายุน้อยกว่า 20ปี เสียชีวิตจากเมาแล้วขับ เพราะร้านค้าขายเหล้าให้เด็ก ก็ไม่จับคนขาย เพราะกระทรวงสาธารณสุขไม่มีท่าทีจริงจังกับเรื่องเหล่านี้เลย”นพ.พงศ์เทพ กล่าว