xs
xsm
sm
md
lg

กองปราบลุยเว็บ"ประชาไท" โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- กองปราบนำกำลังบุก สนง.เว็บไซต์ประชาไท หลังได้รับหลักฐานจากไอซีที ว่ามีการเผยแพร่ข้อความหมิ่นเบื้องสูง "มาร์ค"สั่งผบ.ตร.ศึกษาข้อเสนอปรับปรุงกม.หมิ่นฯ ระบุปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้ ยันไม่ทบทวนคดีที่ผ่านมา ด้าน"สุเทพ"ลั่นไม่แก้ จะปล่อยให้ใครมาละเมิดสถาบันไม่ได้ ปธ.วุฒิฯระบุ กม.อาญา มาตราหมิ่นสถาบันฯ มีความชัดเจนอยู่แล้ว

เวลา 14.00 น.วานนี้(6 มี.ค.) พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พ.ต.อ.สาธิต ต ชยภพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม นำหมายค้น ศาลอาญา เลขที่ 183/ 2552 ลงวันที่ 5 มี.ค.51 เข้าตรวจค้นภายในสำนักงานเว็บไซต์ประชาไท เลขที่ 409 ชั้น 1 อาคาร มอส. ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 5 แขวงและเขตห้วยขวาง หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ว่าเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์ (www.prachatai.com) มีการโพสต์ข้อความลักษณะหมิ่นเบื้องสูง ในช่วงตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 51-วันที่ 3 พ.ย. 51 ต่อเนื่องกัน เหตุเกิดในพื้นที่เขตพระราชวัง เขตปทุมวัน และเขตห้วยขวาง

ทั้งนี้ จากหลักฐานที่ทางกระทรวงไอซีทีมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ พบข้อความภายในเว็บไซต์ดังกล่าวที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงมากกว่า 40 ข้อความ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้น และหมายจับ นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร อายุ 42 ปี ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท อยู่บ้านเลขที่ 48/282 ซอยรามคำแหง 104 แขวงและเขตสะพานสูง ซึ่งทางศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา เลขที่ 551/2552 ลงวันที่ 3 มี.ค.51 ในข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 (1) (3) (5) เป็นผู้ให้บริการจงใจสนับสนุน หรือยินยอมให้มีการกระทำผิด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่จะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศ , และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมฯตาม (1) (3) (5) และผิดพรบ.คอมฯมาตรา 15

จากการตรวจค้นภายในสำนักงานเว็บไซต์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของนางสาวจีรนุช มาทำการตรวจสอบ พร้อมกับเชิญตัวนางสาวจีรนุช ผอ.เว็บไซต์ประชาไท มาสอบปากคำที่กองปราบปราม โดยผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าข้อความดังกล่าวที่อยู่ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นข้อความของผู้ที่เข้ามาอ่านข่าวสารในเว็บ และเขียนไว้ในเว็บบอร์ดสาธารณะของเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเว็บไซต์ตรวจพบก็ได้ลบข้อความที่มีเนื้อหาเชิงหมิ่นเบื้องสูงทิ้งหมดแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีการตรวจค้นและจับกุมผอ.เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์ครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกต่อสื่อมวลชนได้ เนื่องจากเป็นคดีสำคัญ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่า เบื้องต้นจะดูที่การบังคับใช้ คิดว่าที่ผ่านมาปัญหาเกิดจากการบังคับใช้มากกว่า ความจริงตนได้ให้พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. ไปบ้างแล้ว แต่ในตัวบทกฎหมาย คนที่เขียนบางทีเข้าใจผิด เหมือนเป็นกฎหมายพิเศษ แต่ขอเรียนว่า เป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญา ความผิดว่าด้วยความมั่นคง ซึ่งในอาทิตย์หน้า จะหารือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กำลังหาแนวทางอยู่

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องมีการร่างระเบียบขึ้นมาเพิ่มเติมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำให้มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งตนได้หารือกับ ผบ.ตร. ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เข้าใจความห่วงใยของทุกฝ่าย หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติคิดว่าจะเป็นปัญหา ก็ต้องมาดูถึงระเบียบรองรับ เพื่อความเป็นธรรม

เมื่อถามว่าต้องทบทวนคดีหมิ่นฯ ที่ผ่านมาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คดีหมิ่นฯ ที่ผ่านมา ก็ต้องว่ากันอย่างตรงไปตรงมา เพราะมีคดีอีกจำนวนมากในที่สุดไม่มีการดำเนินการฟ้องร้อง แต่อาจล่าช้า อย่างที่เรียนว่า กฎหมายมีเหตุผลชัดเจน เราเองมีประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม มีโครงสร้างเชิงสถาบันชัดเจน และคงไม่ทำเรื่องนี้เพื่อต่างชาติ เพราะต้องดูในแง่ความเป็นธรรม

เมื่อถามว่าจะมีผลต่อคดีที่ผ่านมาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่ควรจะมี เพราะตนมองว่า จะเป็นข้ออ้างสำหรับคนที่จงใจทำผิดกฎหมาย หรือต้องการละเมิดสิทธิผู้อื่น ละเมิดสถาบันฯ จะมาอ้างเพื่อพ้นผิดไม่ได้ เมื่อถามว่า คดีของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่ม นปช. คิดว่าล่าช้าหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้อัยการเลื่อนไปวันที่ 29 มี.ค. เป็นองค์กรอิสระ ก็ต้องปล่อยให้ดำเนินการไป

"สุเทพ"ลั่นไม่แก้เด็ดขาด

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยังไม่ได้คุยกันในรายละเอียด แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจพี่น้องประชาชน เป็นหลักชัยของประเทศมีกฎหมายกำหนดไว้ เคร่งครัด แน่นอน ว่าใครจะไปลบหลู่ดูหมิ่น หรือทำให้เสียหายไม่ได้

"เพราะฉะนั้นวันนี้ใครมาชวนผมแก้กฏหมายตรงนี้ ผมไม่ยอมเด็ดขาด และในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลทางด้านนี้ จะไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ขณะเดียวกัน ผมจะดูแล ไม่ให้ใครเอาสถาบันฯ ไปเป็นเครื่องมือข่มเหงรังแกใคร" รองนายกฯกล่าว

ส่วนที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อาจมีการร่างระเบียบเพิ่มเติม เพื่อที่จะทำให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ถูกต้อง สิ่งที่นายกฯ พูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราจะได้มีการป้องกันไม่ให้ใครอ้างสถาบันฯ เพื่อไปรังแกคนอื่น แต่หากใครจงใจที่จะหมิ่นฯหรือ ละเมิดสถาบันฯ ซึ่งเป็นสิ่งสักการะสูงสุดของคนไทย เรายอมไม่ได้

เมื่อถามว่า คดีของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่ม นปช. ยังไม่มีความคืบหน้า นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องมีการสอบถามผู้รับผิดชอบในแต่ละภาคส่วน แต่ต้องถามด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นการแทรกแซง

เมื่อถามถึงกรณีที่นักวิชาการ ได้มีการรวมตัวให้แก้กฎหมายตรงนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ใช่ฝ่ายนักวิชาการทั้งหมด เป็นบุคคล คนบางกลุ่ม เท่านั้น อย่าไปอ้างว่าเป็นนักวิชาการทั้งประเทศ บางคนเลยเถิดไปว่า ทั้งประเทศไทย ประเทศนอก อยู่ประเทศไทยคนหนึ่ง อยู่เขมรคนหนึ่ง มีสองประเทศ แล้วอย่างนั้นมันก็แย่

เมื่อถามว่าการออกมาเคลื่อนไหวต้อนนี้ไปสอดรับกับสิ่งที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนได้รับรายงานในลักษณะอย่างนั้น และจะติดตามต่อไป

ปธ.วุฒิฯระบุกม.ชัดเจนอยู่แล้ว

นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการเสนอให้ปฏิรูปกฎหมายหมิ่นสถาบันฯเพื่อไม่ให้มีการนำมาใช้ในการกลั่นแกล้งทางการเมืองว่า กฎหมายเรื่องนี้เป็นกฎหมายธรรมดาไม่ใช่กฎหมายพิเศษ นั่นคือเป็นประมวลกฎหมายอาญา มีมาตั้งแต่ปี พ..ศ.2500 และที่เสนอให้ปฏิรูป ก็ไม่มีการบอกมาว่าจะปฏิรูปอย่างไร ซึ่งตนมองว่า กฎหมายที่มีอยู่ ดีอยู่แล้ว และชัดเจนว่า อะไรคือการดูหมิ่น อะไรคือการอาฆาตมาดร้าย และศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยคดี

นายกฯย้ำแนวทางปฏิรูปสื่อ

เมื่อเวลา 08.30 น.วันเดียวกันนี้ (6มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ในหัวข้อ "Asia Media : What’s Next" ในโอกาสที่เครื่อข่ายข่าว ASIA NEWS NETWORK ได้ดำเนินการครบรอบ 10 ปี ณ โรงแรมเพนนินซูล่า ห้องแกรนด์บอลรูม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวแสดงความยินดี ที่ได้มากล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพของวงการสื่อสารมวลชนชั้นนำในเอเชีย ซึ่งการรับรู้และมุมมองของทุกท่านนั้น ได้ส่งผลต่อมุมมองของภูมิภาคนี้และโลกนี้ ไม่จำกัดเพียงแค่ผู้อ่านที่ติดตามของผลงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐบาลทุกประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย และเมื่อท่านเขียนบทบรรณาธิการและบทความภายใต้ความสมดุลด้วยความถูกต้องแม่นยำแล้วนั้น ผู้อ่านและผู้บริโภคข่าว ย่อมจะมีความเข้าใจต่อสิ่งที่กระทบในชีวิตของพวกเขาได้ดีมากขึ้น

สื่อต้องแม่นยำ-สมดุล-ทันเทคโนโลยี

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สื่อมีส่วนในการปลุกปั้นแนวความนึกคิด ปลูกผังค่านิยม และให้ความหวังเกี่ยวกับอนาคตที่ดีขึ้นแก่ผู้อ่าน ดังนั้นพวกท่านจึงจำเป็นต้องเร่งให้ทันกับความจริงที่ท้าทายว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคข่าวได้เปลี่ยนไป มีการเรียกร้องต่อข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ และมีความสมดุลในการรายงานข่าว ประกอบกับเทคโนโลยีที่ใช้ก็มีพัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นักข่าวผู้มีความเป็นมืออาชีพมีภารกิจหนักที่จะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคข่าว พร้อมกับรักษามาตรฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ

บางสื่อถูกนักการเมืองครอบงำ

"ผมมีความตระหนักดีว่า วงการสื่อสารมวลชนมีภาระหน้าที่อันสำคัญในการรายงานข้อมูลที่เป็นจริงให้แก่ผู้บริโภค แต่หากเราได้พิจารณาประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย จะพบว่ามีหลายกรณีที่สื่อมวลชนไทยได้ละเลยการใช้สิทธิในการรายงานข่าว อิสระเสรีของสื่อมวลชนได้ถูกบิดเบือนไป ในขณะที่ในรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติถึงเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งมีความสมดุลกับการใช้กฏหมายของรัฐบาลในบังคับใช้เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ อย่างไรก็ดี ในส่วนนี้กลับทำให้รัฐบาลที่ผ่านมา เข้ามาแทรกแซงสื่อ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์บางฉบับ ในขณะที่บางฉบับกลับได้รับการสนันสนุน นอกจากนี้ข้อหาหมิ่นประมาทได้ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองโดยนักการเมือง มีสมาชิกสื่อมวลชนที่ถูกดำเนินคดีเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง" นายอภิสิทธิ์กล่าว

**ย้ำนโยบายรัฐปฏิรูปสื่อ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของตน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.51 ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า รัฐบาลชุดนี้จะออกกฏหมายเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าการทำงานของสื่อมีอิสระ ปราศจากการแทรกแซง และเกิดความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการผ่านพ.ร.บ.สื่อสิ่งพิมพ์ พ.ศ. 2550 ที่ได้กำหนดบทบัญญัติเพื่อลดการสิ่งที่ขัดขวางการนำเสนอข่าวสารของสื่อสารมวลชน จากที่เคยระบุไว้ในพ.ร.บ.สื่อสิ่งพิมพ์ พ.ศ. 2484 ทั้งนี้ รัฐบาลชุดนี้พร้อมที่จะแก้ไขกฏหมายใดๆ ก็ตาม ที่ก่อให้เกิดการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน และประชาชน โดยรัฐบาลมุ่งที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเป็นอย่างแรกในกระบวนการปฏิรูปสื่อไทย รวมถึงการใช้กฏหมายหมิ่นประมาทโดยผิดหลักการแห่งกฏหมาย ซึ่งควรจะต้องเพิ่มภาระการพิสูจน์ เพื่อให้การดำเนินคดีที่ไม่มีสาระแห่งคดี จะมิได้มีการกระทำอย่างแพร่หลายต่อไป

กำลังนำชาติกลับสู่ภาวะปกติ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือไปจากนี้สิ่งที่ทุกท่านจะต้องติดตามต่อไป ก็คือ การดำเนินการและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อรองรับต่อความท้าทายทางการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้กำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อให้แน่ใจได้ว่าประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพและยังคงเป็นประเทศที่น่าอยู่น่าอาศัย ด้วยการลงทุน ธุรกิจและนักท่องเที่ยว ที่กลับเข้ามาเป็นปกติเหมือนเดิม

"ทุกวันนี้ รัฐบาลสร้างเสริมความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ และความสมัครสมานสามัคคีในสังคม เห็นได้จากการที่ภายในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ได้ทำให้ประเทศไทยกลับมาสู่ภาวะปกติ และรัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่แนวหน้า โดยบริหารประเทศภายใต้หลักการธรรมาภิบาล ความโปร่งใส สิทธิพลเมือง หลักนิติธรรม ด้วยหลักคิดที่มองไปข้างหน้า ทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ"

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองว่า รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งมั่นต่อการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาที่ประเทศเรากำลังต้องการ และเพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองที่ชาญฉลาด และสามารถเป็นจริงได้ รัฐบาลได้มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำ ที่เป็นอิสระทางวิชาการซึ่งมุ่งเน้นการทำวิจัยและฝึกอบรมการพัฒนการทางประชาธิปไตย การเมืองและธรรมาภิบาล เป็นผู้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งในขณะที่ตนกำลังพูดกันอยู่นี้ พวกเขากำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อหาแนวทางปฏิรูปทางการเมือง

"ปัจจัยที่เราควรจะต้องให้น้ำหนัก คือ การหันหน้าเข้าหากันของคนในชาติ โดยใช้หลักนิติธรรม ความยุติธรรม กระบวนการประชาธิปไตย และด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม และศีลธรรมที่สูงขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของนักการเมืองโดยให้มีการส่วนร่วมของภาคประชาสังคม เพื่อจัดตั้งระบบการบริหารประเทศที่มีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพ" นายอภิสิทธิ์กล่าว

เชื่อศก.ไทยไม่เลวร้าย -ชี้พื้นฐานดี

นายกฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยยังคงเดินหน้า และมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลก ที่จะทำให้ตลาดสำหรับการส่งออก และการท่องเที่ยวลดน้อยลง รวมไปถึงสินค้าเกษตรมีราคาถูกลง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนน้อยลง แม้ว่าผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยจะไม่เลวร้ายเหมือนอย่างเช่นหลายๆ ประเทศ เนื่องจากไทยยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ และกระตุ้นความเชื่อมั่นจากนักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ

รัฐบาลตระหนักถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน การสร้างเครือข่ายสังคม นโยบายเร่งด่วน คือการสร้างงาน สร้างรายได้ เพื่อสิทธิประโยชน์และความั่นคงของประชาชน สิ่งที่รัฐบาลวิตกกังวลอย่างยิ่ง คือ สังคมที่ปราศจากความยุติธรรม รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปกป้องเสรีภาพของประชาชน และคงไว้ซึ่งหลักการด้านสิทธิมนุษยชน และหลักกฎหมาย

"พระปกเกล้า"ถกรับปฏิรูปการเมือง

วานนี้ คณะนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 1 ได้จัดการเสวนาทางการเมืองหัวข้อ"ปฏิรูปการเมืองไทย ทางรอดไทย ทางเลือกใด" โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.เจตน์ โทนวณิก คณบดี คณะนิติศาสตร์ ม.สยาม นายณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจ นาย วัลลภ ตังคณานุรักษ์ อดีตส.ว. นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชูเกียรติ ดิลกแพทย์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ นายนันทศักดิ์ พูลสุข อัยการฝ่ายคดีศาลสูง นา เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตส.ว.

 พล.อ. เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.หลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข สถาบันพระปกเกล้า กล่าวในการเปิดงานสัมมนาว่า เราได้เห็นว่าในอดีตการเมืองวนไปมาเป็นวัฏจักร ทำท่าเหมือนจะดีแต่ก็กลับไปลงเหว ฝ่ายทหารมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองจนการเมืองหยุดชะงัก ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการเมือง ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญไทยมีการยกเลิกตลอดเวลา บางประเทศที่มีการพัฒนาการเมือง เขาไม่ยกเลิก แต่ปรับปรุงตลอดเวลาอย่างนี้จะดีกว่าหรือไม่

 "ผมมองว่ารัฐบาลอยากปฏิรูปการเมือง แต่หากทำเองแม้จะสำเร็จ แต่ก็เหมือนไม่สำเร็จ เพราะไม่เกิดการยอมรับจากฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลจึงมองว่า จะทำให้การเมืองนิ่งเสียก่อน การพูดของนายกฯวานนี้เป็นการเปิดใจของผู้นำรัฐบาล หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่มีปัญหา และใส่ใจการปฏิรูปการเมือง เป็นการปล่อยวาง ไม่ทำเอง มอบอำนาจให้หน่วยงานที่เป็นกลาง และในที่สุดจึงมาที่สถาบันพระปกเกล้า เราจะประชุมวันที่ 9 มี.ค.ว่า จะรับหรือไม่ รัฐบาลต้องการว่า หากรับแล้วจะมีกระบวนการในการทำงานอย่างไร และมีกำหนดเวลาขนาดไหน โจทก์ไม่ใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับคนไทยจริงๆ " พล.อ.เอกชัย กล่าว และว่า ตนเคยทำเรื่องการเมืองที่ปรารถนาในอีก 10 ปี เราจะให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง เช่น พรรคการเมืองต้องมีหน้าที่ให้ความรู้ เปิดเวทีประชาธิปไตยในพื้นบ้านในชุมชน พรรคมีหน้าที่ค้นหาบุคคลากรรที่ดีที่ชอบธรรม ต้องเริ่มจากการเมืองท้องถิ่นเข้ามาก่อนถึงระดับชาติ และให้รากฐานทางการเมืองมาจากรากฐานประชาชนมที่แท้จริง เช่นกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่มีพรรคการเมืองของตัวเอง

 ดร.เจตน์ กล่าวว่าการปฏิรูปการเมืองเป็นกระบวนการ ไม่ใช่หลักการ เพราะไม่ใช่เรื่องตายตัว เราต้องคิดว่าหากกำหนดหลักการ แต่มีคนที่หลากหลาย แต่ละคนจะกำหนดหลักการของตัวเองและยึดหลักการนั้น หากเป็นเช่นนั้น จะไม่เกิดความร่วมมือกัน แต่หากเป็นกระบวนการทุกคนจะเข้ามาพร้อมๆกัน เพื่อปฏิรูปให้ดีขึ้น หากจะเข้าใจปฏิรูปการเมืองก็ต้องเข้าใจว่า การเมืองเป็นการเล่นเกมอันหนึ่งซึ่งเป็นเกมระดับเมือง หากเราจะปฏิรูปก็คือการทำให้ประเทศชาติดีขึ้น เราสร้างกระบวนการไม่ได้ ถ้าไม่มองปรากฏการณ์ที่เกิดขี้นในสังคม เช่น ปรากฏการณ์ที่มีเสื้อเหลือเสื้อแดง ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากไม่มีปรากฏการณ์เช่นนี้ก็จะทำให้ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ และทำให้เห็นว่าหากเราไม่สามารถประสานได้ก็จะเกิดการผลักดันกระบวนการในสังคมไปสู่การละเมิดกฎหมาย หากเราปล่อยให้ไปถึงจุดนั้น การปฏิรูปการเมืองก็จะเกิดไม่ได้

 ดร.เจตน์ กล่าวต่อว่า ตนไม่มั่นใจว่าสถาบันพระปกเกล้าจะตัดสินใจอย่างไรในการที่รัฐบาลขอให้เป็นเจ้าภาพการปฏิรูปการเมือง ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ เพราะให้สถาบันพระปกเกล้าองค์กรเดียวทำไม่ได้ ต่อให้เป็นกลางแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะการปฏิรูปต้องให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ต้องไม่มีองค์กรเฉพาะ ไม่มีสถาบันเดียว แต่หากเป็นเพียงฝ่ายเลขาฯ อาจจะพอทำได้
กำลังโหลดความคิดเห็น