การเลื่อนสั่งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ จักรภพ เพ็ญแข แกนนำ “คนเสื้อแดง” และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตกเป็นผู้ต้องหา ออกไปอีก 30 วัน โดยให้รอการสอบสวนเพิ่มเติมของตำรวจ ได้ก่อให้เกิดข้อสังเกตตามมามากมาย
แม้เป็นอำนาจตามขั้นตอนกฎหมายของพนักงานอัยการ แต่ในขณะเดียวกันหากพิจารณาตามรูปการแล้ว มันก็ย่อมมี “พิรุธ” ให้น่าติดตามแน่นอน
หากย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นแห่งคดีมีการแจ้งความมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 จนถึงบัดนี้จวนเจียนจะครบปีแล้ว และพิจารณาจากเอกสาร สำนวนแล้วก็ไม่น่าจะมีเหตุผลต้องเลื่อนสั่งคดีออกไปอีก
ที่ผ่านมาในคำแปลเอกสารคำพูดของจักรภพ ที่ไปปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อปลายปี 2550 ทั้งของผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับคำแปลจากหน่วยงานของกองการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศก็ล้วนออกมาตรงกันว่ามีเจตนาในการหมิ่นสถาบันฯค่อนข้างชัดเจน
แต่ที่น่าเคลือบแคลงก็คือในขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กลับเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ต้องหาได้โต้แย้งในทุกขั้นตอน ทั้งในเรื่องของการแปลเอกสารหรือพยานเพิ่มเติมทั้งในชั้นสอบสวน และในชั้นอัยการ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวก “กลุ่มเสื้อแดง” ทั้งสิ้น
ทำให้คดียืดเยื้อมาเกือบครบ 1 ปีเต็ม จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำให้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการยื้อคดี เพื่อช่วยเหลือและตอบแทนบุญคุณต่อ “ระบอบทักษิณ” หรือไม่
เพราะถ้าพิจารณาตามพฤติการณ์ทั่วไปที่เคยเกิดขึ้นก็คือ เมื่อมีการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมก็หมายความว่าในที่สุดจะสั่งไม่ฟ้องคดี ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าผลจะออกมาซ้ำรอยดังกล่าวหรือไม่
กรณีคดีของจักรภพ เพ็ญแข ถือว่าเป็นกรณีน่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะถ้ามีการสั่งไม่ฟ้อง หรือหลุดรอดไปได้ จะส่งผลกระทบตามมาหลายทาง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง ซึ่งนอกจากสถาบันเบื้องสูงแล้วยังมีผลต่อเนื่องไปถึงความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งในมุมของ จักรภพ หากพ้นบ่วงนี้ออกไปได้ เขาก็จะยิ่งฮึกเหิมหนักหน่วงกว่าเก่า เพราะจะมีการจาบจ้วง ดูหมิ่นในลักษณะเดียวกันต่อไป นั่นคือ พูดจาอ้อมไปอ้อมมา เพราะถือว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ ทั้งที่หากพิจารณาจับใจความทั้งหมดโดยรวมแล้วมันชัดยิ่งกว่าชัด อีกทั้งที่ผ่านมามีการพูดหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
เพราะแม้แต่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเคยระบุว่าเป็นทัศนคติที่อันตราย และประเภทนี้ไม่สมควรเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วยซ้ำไป
ที่เห็นได้ชัดก็คือเมื่อครั้งไปปาฐกถาที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน คือปี 2550 วันเวลาไล่เลี่ยกันกับการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย แต่บังเอิญว่าไม่มีใครไปแจ้งความดำเนินคดี
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาอย่างตั้งข้อสังเกตก็จะพบว่า การเคลื่อนไหวของ จักรภพและกลุ่มเสื้อแดงบางส่วนล้วนขับเคลื่อนสอดคล้องกันแทบทุกครั้ง แม้กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา จู่ๆก็มีแถลงการณ์ของกลุ่มนักวิชาการเพียง “หยิบมือ” จากสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ที่ จักรภพ เคยไปปาฐกถาจนถูกแจ้งความดำเนินคดี ก็ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
โดยอ้างว่า กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งผู้อื่นและปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็เห็นอกเห็นใจคนอย่าง “ใจ อึ้งภากรณ์” ที่ปัจจุบันกำลังหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปพำนักในประเทศอังกฤษ
ในแถลงการณ์ดังกล่าวยังกล่าวโจมตีทำนองว่าเป็นกฎหมายล้าหลัง สารพัด แต่ขณะเดียวกันหากมองย้อนดูแบ็กกราวด์ของแต่ละบุคคลของทั้งบรรดานักวิชาการกลุ่มนี้ รวมไปถึงบรรดาสื่อต่างประเทศหลายคนก็ล้วนแล้วแต่จงใจรายงานข่าวโจมตีไทยแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น หากพิจารณาทุกองค์ประกอบดังกล่าวมาทั้งหมดถือว่าเป็น “ขบวนการ” ที่มีเจตนาดูหมิ่น เพื่อทำลายสถาบันเบื้องสูง ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งทั้งตำรวจและอัยการจะต้องพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม และพฤติกรรมซ้ำซากใน อดีต ไม่ใช่ตรวจตราเฉพาะตามตัวอักษรเฉพาะหน้าเท่านั้น !!
แม้เป็นอำนาจตามขั้นตอนกฎหมายของพนักงานอัยการ แต่ในขณะเดียวกันหากพิจารณาตามรูปการแล้ว มันก็ย่อมมี “พิรุธ” ให้น่าติดตามแน่นอน
หากย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นแห่งคดีมีการแจ้งความมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 จนถึงบัดนี้จวนเจียนจะครบปีแล้ว และพิจารณาจากเอกสาร สำนวนแล้วก็ไม่น่าจะมีเหตุผลต้องเลื่อนสั่งคดีออกไปอีก
ที่ผ่านมาในคำแปลเอกสารคำพูดของจักรภพ ที่ไปปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อปลายปี 2550 ทั้งของผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับคำแปลจากหน่วยงานของกองการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศก็ล้วนออกมาตรงกันว่ามีเจตนาในการหมิ่นสถาบันฯค่อนข้างชัดเจน
แต่ที่น่าเคลือบแคลงก็คือในขั้นตอนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กลับเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ต้องหาได้โต้แย้งในทุกขั้นตอน ทั้งในเรื่องของการแปลเอกสารหรือพยานเพิ่มเติมทั้งในชั้นสอบสวน และในชั้นอัยการ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวก “กลุ่มเสื้อแดง” ทั้งสิ้น
ทำให้คดียืดเยื้อมาเกือบครบ 1 ปีเต็ม จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากทำให้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการยื้อคดี เพื่อช่วยเหลือและตอบแทนบุญคุณต่อ “ระบอบทักษิณ” หรือไม่
เพราะถ้าพิจารณาตามพฤติการณ์ทั่วไปที่เคยเกิดขึ้นก็คือ เมื่อมีการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมก็หมายความว่าในที่สุดจะสั่งไม่ฟ้องคดี ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าผลจะออกมาซ้ำรอยดังกล่าวหรือไม่
กรณีคดีของจักรภพ เพ็ญแข ถือว่าเป็นกรณีน่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะถ้ามีการสั่งไม่ฟ้อง หรือหลุดรอดไปได้ จะส่งผลกระทบตามมาหลายทาง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง ซึ่งนอกจากสถาบันเบื้องสูงแล้วยังมีผลต่อเนื่องไปถึงความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งในมุมของ จักรภพ หากพ้นบ่วงนี้ออกไปได้ เขาก็จะยิ่งฮึกเหิมหนักหน่วงกว่าเก่า เพราะจะมีการจาบจ้วง ดูหมิ่นในลักษณะเดียวกันต่อไป นั่นคือ พูดจาอ้อมไปอ้อมมา เพราะถือว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ ทั้งที่หากพิจารณาจับใจความทั้งหมดโดยรวมแล้วมันชัดยิ่งกว่าชัด อีกทั้งที่ผ่านมามีการพูดหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
เพราะแม้แต่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเคยระบุว่าเป็นทัศนคติที่อันตราย และประเภทนี้ไม่สมควรเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลด้วยซ้ำไป
ที่เห็นได้ชัดก็คือเมื่อครั้งไปปาฐกถาที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน คือปี 2550 วันเวลาไล่เลี่ยกันกับการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทย แต่บังเอิญว่าไม่มีใครไปแจ้งความดำเนินคดี
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาอย่างตั้งข้อสังเกตก็จะพบว่า การเคลื่อนไหวของ จักรภพและกลุ่มเสื้อแดงบางส่วนล้วนขับเคลื่อนสอดคล้องกันแทบทุกครั้ง แม้กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา จู่ๆก็มีแถลงการณ์ของกลุ่มนักวิชาการเพียง “หยิบมือ” จากสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ที่ จักรภพ เคยไปปาฐกถาจนถูกแจ้งความดำเนินคดี ก็ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
โดยอ้างว่า กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งผู้อื่นและปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็เห็นอกเห็นใจคนอย่าง “ใจ อึ้งภากรณ์” ที่ปัจจุบันกำลังหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปพำนักในประเทศอังกฤษ
ในแถลงการณ์ดังกล่าวยังกล่าวโจมตีทำนองว่าเป็นกฎหมายล้าหลัง สารพัด แต่ขณะเดียวกันหากมองย้อนดูแบ็กกราวด์ของแต่ละบุคคลของทั้งบรรดานักวิชาการกลุ่มนี้ รวมไปถึงบรรดาสื่อต่างประเทศหลายคนก็ล้วนแล้วแต่จงใจรายงานข่าวโจมตีไทยแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น หากพิจารณาทุกองค์ประกอบดังกล่าวมาทั้งหมดถือว่าเป็น “ขบวนการ” ที่มีเจตนาดูหมิ่น เพื่อทำลายสถาบันเบื้องสูง ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งทั้งตำรวจและอัยการจะต้องพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม และพฤติกรรมซ้ำซากใน อดีต ไม่ใช่ตรวจตราเฉพาะตามตัวอักษรเฉพาะหน้าเท่านั้น !!