xs
xsm
sm
md
lg

เสรีภาพกับความรู้ดร.ป๋วยกับ Giles และสุนัขเสื้อแดง

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ดร.ป๋วย เป็นเจ๊ก Giles Ungphakorn เป็นลูกครึ่งจีนกับอังกฤษ

นี่คือคำบอกเล่าของเจ้าตัวทั้งคู่ เจ๊กไม่มีที่ไหนในโลก นอกจากในประเทศไทย ดร.ป๋วยบอกว่าคำนี้มิใช่ดูถูกดูหมิ่น เป็นคำเรียกขาน คนไทยที่มีเชื้อสายจีน

เรื่องนี้ยังไม่ทันลงมือเขียน เพียงคิดเท่านั้น ผมก็เจ็บปวดเสียแล้ว

อาจารย์ป๋วยเป็นกัลยาณมิตรที่ผมเคารพที่สุด ท่านเมตตาผมถึงขนาดเขียนรูปและขึ้นต้นจดหมายถึงผมว่า “เพื่อนรัก” คุณสาคร เลขาฯ ของอาจารย์ป๋วย คงจะบอกได้ว่า เราทั้งสองเขียนจดหมายถึงกันมากกว่าหลายสิบฉบับ

เราร่วมกันต่อสู้เผด็จการ สิ่งที่เราอยากเห็นและอุทิศชีวิตต่อสู้ให้ คือประชาธิป ไตยที่แท้จริง ที่ส่งเสริมเสรีภาพ สาธารณประโยชน์และความเป็นธรรมในสังคม เราทำยังไม่สำเร็จ

หลัง 14 ตุลาคม พล.อ.กฤษณ์ สีวรา ยื่นคำขาดกับพวกผม 4 คน มีอาจารย์ป๋วย พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร พล.ท.วิทูรย์ ยะสวัสดิ์ และผมว่า หากอาจารย์ป๋วยไม่ยอมเป็นนายกฯ แทนสัญญา 2 ผมจะต้องเกณฑ์คนรุ่นใหม่ออกมาเล่นการเมือง มิฉะนั้นจะปฏิวัติเพื่อป้องกันชีวิตไม่ให้อำนาจเก่ากลับมาแก้แค้น เพราะประชาธิปไตยต้องล้มเหลวอีกแน่ๆ พยานที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ พล.ท.วิทูรย์ ยะสวัสด์

อาจารย์ป๋วยจึงขอร้องให้ผมออกไปร่วมตั้งพรรคการเมือง คำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (โปรดอย่าเติมคำว่าทรง) ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกใน “ ปฏิญาณ” ของพรรคพลังใหม่ คุณบุญเยี่ยม มีสุข สามีคุณหญิงอัมพร เพื่อนรักอาจารย์ป๋วยเป็นผู้เสนอ

อาจารย์ป๋วยบริจาคเงินให้กับพรรคเป็นคนแรก โดยยกเงินเดือนสมาชิกสภานิติบัญญัติเดือนละ 3,500 บาทให้ทุกเดือน
ผมจบบทบาท และอาจารย์ป๋วย ลี้ภัยไปพิการและเสียชีวิตที่อังกฤษ เนื่องจาก 6 ตุลามหาโหด

33 ปีให้หลัง Giles Ungphakorn บุตรชายคนสุดท้องของอาจารย์ป๋วยต้องหลบหนีไปประเทศอังกฤษอีก

ถามว่าที่อาจารย์ป๋วยและ Giles หนีด้วยเหตุผล และอุดมการณ์ที่เหมือนกันหรือไม่

ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะนสพ.อังกฤษลงข่าว Giles ว่า British professor flee แปลว่าศาสตราจารย์ชาวอังกฤษหลบคดี Lese Majeste หนีกลับบ้าน ฟังดูไม่ต่างจากกรณี Harry Nicolaides ชาวออสเตรเลียเท่าไร ต่างแต่ว่าเขากล้า ไม่ยอมหนี ยอมติดคุก จนได้รับพระราชทานอภัยโทษภายในไม่กี่วัน

อุดมการณ์ผมเชื่อว่าต่างกัน 100% อาจารย์ป๋วยกับผมนอนห้องเดียวคุยกันอยู่ 3 คืนที่บ้านรัฐมนตรีหญิง อนิตา กราดิน เพื่อนรักของผม เรากอดล่ำลากันที่กรุงสตอกโฮม และสัญญากันว่าเราจะยอมสู้ด้วยชีวิตไม่ให้เมืองไทยต้องตกเป็นคอมมิวนิสต์

อาจารย์ป๋วยไปอเมริกา เพื่อจะบอกอเมริกันว่าอย่าให้อาวุธทหารไปเข่นฆ่านักศึกษา ผมไปฮานอยเพื่อบอก ฟาม วัน ดงว่า อย่าให้อาวุธนักศึกษาไปเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน

ฟาม วัน ดง เชื่อผมว่าต้องไม่ทำให้ไทยเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ชั้นเลว เวียดนามจะเดือดร้อน

ผมไม่แน่ใจว่า Giles สู้เพื่อใคร ก็เมื่อเขาปฏิเสธว่าตนมิใช่คนไทย ทำไม ไม่ไปต่อสู้เปลี่ยนอังกฤษและจีนของบรรพบุรุษจะไม่ดีกว่าหรือ เสรีภาพในจีนนับว่ามีน้อยนักเมื่อเทียบกับไทย ส่วนอังกฤษถึงแม้จะมีรัฐสวัสดิการดีกว่าไทย แต่ความเป็นธรรมในสังคมก็ยังไม่ทั่วถึง รัฐบาลพรรคแรงงานแท้ๆ ยังไปเป็นสุนัขรับใช้อเมริกันบุกเข้าตีอิรักได้

ทำไม Giles ต้องยืมมืออาจารย์ฝรั่ง ยืมมือทักษิณ ยืมมือพันธมิตรเสื้อแดงของสมัคร

เมื่อไม่นานมานี้ ผมยังคิดว่า Giles เป็นลูกอาจารย์ป๋วย พอจอน อึ๊งภากรณ์ ส่งจดหมายเวียนมาว่าตนและน้องถูกใส่ความเรื่องกล่าวร้ายในหลวง ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะเขียนหนังสือเวียนปกป้องเขาภายใน 1 ชั่วโมง

ผมยังไปเถียงแทนว่า Giles ต้องทำด้วยอุดมการณ์และความบริสุทธิ์ใจ สมกับเป็นลูกอาจารย์ป๋วยแน่ๆ หลานของอาจารย์ป๋วยคือ คุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ไม่เชื่อ ประกาศตัดญาติและประณาม Giles อย่างขมขื่น

“นายแม่” ของคุณหญิง คือคุณยายน้อม ล่ำซำ เกิดในตระกูลอึ๊งภากรณ์ เสียชีวิตตเมื่ออายุ 106 ปี ก่อนตายคุณยายนอนจับมือและดูหน้าอาจารย์ป๋วยที่นั่งอยู่ต่อหน้าเป็นชั่วโมงๆ ทั้งคู่พูดไม่ได้ นอกจากสื่อกันทางสายตาและหัวใจ คุณยายเป็นลูกผู้พี่ที่สนิทสนมและดูแลอาจารย์ป๋วยซึ่งกำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเยาว์

ลูกชายอาจารย์ป๋วย 3 คน ผมมีโอกาสสนิทกับปีเตอร์หรือไมตรีคนกลางคนเดียว อาจารย์ป๋วยพูดและเขียนถึงปีเตอร์บ่อยๆ เห็นจะเป็นเพราะว่าปีเตอร์กับเพื่อนที่เป็นลูกของคุณอภัย จันทวิมล อดีตปลัดกระทรวงศึกษาฯ พากันนักประท้วงแอกติวิสต์มาตั้งแต่มัธยมสาธิตตอนปลาย

อาจารย์ป๋วยยังเล่าให้ผมฟังว่าถึงจะเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ ก็ไม่มีสมบัติให้ลูก จึงไปผ่อนที่ดินจัดสรรของธนาคารศรีนคร (แถวถนนนวมินทร์เดี๋ยวนี้) ไว้ 300 ตารางวา ตั้งใจจะแบ่งให้จอน ไมตรี และ Giles เท่าๆ กัน

ผมพบ Giles ครั้งเดียว 5-6 ปีมาแล้ว เมื่อเราไปอภิปรายเรื่องสังคมนิยมด้วยกัน อาจารย์ป๋วยเคยเอารูป Giles สมัยเป็นนักเรียนปริญญาตรีวิชาปักษีวิทยามาให้ผมดู และอีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนมีหลาน ทราบว่าต่อมา Giles ไปจบปริญญาโทที่ SOAS หรือวิทยาลัยแอฟริกันและเอเชียศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอน ฟัง Giles พูดครั้งนั้น ผมยังเก็บเอามาคิดว่า ถ้ารักจะเป็นครู Giles น่าจะต้องเรียนเรื่องมาร์กซ์และการเมืองไทยเพิ่มอีกมาก

สำหรับจอน ผมได้พบ 4-5 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่โรงเรียนวชิราวุธ ก่อนการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จอนจะครบหรือครบเทอมเป็นสมาชิกวุฒิสภา วันนั้น ดร.ชัยอนันต์ช่วยคำนูณ สิทธิสมาน ร่างคำถวายฎีกากราบบังคมทูลถึงการกระทำผิดของทักษิณ จอนติงและแนะนำว่าอย่ารบกวนในหลวงเลย สู้ร่างเป็นจดหมายของนักวิชาการที่เป็นห่วงบ้านเมืองจะดีกว่า พวกเราก็เห็นด้วย และทำตามที่จอนแนะนำ พอส่งร่างนั้นไปที่ธรรมศาสตร์ในตอนบ่าย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ก็พาเพื่อนอาจารย์ลงนามมาล้นหลาม เป็นเหตุให้กระบวนการต่อต้านทักษิณลามไปในหมู่อาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนไฟไหม้ป่า

ผมเศร้าใจที่อาจารย์ป๋วยต้องหลบไปลี้ภัยจนตายในต่างประเทศ ผมรู้ว่าอาจารย์เป็นเหยื่อของเผด็จการทหาร ตำรวจ และอันธพาลการเมืองฟาสซิสต์ อาจารย์ไปเพื่อจะรักษาเสรีภาพ และปูหนทางต่อเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้ได้

ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ผมกับภรรยาพักอยู่กับอาจารย์ป๋วย ตอนที่อาจารย์เขียน “จดหมายจากนายเข้ม” ที่โด่งดังเรียกร้องประชาธิปไตย ก่อนหน้านั้นอาจารย์ก็คิดและเขียนอยู่เสมอ พร้อมกับขอร้องให้กำลังใจพวกเราให้รักษา “เสรีภาพในการพูดเขียนและเสรีภาพทางวิชาการ” ไว้ให้ได้ ตอนนั้นอาจารย์สอนอยู่ที่เคมบริดจ์ แต่ “เสี่ยง” เข้าเมืองไทยบ่อยๆ เพื่อหาโอกาสพูด และบอกผมว่า “หากถูกจับก็จะยอม แต่หวังว่าพรรคพวกคงจะหนุนกันบ้าง”

ผมเศร้าใจที่ Giles อยู่ประเทศไทยไม่ได้ ไม่มีใครรังควาญ Giles เลย มิหนำซ้ำ Giles ยังไปเข้ากับกลุ่มเสื้อแดงที่เชิดชูทักษิณที่สมคบกับตำรวจ ทหาร และอันธพาลการเมืองฟาสซิสต์กุมอำนาจรัฐแฝงอยู่ แม้กระทั่งภายหลังที่รัฐบาลหุ่นสมชายล้มไป

ผมได้อ่านข้อเขียนของ Giles ทั้ง “แถลงการณ์แดงสยาม” และ “Socialist Unity” แล้ว Giles พลอยเห็นด้วยกับสุนัขรับใช้เสื้อแดงกล่าวหาพลพรรคเสื้อเหลืองอหิงสาเป็นฟาสซิสต์ เป็นพวกรัฐประหารที่ทำการยึดอำนาจเพื่อคนรวย เสรีภาพในประเทศไทยถูกจำกัดเพราะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ ขณะนี้การรณรงค์ของ Giles กำลังมีน้ำหนัก โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการต่างชาติที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เรื่องเมืองไทย ไม่รู้ว่ากำพืดและพฤติกรรมของทุนสามานย์ฟาสซิสต์ซึ่งชูทักษิณเป็นประมุข

คนที่เป็นนักวิชาการแท้ๆ หรือเป็นนักอุดมการณ์แท้ๆ เขาจะไม่เอาความจริงครึ่งความเท็จครึ่งมาขยายความเข้าข้างตนเอง อย่างเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือ Lese Majeste นี้ ผมเองก็ไม่ถึงกับเห็นด้วย 100% แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงบ่นว่านำมาใช้ให้พระองค์เดือดร้อน ในขณะที่พระองค์ท่านยินดีให้วิจารณ์กลับไม่มีใครกล้าทำ

ข้อเท็จจริงก็คือกฎหมายยังมีอยู่ ขบวนการบังคับใช้กะปริดกะปรอยจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง การกระทำต่างๆ มีทั้งที่คลุมเครือและโจ่งแจ้ง บ้างก็ไร้เดียงสาอยากดังผีเจาะปากมาให้พูด บ้างก็ใช้ใส่ร้ายทำลายคู่ต่อสู้ บ้างก็อยู่ในขบวนการโค่นกษัตริย์จริงๆ บ้างก็ต้องการปฏิรูปสถาบันให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลงของโลก บ้างก็เป็นส่วนหนึ่งในขบวนการต่อสู้ระหว่างฝ่ายนิยมกษัตริย์กับฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ ฯลฯ ทั้งหมดนี้สามารถใช้เสรีภาพทางวิชาการศึกษาวิเคราะห์และอภิปรายกันได้ทุกประเด็น แม้แต่บนเวทีพันธมิตรฯ ผมก็เคยนำไปพูดมาแล้ว

แต่กองเชียร์ขบวนการล้มล้างกฎหมาย Lese Majeste ของไทยโกหก เขาบิดเบือนข้อเท็จจริงเพ่งโทษกษัตริย์ไทยและเมืองไทยแห่งเดียว ทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ปลายเหตุ ทรงทำได้อย่างเดียวคือใช้พระมหากรุณาพระราชทานอภัยโทษไม่ว่าใคร เขาอ้างว่าประเทศประชาธิปไตยอื่นถึงมีก็ไม่มีใครใช้กฎหมายดังกล่าว ทั้งๆ ที่เขารู้หรือสมควรรู้ว่า ที่เนเธอร์แลนด์ในระหว่างปี 2550-52 นี้มีผู้ถูกจับและติดคุกคดี Lese Majeste ด้วยการกระทำที่บางเบากว่าดา ตอร์ปิโด จักรภพ เพ็ญแข และสุนัขรับใช้เสื้อแดงมาก

ไม่มีอะไรที่คนโกหกทำไม่ได้ คนโกหกกระทำชั่วได้ทุกอย่าง โปรดระวัง อย่าประมาท!
กำลังโหลดความคิดเห็น