xs
xsm
sm
md
lg

หยุดรีดนาทาเร้นผู้มีเงินฝากได้แล้ว!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในขณะที่ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2551 ซึ่งเป็นผลงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ได้ออกผลล่าสุดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบถึง 4.5 ปรากฏว่าผลประกอบการของภาคธนาคารและสถาบันการเงินยังคงมีกำไรหลายแสนล้านบาท

ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เสียนี่กระไรที่กิจการในภาคธนาคาร และสถาบันการเงินมีผลกำไรในท่ามกลางวิกฤตและความเดือดร้อนของประชาชาติไทย

เป็นผลกำไรท่ามกลางเสียงติฉินนินทาว่ามีการสมรู้กันเอาเปรียบประชาชนชาวไทยอย่างไม่ยั้งมือ และทำกันเช่นนี้ตลอดมา โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้คนในแผ่นดิน

ทำไมจึงมีเสียงติฉินนินทาเช่นนั้นเล่า? ก็เพราะว่า

ประชาชนผู้ต้องพึ่งพาอาศัยเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินต้องเสียดอกเบี้ยที่เรียกเก็บในอัตราที่สูง ซึ่งในปัจจุบันนี้แม้อัตราที่ประกาศทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7% ต่อปี แต่ในความจริงยังมีรายการบวกๆ อยู่อีกและในที่สุดก็ต้องเสียดอกเบี้ยถึง 9-10% หรือกว่านั้น

ประชาชนผู้มีเงินออมหรือมีเงินฝากกับธนาคารและสถาบันการเงินกลับได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ และในขณะนี้อัตรายิ่งต่ำลง ๆจนใกล้ 0% ต่อปี หรือเรียกว่าฝากเงินฟรีๆ จนกระทั่งมีผู้หยันว่าในอนาคตใครฝากเงินก็ต้องเสียค่าฝากเหมือนกับเสียค่าฝากรถยนต์เป็นแน่

ในประเทศของเรานั้น ด้วยการรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคาร รวมทั้งสถาบันการเงินได้ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยการให้กู้ยืมที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเรียกกับผู้กู้ กับอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ฝากเงินจะได้รับจากการฝากเงินมีส่วนต่างถึง 5-6%

และในทางปฏิบัติ ส่วนต่างมากกว่านี้เพราะมีตัวบวก ๆ ดังนั้นในความเป็นจริงประชาชนผู้ใช้บริการกู้ยืมเงินและต้องเสียอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราที่ประกาศจึงทำให้ส่วนต่างที่เป็นจริงเป็น 7-9% นับว่าเป็นอัตราส่วนต่างที่สูงที่สุดในโลก

แม้อัตราส่วนต่างปกติที่ไม่มีตัวบวกๆ ก็สูงที่สุดในโลกอยู่แล้ว เพราะมาตรฐานของทั่วโลกนั้นยินยอมให้มีส่วนต่างดังกล่าวได้เพียงแค่ 2-3% เท่านั้น

เป็นหน้าที่อันสำคัญของผู้บริหารธนาคารและสถาบันการเงินที่จะต้องทำกำไรภายใต้ส่วนต่างดังกล่าว นั่นคือในการบริหารจัดการก็ต้องทำให้มีต้นทุนไม่สูงเกินมาตรฐาน และในการอำนวยสินเชื่อก็ต้องมีมาตรฐานไม่ก่อให้เกิดหนี้สูญเกินอัตรา

แต่ประเทศไทยของเรา ด้วยการสมรู้เช่นนี้ได้ส่งผลให้การบริหารจัดการฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และทำให้การปล่อยสินเชื่อเต็มไปด้วยความหละหลวมและเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง

เพราะสามารถสร้างค่าใช้จ่ายจำนวนมากขึ้นในกิจการได้

สามารถให้สินเชื่อแบบห่วยๆ หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องโดยรู้กันว่าไม่ต้องชำระหนี้ และสามารถตัดเป็นหนี้สูญได้

เพราะส่วนต่างนั้นมันมากมายมหาศาลเหลือที่จะคณา จึงสามารถทำอะไรชุ่ยๆ และแสวงหาประโยชน์จากส่วนต่างดังกล่าวนั้นได้อย่างเต็มที่

ประเทศไทยของเรามีเงินฝากทั้งสิ้น 9,500,000 ล้านบาท ถ้ามีส่วนต่างของดอกเบี้ย 5% ต่อปี ก็จะเป็นมูลค่าถึง 475,000 ล้านบาท

หมายความว่าในแต่ละปี ธนาคารและสถาบันการเงินสามารถมีค่าใช้จ่ายและปล่อยหนี้เสียหนี้สูญได้เกือบ 475,000 ล้านบาท นึกดูกันเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นจำนวนมหาศาลเพียงไหน

แล้วตัวเลข 475,000 ล้านบาทนี้มาจากไหนกันเล่า? ก็มีที่มาจาก 2 ส่วน

ส่วนแรก คือการให้ดอกเบี้ยประชาชนผู้ฝากเงินในอัตราต่ำ และต่ำกว่าที่จะพึงได้มากนัก นั่นคือผลประโยชน์จากการฝากเงินของประชาชนถูกกักถูกยักไปให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน

ส่วนที่สอง คือการเสียดอกเบี้ยของผู้กู้เงินในอัตราสูงๆ และสูงกว่าที่ควรจะเป็นมากนัก นั่นคือผลประโยชน์ที่ผู้กู้เงินไม่พึงเสีย แต่ถูกเรียกและถูกยักไปให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน

รวมความว่าในแต่ละปีมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลคิดเป็นมูลค่าถึง 475,000 ล้านบาท ที่ประชาชนผู้ฝากเงินและผู้กู้เงินจากธนาคารและสถาบันการเงินต้องเสียไปให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน

นี่คือความไม่สมดุลและความไม่เป็นธรรมที่ดำรงอยู่ในประเทศของเรา เป็นอุปสรรคขวากหนามอย่างสำคัญต่อการพัฒนาและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

เพราะในด้านประชาชนผู้กู้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยแพง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้สมรรถนะในการแข่งขันต่ำลง ทำให้สินค้าหรือบริการแพงเกินจริง และประชาชนต้องบริโภคหรือใช้บริการในอัตราที่สูงกว่าที่พึงเป็น

ในด้านประชาชนผู้ฝากเงินก็ขาดประโยชน์ที่พึงได้ ทำให้กำลังซื้อหรือผลประโยชน์ที่พึงได้ลดลง

เรียกได้ว่าระบบอัตราดอกเบี้ยและแนวความคิดเรื่องส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เป็นอยู่ในประเทศไทยของเรานั้นเป็นต้นตอปัญหาและเป็นการกดขี่ขูดรีดที่ดำรงอยู่ และทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียประโยชน์แก่ประชาชนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้กู้เงินหรือผู้ฝากเงินก็ตาม

ในวันนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ลดอัตราดอกเบี้ยทั่วไปลงไปอีกครึ่งเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว เป็นการลดไม่รู้ครั้งที่เท่าใด และไม่รู้ว่าจะต้องลดต่อไปอีกสักกี่ครั้ง แต่มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะไปที่ระดับ 0 หรือฝากฟรีๆ นั่นเอง

แล้วถามว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและจะต่ำลงไปไม่หยุดยั้งเช่นนี้ ประชาชนได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์?

ก็ตอบได้ว่าเสียประโยชน์เหมือนเดิม คือในปริมาณเงินฝากประมาณ 9,500,000 ล้านบาทของทั่วทั้งประเทศนั้นก็ยังคงมีส่วนต่างที่ถูกยักกักไปเป็นจำนวนเงินถึง 475,000 ล้านบาทอยู่นั่นเอง

เพราะผู้ฝากเงินก็จะได้รับดอกเบี้ยน้อยลงอีก ในขณะที่ผู้กู้เงินก็ยังต้องกู้ในอัตราที่สูงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ลดลงมาบ้างเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงควรจะเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่านี้มาก

เพราะเหตุนี้นับวันจึงมีบรรดาผู้รู้และผู้รู้เท่าทันพากันตำหนิติเตียนวิธีคิด และการกระทำแบบสมรู้กันฉ้อฉลเพื่อผลประโยชน์ของธนาคารและสถาบันการเงินออกมาอย่างต่อเนื่องและกว้างขวางออกไปทุกที

ซึ่งหมายความว่าแม้จะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจประการใด คนไทยทั้งประเทศจะลำบากยากเข็ญสักปานใด ในระบบธนาคารและสถาบันการเงินก็จะยังคงมีรายได้จากส่วนต่างปีละ 475,000 ล้านบาทเหมือนเดิม

และยามที่เกิดวิกฤตขึ้น ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินก็จะไม่ยอมปล่อยเงินกู้ ใครมีวงเงินเหลือก็จะถูกตัด ใครมีหนี้ถึงกำหนดก็จะไม่มีการต่ออายุ และมีการเรียกชำระหนี้คืน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับบรรดากิจการต่าง ๆ ต่อไปอีก

เมื่อการให้สินเชื่อลดลง รัฐบาลก็เอื้อประโยชน์ให้อีกโดยการออกพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยสูงขายให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน เป็นการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายค่าดอกเบี้ยสูงๆ เพื่ออุ้มชูกิจการธนาคารและสถาบันการเงินนั้น

แต่สำหรับผู้ฝากเงิน ไม่เคยมีใครอุ้ม ไม่เคยมีใครเหลียวแล มีแต่จะกดขี่ขูดรีดเอาตามอำเภอใจ

ไฉนไม่ระลึกบ้างว่าในบรรดาเงินฝากทั้งหลายนั้นก็มีประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่กินจากการเก็บหอมรอมริบ จากการสั่งสมเงินฝากไว้เป็นค่าใช้จ่ายในวัยปลายของชีวิต

เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเรื่อยๆ ย่อมเกิดผลกระทบต่อรายได้ของบรรดาประชาชนผู้มีเงินฝากทั่วประเทศ ข้าราชการบำนาญจำนวนมากที่เก็บหอมรอมริบไว้หวังได้ดอกเบี้ยเป็นค่าใช้จ่ายในบั้นปลายของชีวิต กลับได้รับดอกเบี้ยน้อยลงกว่าที่พึงเป็นจนไม่พอแก่ค่าใช้จ่าย

เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปที่มีเงินออม หรือมีเงินฝาก ต่างมีรายได้ลดลงทั้งสิ้น

ดังนั้นสถานการณ์ยามนี้จึงเป็นทีที่รัฐบาลจะต้องโอบอุ้มช่วยเหลือบรรดาประชาชนผู้มีเงินออมทั่วประเทศแล้ว และความช่วยเหลือนั้นก็ไม่ต้องควักเงินงบประมาณไปค้ำจุนแต่ประการใด เพียงแต่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ฝากเงินเท่านั้น

สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้อยู่ที่ระดับที่เป็นธรรม อย่างน้อยก็ควรเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่กิจการขนาดใหญ่จ่ายให้กับผู้ลงทุนในหุ้นกู้คือประมาณ 5-6.5% ต่อปี

หรือไม่รัฐบาลก็ให้รัฐวิสาหกิจออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนเพื่อการลงทุนแทนการใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ โดยให้ดอกเบี้ยอัตรา 5-6% ต่อปี ก็จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกและมีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ต้องก้มหัวทนให้ถูกขูดรีดดังที่เป็นอยู่

เพียงเท่านี้ก็เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนผู้มีเงินฝากปีละ 475,000 ล้านบาทแล้วไม่ใช่หรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น