xs
xsm
sm
md
lg

ThaiBMAชู"ทองคำ-หุ้นกู้"มาแรงช่องทางลงทุนหนีวิกฤตเศรษฐกิจ-ดอกเบี้ยต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ThaiBMA ชี้จีดีพีติดลบในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ห่วงผลกระทบอาจจะลึกกว่าที่คิด และต้องใช้เวลายาวนานกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น มองทองคำเป็นสินทรัพย์มาแรงในช่วงนี้ ระบุราคามีโอกาสปรับขึ้นไปอีก หลังจากคนไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงิน รวมทั้งซัปพลายมีไม่พอกับดีมานด์ ขณะที่หุ้นกู้เอกชนจะมาเป็นอันดับ 2 จากอานิสงส์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง
 
 นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาส 4 ปี 2551 ขยายตัวติดลบ 4.3% จนทำให้มีความวิตกกังวลเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจนั้น จริงๆ แล้ว ทุกฝ่ายควรยอมรับว่าการที่จีดีพีติดลบในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจเช่นในขณะนี้ เป็นสิ่งที่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับทุกประเทศที่ระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างมากซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ดังนั้น ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจจนเกินไปนัก
   โดยวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้ไม่เหมือนวิกฤตปี 40 ซึ่งครั้งนั้นเรามีปัญหา แต่ประเทศคู่ค้าทางสหรัฐ ยุโรป และจีนไม่มีปัญหาเราจึงยังส่งออกได้ แต่ครั้งนี้ทางนั้นมีปัญหากันไปทั่วโลก เป็นต้นเหตุของวิกฤต ดังนั้น แม้ว่าเรายังมีความสามารถในการผลิตสินค้าได้ แต่เราส่งออกไม่ได้ รวมทั้งท่องเที่ยวก็กระทบ เพราะต่างชาติวิกฤตจึงไม่มีเงินที่จะมาเที่ยว ฉะนั้น ถ้าจีดีพีเราในปีนี้จะติดลบก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
   ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้จะยาวนานเพียงใดนั้น ในอดีตที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปี 1929 ถึงปี 1933 ต้องใช้เวลานานถึงเกือบ 4 ปีกว่าจะฟื้นตัว ซึ่งในครั้งนี้อย่างมากที่สุดก็ไม่น่าจะมากกว่าครั้งที่แล้ว คือประมาณ 3 ปีกว่าถึง 4 ปี ซึ่งในกรณีของประเทศไทย ที่ยังมีความกังวลกันอยู่ก็คือว่า สถานการณ์ลงไปถึงภาวะต่ำสุดหรือยัง ถ้าหากปัญหายังไม่จบ ยังมีการตกงาน ยังมีการไม่ใช้จ่าย ก็จะเป็นวงจรขาลงทำให้บริษัทอื่นๆ ขาดกำลังซื้อ เศรษฐกิจก็สามารถที่จะลดลงไปได้อีก ซึ่งหากยังมีผลกระทบดังกล่าวที่กังวลกันว่าการจะฟื้นตัวต้องใช้เวลานานถึง 3-4 ปี ก็มีความเป็นไปได้
   นายณัฐพลกล่าวว่า สำหรับทิศทางการลงทุนในสถานการณ์เช่นนี้ จะเห็นว่านักลงทุนหรือผู้มีเงินออม ต่างพากันหันไปลงทุนในทองคำเป็นอันดับแรก เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่คนเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ก็จะหันไปถือทองคำมากขึ้น ทำให้ตลาดทองคำยิ่งมีความต้องการมากขึ้น ราคาทองคำก็จะยิ่งขยับสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการผลิตทองคำของโลกค่อนข้างคงที่
 “จากข้อมูลที่มีนั้น ทองคำในปัจจุบันมีกำลังผลิตได้เพียงแค่ปีละ 2,500 ตันเท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจเครื่องประดับ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจทันตกรรม มีความต้องการใช้ทองคำรวมกันถึงปีละ 3,000 ตันยังไม่นับการถือไว้เพื่อเก็งกำไรอีกกว่า 500 ตัน ซึ่งแปลว่าซัปพลายมีไม่พอกับดีมานด์อยู่แล้ว นักลงทุน กองทุน หรือแม้แต่เฮดจ์ฟันด์จึงมองแนวโน้มราคาทองว่าจะต้องสูงขึ้น ยิ่งตอนนี้ตลาดหุ้น และพันธบัตร ได้รับผลกระทบจากวิกฤต จึงทำให้ทิศทางการลงทุนมุ่งมาที่ทองคำ จึงทำให้ราคาทองคำยิ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดดังที่กิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นั่นเอง” นายณัฐพล กล่าว
  อย่างไรก็ตาม แม้ทองคำจะได้รับความสนใจเป็นอันดับแรก แต่เนื่องจากทิศทางของอัตราดอกเบี้ยยังคงลดลง ซึ่งในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นลงมาอีกตั้งแต่ 0.5-1.0% ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลลดลงตามไปด้วย ดังนั้น นอกจากการลงทุนในทองคำที่เป็นทางเลือกในอันดับต้นๆ แล้ว หุ้นกู้เอกชนก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่จะได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้เพราะ Spread ที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้ช่วงนี้ค่อนข้างน่าสนใจ
    ทั้งนี้ จากข้อมูลของทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่าเฉพาะจากเดือนมกราคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการอนุมัติการออกหุ้นกู้ตามคำขอของบริษัทเอกชนไปแล้วเป็นมูลค่ารวมกว่า 90,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีหุ้นกู้ที่มายื่นขอเตรียมขึ้นทะเบียนกับทาง ThaiBMA แล้วเป็นจำนวนมูลค่าประมาณ 60,000 -70,000 ล้านบาทแล้วเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าปีนี้เป็นปีที่หุ้นกู้เอกชนจะมีความนิยมมากปีหนึ่งเลยทีเดียว
    นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่หุ้นกู้เอกชนที่ออกกันมากในช่วงนี้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ บริษัทที่ต้องการเงินทุนก็จำเป็นต้องหันมาระดมทุนเป็นหุ้นกู้แทน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในขณะนี้ให้ผลตอบแทนที่ต่ำมากสำหรับคนฝากเงิน รวมไปถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเองก็อยู่ในระดับที่ไม่ค่อยจูงใจเท่าไหร่ อย่างเช่นพันธบัตรอายุ 5 ปี ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.36% ถ้าพันธบัตรอายุ 10 ปี ก็อยู่ที่ 3.61% เท่านั้น เมื่อผลตอบแทนจากหุ้นกู้เอกชนให้กันอยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5% ก็ย่อมที่จะได้รับความสนใจมากกว่าแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น