xs
xsm
sm
md
lg

คำสารภาพจากคนตระกูลชินวัตร!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

18 กุมภาพันธ์ 2552 หลังจากพิธีสืบชะตาทักษิณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ได้ออกมาสัมภาษณ์ตอบโต้ประเด็นข่าวเป็นวันที่สองติดต่อกัน ในฐานะที่เป็นประธานในพิธีกรรมดังกล่าว

แม้จะเป็นคำสัมภาษณ์ที่ตอบโต้ไปตามกระแสข่าว แต่ในวันนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในฐานะญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมายอมรับปรากฏตามหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรกถึงความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อสถาบันฯ

นักข่าวถามว่า: การสืบชะตาเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพ้นกรรมในอดีต?

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ตอบว่า: “เป็นความเชื่อโบราณของคนในพื้นที่ เพราะเขาไม่มีทางออกอื่น จึงคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตาม พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ จะได้แก้ไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ

การที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมดีเสียอีก เพราะเขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทย ต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง ผมลูกผู้ชายตัวจริง ว่ากันซึ่งหน้าไม่มีลับๆ ล่อๆ”

ดังนั้นถ้าบทสัมภาษณ์นี้ถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ลงไว้ก็ต้องถือว่ามีความน่าสนใจอยู่มาก

“ทิฐิ” (ถิดถิ) เป็นคำนาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติเอาไว้มีความหมายว่า: ความเห็น เช่น สัมมาทิฐิ ความเป็นชอบ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด; ความอวดดื้อถือดี เช่น เขามีทิฐิมาก

การปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์มีคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ว่า “เขาลดทิฐิไปเยอะโดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน” แล้วตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” ย่อมทำให้ผู้ที่อ่านสงสัยได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยมีมิจฉาทิฐิอวดดื้อถือดีต่อสถาบันใดสถาบันหนึ่งหรือทุกสถาบันใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใช่หรือไม่?

โดยเฉพาะคำว่า “อย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” คนไทยมักจะใช้ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่าสถาบันชาติหรือสถาบันศาสนา จริงหรือไม่?

หากเป็นบทสัมภาษณ์ที่ถูกต้องครบถ้วน ต้องถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันถึงข้อสงสัยของคนจำนวนมากจากปากคำสัมภาษณ์ญาติสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเอง

โดยเฉพาะคำสัมภาษณ์นี้มาจากคนที่ชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร คนที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างไม่เหมาะสมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2548 ต่อกรณีการโยกย้ายทหารประจำปีว่า:

“โผทหารไม่มีเปลี่ยน นายกฯ เซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน”

ดังนั้นคำว่า “ทิฐิ” ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นระดับของความทิฐิขนาดไหน ที่คนอย่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ยังต้องออกมาเตือน!!!?

นอกจากนี้คำสัมภาษณ์ดังกล่าว ยังทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นต่อสถาบันฯ นั้นเหตุการณ์ใดเป็น “ความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้ตั้งใจ” และเหตุการณ์ใดที่เป็น “ความทิฐิที่อวดดื้อถือดี”?

10 เมษายน 2548
พ.ต.ท.ทักษิณ นั่งเป็นประธานในพิธีศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์
แห่งชาติ หรือทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

17 – 18 พฤษภาคม 2548 พ.ต.ท.ทักษิณ จัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร บริเวณ อุทยานปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการไม่สมควร เพราะเป็นปราสาทของกษัตริย์ในอดีต

29 มิถุนายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ บรรยายต่อหัวหน้าส่วนราชการ เปิดประเด็นและพาดพิงคำปริศนา ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ และกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการสั่งข้าราชการ

8 มีนาคม 2549 และ 16 มีนาคม 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ
พบปะประชาชนที่เทศบาลเมืองปราจีนบุรี และทักทายกลุ่มผู้สนับสนุนที่เดินทางมาจากภาคเหนือและอีสานตามลำดับ ซึ่งปรากฏว่ามีประชาชนมาต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยธง “ทรงพระเจริญ”

นอกจากนี้ยังมีขบวนการเสื้อแดง และกลุ่มที่รักทักษิณที่มีคนกำลังถูกดำเนินคดีความในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือเป็นคนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนหลายคน เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข, น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด), นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์, นายวีระ มุสิกพงศ์, นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล, นายสุชาติ นาคบางไทร, นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง, นายใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ

ยังไม่นับเหตุการณ์การใช้คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น “ถ้าผมไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี” หรือคำพูดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์กับนายโสภณ สุภาพงษ์ หรือนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่ไม่สามารถจะเปิดเผยในทางสาธารณะได้ ตลอดจนคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสื่อต่างประเทศที่พาดพิงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง

ยังไม่นับเหตุการณ์การจัดตั้งพรรคไทยรักไทยที่ได้ตั้งวันเดียวกันกับวันปฏิวัติโค่นกษัตริย์ของฝรั่งเศส ทั้งๆ ที่มีการทักท้วงแล้ว หรือขบวนการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยไม่รอพระบรมราชโองการฯ หรือการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชโดยไม่มีพระบรมราชโองการฯ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ที่เคยถูกตั้งคำถามในหมู่ประชาชนมาแล้วว่า เป็นความไม่ตั้งใจหรือเป็นทิฐิต่อสถาบัน?

ดังนั้นหากคำสัมภาษณ์ที่ลงในสื่อสิ่งพิมพ์ถูกต้อง และหากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นความจริง ย่อมถือได้ว่าเป็นคำสารภาพครั้งแรกที่มาจากปากของญาติสนิทที่ระบุว่า “พ.ต.ท.ทักษิณที่มีทิฐิต่อสถาบันฯ”

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร คือญาติสนิทตระกูลเดียวกัน ที่เข้าร่วมขบวนทางการเมืองกับคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากกว่าศัตรูทางการเมืองอื่นๆ และมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากกว่าคำบอกกล่าวของประชาชนทั่วไป

เสียงเตือนจากญาติสนิทคนนี้ ย่อมจะเข้าใจดีว่า “ทิฐิต่อสถาบัน” เป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย หากใครมีมิจฉาทิฐิกับสถาบันที่สังคมไทยให้ความเคารพรักแล้ว นอกจากคนคนนั้นอาจจะต้องเดือดร้อนแล้ว อาจทำให้คนในตระกูลนั้นย่อมเดือดร้อนไปด้วย

เพราะฉะนั้นการยอมรับว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีทิฐิต่อสถาบัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความพยายามแบ่งแยกให้เห็นถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าอาจจะไม่เหมือนคนในตระกูลชินวัตรอื่นๆ ใช่หรือไม่?

จะสามารถแปลความได้หรือไม่ว่า นี่คือการโดดเดี่ยว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีทิฐิต่อสถาบัน ให้ห่างออกจากคนอื่นๆ ในตระกูลชินวัตร เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนไปมากกว่านี้?

พล.อ.อุทัย ชินวัตร ญาติอีกคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้ที่มีประวัติการทำงานดี ไม่มีความด่างพร้อยในชีวิตรับราชการทหาร ยังให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ฉบับประจำวันที่ 22 – 28 กุมภาพันธ์ 2552 ความตอนหนึ่งว่า:

“ตอนเขาปฏิวัติผมก็เดินไปที่ไหนที่เคยเดินไป ไม่มีใครมาทำอะไร แต่มีบางคนที่ไม่มีลิ้นชักสมอง พอเห็นนามสกุลเราก็สะบัดหน้าไม่พูดด้วย แต่ส่วนใหญ่คนเขาจะให้เกียรติ ทหารยังไงก็พี่น้องกันอยู่”

คนในตระกูลชินวัตร ทั้งที่ใกล้ชิดและไม่ใกล้ชิดต่างได้รับผลกระทบจาก พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย จึงได้มีคำเตือนให้ข้อคิดจากญาติคนนี้ถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกหลายประโยค ตัวอย่างเช่น

“ทักษิณควรทำใจ เพราะมันเป็นไปแล้ว ตัดสินไปแล้ว”

“ความจริงถ้าเขา (ทักษิณ) ไม่หัวชนฝา เขาไม่ต้องไปถึงขนาดนี้
ผมคิดว่าเขาจะยังสบาย นี่เขาหัวชนฝา พวกนี้มันนักสู้อยู่แล้ว ไม่คิดถึงปรองดองสมานฉันท์”

“ทักษิณควรจะบอก (เพื่อไทยและคนเสื้อแดง) ว่าอย่ามายุ่งกับผมเลย ให้ผมสบายๆ เราก็
สงสารเขานะ เหมือนคนมีกรรม ตั้งแต่อยู่มาผมเห็นคนไปไถเงินตลอด”

“ผมนี่เชียร์ทักษิณทุกวันนะ แต่มันก็ต้องดูว่า ถ้าสู้ไม่ได้แล้วเราไปเชียร์ให้เขาสู้ เหมือนกับทนาย สู้ๆๆๆ ลูกความแพ้ถูกประหารชีวิต – ไม่ได้ เราไม่ใช่ทนายความ เราเป็นญาติกัน รักกัน เราก็ต้องบอกว่า เออ-อย่างนี้มันสู้ไม่ได้”

“เวลานี้ก็ไม่ใช่ทักษิณทำนะ เสื้อแดงเนี่ย
ไม่รู้ใครต่อใครทำ ขอเงินทักษิณจนหมดตัวแล้วมั้ง”

“อีกฝ่ายเขาเก่งเรื่องสังคมจิตวิทยา เวลาไปพูดที่ไหนพูดถึงเรื่องจงรักภักดี เหมือนว่ากูจงรักภักดีแต่ทักษิณไม่จงรักภักดี วิธีการที่พูดมันเข้าเรื่อง ทักษิณเลยแย่ ฝ่ายทักษิณคนที่พูดเข้าเรื่องไม่ค่อยมี มีแต่คนพูดหาเรื่อง ลูกน้องทักษิณพูดหาเรื่องหมด แกก็ช่วยคนหมด ใครไปขอความช่วยเหลือก็ให้หมด พวกนี้ก็คิดอยากจะตอบแทนแต่ตอบแทนในทางที่ไม่ถูก”

สำหรับญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บทสัมภาษณ์จาก 2 พลเอก ทั้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และพล.อ.อุทัย ชินวัตร ที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองและสังคมเพราะมีส่วนได้เสีย เป็นคนในตระกูลชินวัตรเหมือนกัน ย่อมถือเป็นเสียงของ “กัลยาณมิตร” เพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ซึ่งได้เตือนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งสติหยุดคิดว่าควรจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร?

แต่ดูเหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเชื่อหัวปักหัวปำกับคนที่ให้ความหวังว่า กำลังจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้สำเร็จ หรือกำลังจะเปลี่ยนหรือคว่ำรัฐบาลได้ และจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ในเร็ววัน

หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคิดจะต่อสู้ต่อไป ไม่ลดจนหมดมิจฉาทิฐิต่อสถาบัน เสียเงินทอง เชื่อฟังคนที่มาไถเงินตัวเองต่อไป และไม่ฟังจากเสียงเตือนของญาติตัวเอง ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมของทักษิณที่ยังชดใช้ไม่หมด

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงต้องชดใช้กรรมของตัวเองที่ก่อเอาไว้ต่อไป จนกว่าจะหมดกรรม!
กำลังโหลดความคิดเห็น