สวัสดีครับคุณแอน จินดารัตน์ แล้วก็พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในห้องส่ง พ่อแม่พี่น้องที่ไม่ได้ออกไปเคาท์ดาวน์อะไรกับเขาแล้วก็นั่งอยู่ที่บ้าน ตลอดจนพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในต่างประเทศ วันนี้เป็นวันพิเศษจริงๆ เพราะว่า ธรรมดานั้นวันที่ 31 โทรทัศน์จะไม่มีอะไรนอกจากเอาเทปออกมาฉายกัน แล้วออกไปเที่ยวเตร่กัน แต่ผมคิดว่า ครอบครัวพันธมิตรฯ นั้น เรื่องเที่ยวเตร่รู้สึกลดน้อยลงไปเยอะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก ผมก็เลยคิดอยู่ในใจว่า จริงๆ แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองนั้น พ่อแม่พี่น้องหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจว่าจะต้องมาเล่าทบทวนกันใหม่ ทบทวนกันยังไง ทบทวนกันว่า ตั้งแต่ปี 2549 50 51 นั้นเราผ่านอะไรกันมาบ้าง ไม่ค่อยอยากจะให้รู้เฉพาะ 193 วันเท่านั้น เพราะว่ากันที่มันจะมาถึง 193 วันนั้น มันมีความไม่ชอบมาพากลอะไรเกิดขึ้น ผมจะได้สรุปให้พ่อแม่พี่น้องฟังว่า จริงๆ แล้วเราสู้กันมา 193 วันนั้น นอกจากชอบธรรม ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการช่วยชาติและป้องกันชาติด้วย บางครั้งพ่อแม่พี่น้องอาจจะนึกถึงแค่ 193 วัน แต่จริงๆ แล้วมันมีมูลเหตุก่อนที่จะเกิด 193 วัน นอกจากนั้นแล้ว ในช่วงหลังที่คุณแอนพูดนั้น วันนี้เป็นวันที่ มันไม่ใช่เรื่องเปิดใจผมหรอก มันเป็นเรื่องที่ คุณแอนจะคุยกับผมในเรื่องหลายเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องการเมือง แล้วจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาซักไซ้ไล่เรียง ซึ่งคุณแอนก็กระเหี้ยนกระหือแล้วรับมีดดาบ รับหอก
เนื่องจากเป็นวันปีใหม่ ก็เลยมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้พ่อแม่พี่น้อง แต่ว่าเนื่องจากพ่อแม่พี่น้องที่มานั้นเยอะเกินไป ก็เลยต้องใช้วิธีจับสลาก สำหรับรูปของผม ยกตัวอย่างให้ฟัง รูปมีลายเซ็นให้ด้วยนะครับ แล้วก็ ลงวันที่ 31 เดือน 12 รูปมีอยู่ประมาณ 36 ชิ้น แต่ว่าท่านใดไม่ได้จะแจกปฏิทินให้แทน ปฏิทินหมดแล้วเอาผ้าทรงพระเจริญพร้อมลายเซ็นให้ เอาเป็นว่าพ่อแม่พี่น้องที่มาห้องส่งทุกท่านจะได้รับของกัน ไม่ว่าจะนั่งในห้องนี้หรืออยู่ข้างนอกนะครับ หวังว่าไม่อยู่ที่บ้านแล้วรีบนั่งแท็กซี่มานะครับ
ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่อง 193 วันนั้น ผมอยากจะให้พ่อแม่พี่น้องทบทวนเรื่องราวต่างๆ หลายๆ ท่านเพิ่งจะมาร่วมขบวนการกับเราเมื่อปี 2551 แต่หลายๆ ท่านมาร่วมตั้งแต่ปี 2548 แล้ว 2548 นั้น ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการสั่งยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ผมและคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้ออกรายการมาทุกๆ วันศุกร์ ที่ อสมท ช่อง 9 อย่างที่ผมได้เรียนให้พ่อแม่พี่น้อง และท่านผู้ชม และหลายๆ ท่านรับทราบมาก่อนล่วงหน้า หลายท่านยังไม่ทราบก็ถือโอกาสรับทราบไปด้วยก็ได้ เมืองไทยรายสัปดาห์ ช่วงแรกที่ออกนั้น ออกมาประมาณ 2 ปีกว่า ตอนแรกวัตถุประสงค์ก็ดี คือต้องการให้เป็นรายการที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้บริหารชาติบ้านเมืองไป รายการนั้นเป็นรายการที่ พยายามที่จะอธิบายการทำงานของคุณทักษิณ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ แก้ตัวแทนเขา เหตุผลก็เพราะว่า เราไปเข้าใจว่า เขารวยแล้วเขาไม่โกง เขาตั้งใจที่จะทำงานให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งถือว่าเป็นบาปอันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากตัวผมเอง แล้วก็พี่ลองด้วยนะครับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งท่านบอกว่าท่านเป็นคนสร้างทักษิณออกมา ท่านปล่อยยักษ์ออกจากขวด ท่านก็ต้องจับยักษ์กลับเข้าใส่ขวดเหมือนเดิม
ในการทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์นั้นในช่วงแรกๆ นั้น ถ้าจำไม่ผิดทำตั้งแต่ปี 2546 45 ต่อ 46 ทำไปได้สักปีกว่าๆ ตัวผมเองก็เริ่มจะอึดอัดใจ อึดอัดมาก ที่อึดอัดเพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังแก้ตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบางครั้งแก้ตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหันมามองดูสิ่งซึ่งคุณทักษิณนั้นทำ เรามีความรู้สึกว่า เรากำลังโกหกแทนเขาหรือเปล่า ทำไปก็ไม่สบายใจไป จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ผมเองต้องพูดกับพ่อแม่พี่น้องอย่างตรงไปตรงมาว่า ช่วงนั้นก็ทำผิดพลาดไป คือไปปกป้องคุณทักษิณในเรื่องของการแปรรูป ไม่ได้มีอะไรเสียหายคนเราถ้าทำผิดแล้วยอมรับผิด ก็ยอมรับออกมา มันผิด ผิดแล้วยังไง ไม่ผิดแล้วยังไง เมื่อผิดแล้วก็ต้องขอโทษ แล้วก็ต้องรับโทษทัณฑ์ไป โทษทัณฑ์ในฐานะที่ตัวเองนั้นไปปกป้องคุณทักษิณ สิ่งที่สะเทือนใจผมมากที่สุด ก็คือวันที่ผมแก้ตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนั้น มีแพทย์คนหนึ่งซึ่งเป็นสุภาพสตรี เกษียณอายุแล้ว เขียนจดหมายส่วนตัวมาหาผม ท่านเขียนธรรมดาสามัญมาก ท่านบอกว่า คุณสนธิเป็นคนที่มีความสามารถในการพูด สามารถที่จะพูดให้คนชั่วเป็นคนดีได้ พูดให้ความผิดดูเหมือนถูกได้ คุณสมบัติอันนี้ อิทธิพลอันนี้ ความสามารถอันนี้ น่าจะมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ใช่เอามาปกป้องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการแปรรูป เมื่อฟังคุณสนธิพูดแล้วยังอดคล้อยตามไม่ได้ว่าแปรรูปมันดีนะ แต่สติมันดึง ทำให้ตัวเองนั้นหันกลับมาแล้วบอกว่า มันไม่ถูก ดิฉันเลยเขียนจดหมายมาเพื่อจะให้คุณสนธิรู้จักใช้ความสามารถของตัวเอง และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางด้านนี้ให้เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองดีกว่าจะมาปกป้องคนๆ หนึ่ง
ตรงนั้นละครับพี่น้องคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม ทำให้ผมนั้นมีความรู้สึกว่า ถ้ามีชีวิตอยู่แล้ว มีบ้างต้องพึงกระทำและมีบ้างต้องไม่ทำ ผมคิดว่า สิ่งที่ต้องไม่ทำ คือต้องเลิกปกป้องคุณทักษิณ จากนั้นเป็นต้นมา รายการเมืองไทยรายสัปดาห์จึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณโดยตรง สมัยก่อนนั้นจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์คนรอบด้านคุณทักษิณว่า คนพวกนี้ทำให้นายเสีย นายไม่รู้ตัว ช่วงหลังเลยพุ่งเป้าไปที่คุณทักษิณ การพุ่งเป้าไปที่คุณทักษิณทำให้กระบวนการการทำงานของพวกเราอึดอัดใจมาก ประการแรก เราออกที่ช่อง 9 อสมท ซึ่งเป็นช่องรัฐบาล แล้วคุณมิ่งขวัญก็เป็นผู้อำนวยการ อสมท ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของคุณทักษิณ คุณคำนูณ คุณแอ้ม พวกเราก็ตกลงใจว่า เราทำกันอาทิตย์ต่ออาทิตย์ หมายความว่า อาทิตย์นี้เราทำแล้วอาทิตย์หน้าเขาสั่งให้เลิกเราต้องทำใจยอมรับไปได้ คุณคำนูณ สิทธิสมาน เป็นผู้ซึ่งภาษาโทรทัศน์เขาเลือกเป็นโปรดิวเซอร์ให้ผม แกจำได้ว่า ทุกๆ ครั้งที่เวลาจะมาวันศุกร์นั้น ผมจะบอกแก่ว่า นูณพี่อยากจะอ้วกเพราะพี่ไม่รู้จะพูดอะไร แล้วก็พี่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นแล้วจากนี้ไปพี่จะพูดตามความรู้สึกของพี่เองก็แล้วกัน ขอให้พลังศีลธรรม พลังจริยธรรม มันได้เกิดในตัวพี่ก็แล้วกัน นั่นคือที่มาของการที่ ผมเริ่มเป็นกบฏต่อระบอบทักษิณ โดยที่กบฏในระบบของเขาเอง คือในระบบฟรีทีวีของเขา
เหตุการณ์เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกน้องคุณทักษิณไปฟ้องคุณทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องเขา หรือคนใกล้ชิดเขาก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เริ่มเพ่งเล็งมา จนกระทั่งผมเองก็รู้ว่ากระบวนการนี้คงจะอยู่ได้ไม่นาน จนในที่สุดก็เลยบอกทาง คุณมิ่งขวัญก็บอกไปว่า ถ้าคุณอยากให้รายการนี้เลิกเมื่อไหร่คุณก็บอกแล้วกัน บอกเงียบๆ แล้วผมจะหยุดไป วันแตกหักนั้นเริ่มมาจากวันที่ คุณทักษิณมีข่าวว่าไปทำพิธีในอุโบสถวัดพระแก้ว โดยทำตัวเปรียบเหมือนเป็นกษัตริย์ นั่งเป็นประธานในพิธี ตลอดจนการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช โดยเอาสมเด็จเกี่ยว ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับธรรมกายอย่างสูง และเป็นคนซึ่งให้การสนับสนุนธรรมกาย มาเป็นรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ตลอดจนมาถึงเรื่องของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งคุณหญิงจารุวรรณนั้น คุณทักษิณให้กระบวนการทางการเมืองถอดถอนคุณหญิงจารุวรรณ แต่ยังไม่มีหนังสือโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงจารุวรรณนั้นออกจากตำแหน่ง และคุณทักษิณไปตั้งคนซึ่งเป็นผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ขึ้นไป แล้วส่งหนังสือขึ้นไปให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่หนังสือโปรดเกล้าฯ ก็ไม่ลงมาเป็นเดือนๆ ตรงนั้นเป็นจุดแตกหัก จุดแตกหักซึ่งคุณทักษิณไม่พอใจอย่างมาก โกรธ คุณทักษิณกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจที่จะโทรศัพท์ไปบอกคุณมิ่งขวัญว่าให้ถอดรายการออกทันที ทีนี้การถอดรายการออกทันทีนั้น ถ้ากระซิบบอกผมเหมือนอย่างที่ผมพูดให้ฟังว่า จะหยุดก็หยุดบอกมาแล้วก็จะหยุด แต่ทีนี้คุณทักษิณไม่ต้องการให้ถอดแบบเงียบๆ ต้องการให้ถอดแบบโครมครามแล้วใส่ร้ายป้ายสีผม ก็เลยมีการออกมาแถลงข่าวที่ช่อง 9 แถลงว่า ผมนั้นก้าวล่วงละเมิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ อะไรหลายอย่าง จนกระทั่งถึงคุณทักษิณก็ได้วิ่งเต้นให้ทางสำนักพระราชวังเอาหนังสือมาแจ้งให้คุณธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเป็น ช่วงนั้นเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วเป็นคนที่อยู่ในระบอบทักษิณ ปัจจุบันยังเป็นคนของคุณทักษิณอยู่ นั่งอยู่ในกรรมการบอร์ด อสมท ออกมาโดยอ้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับราชบัลลังก์ แล้วมากล่าวโจมตีผมในทำนองว่าผมนั้นไม่รู้เรื่อง มูลเหตุที่ต้องถอดรายการเพราะเหตุนี้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีความจำเป็นต้องออกมาแถลงข่าว แล้วชี้แจงให้ประชาชนฟังว่า สิ่งที่ผมทำนั้นไม่ผิด ถ้าพี่น้องจำได้
ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนกันยายน 2548 หลังจากแถลงข่าวแล้ว ความที่เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราหยุดไปตอนนั้นก็คงไม่มีวันนี้ ชีวิตก็คงจะสงบ อยู่อย่างเงียบๆ ทำมาหากินไป ทำมาหากินอะไรได้ก็ทำ ทำมาหากินอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่เผอิญมโนธรรมและพลังแห่งศีลธรรมและพลังแห่งจริยธรรมนั้นไม่ยอมให้หยุด มันมีความรู้สึกว่า สังคมไทยทั้งสังคมนั้นสยบอยู่ใต้อำนาจคุณทักษิณ คุณทักษิณมีอำนาจจะสั่งให้สังคมหันซ้ายก็ได้หันขวาก็ได้ สื่อมวลชนแทบจะทุก หนังสือพิมพ์แทบจะทุกฉบับ อาจจะยกเว้นหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นอกนั้นอยู่ใต้เงื้อมือคุณทักษิณหมด โทรทัศน์ วิทยุ ทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปสังคมไทยคงไม่มีที่ยืน
ในที่สุดผมเลยตัดสินใจทำเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร และนั่นคือที่เกิดของการชุมนุมและทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร จากธรรมศาสตร์หอประชุมเล็กาสู่หอประชุมใหญ่ และจากหอประชุมใหญ่ก็สู่สวนลุมพินี ในที่สุดเลยตัดสินใจว่า คุณทักษิณนั้นไม่เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรี เลยเกิดการชุมนุมใหญ่ครั้งแรก ถ้าพี่น้องยังจำได้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งวันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้แปลงร่างของผม จากการที่ผมเป็นนักสื่อสารมวลชนมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวมวลชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนย้ายมาที่นั่นก็มีการกลั่นแกล้งทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความจับผมโดยกองบังคับการตำรวจภูธร จ.ยโสธร ซึ่งผู้บังคับการจังหวัดเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังมีอำนาจอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วก็คุณชลอ ชูวงษ์ เป็นนายตำรวจรุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุนี้ก็มีการกลั่นแกล้งกันมาตลอด ไม่ว่าในแง่กฎหมายหรือในแง่ของการใช้ความเถื่อน โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ลูกจ้างชั่วคราว ยกคนมาขว้างระเบิดประทัดยักษ์ใส่พวกเรา รวมทั้งหาทางกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น อย่างไรก็ตามถ้าเราเอาธรรมนำหน้า เอาความจริงนำหน้า เอาความถูกต้องนำหน้ายังไงเราก็ไม่แพ้ เราก็เลยเดินเอาธรรมนำหน้าตลอด แม้กระทั่งจะถูกข่มขู่ฆ่า ถูกตามไปลอบสังหาร หลังจากมีการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือหลวงตามหาบัว ท่านก็มีเมตตาสูง ให้จัดได้ที่วัด ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วัดป่าบ้านตาด ที่อนุญาตให้มีการจัดรายการทางการเมือง หลวงตาท่านก็มาเดินตรวจดูความเรียบร้อย หลังจากนั้นมากระแสก็เริ่มเกิดขึ้น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่พี่น้องตลอดเวลาว่า เมื่อมีการจุดเทียนเล่มแรกขึ้นมาแล้ว คนที่จุดเทียนเล่มแรกต้องบาดเจ็บ และต้องมีอันเป็นไป ลำบากลำบน เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ สัก 3 นาที เพราะเดี๋ยวจะต้องขออนุญาตเอาเก้าอี้มาให้ผมนั่งสักนิดหนึ่ง เพราะว่าขาขวามันชา แล้วก็มันรู้สึก กระดูกทับไขสันหลัง ขอพักสัก 3 นาที แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาอีกที
เนื่องจากเป็นวันปีใหม่ ก็เลยมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้พ่อแม่พี่น้อง แต่ว่าเนื่องจากพ่อแม่พี่น้องที่มานั้นเยอะเกินไป ก็เลยต้องใช้วิธีจับสลาก สำหรับรูปของผม ยกตัวอย่างให้ฟัง รูปมีลายเซ็นให้ด้วยนะครับ แล้วก็ ลงวันที่ 31 เดือน 12 รูปมีอยู่ประมาณ 36 ชิ้น แต่ว่าท่านใดไม่ได้จะแจกปฏิทินให้แทน ปฏิทินหมดแล้วเอาผ้าทรงพระเจริญพร้อมลายเซ็นให้ เอาเป็นว่าพ่อแม่พี่น้องที่มาห้องส่งทุกท่านจะได้รับของกัน ไม่ว่าจะนั่งในห้องนี้หรืออยู่ข้างนอกนะครับ หวังว่าไม่อยู่ที่บ้านแล้วรีบนั่งแท็กซี่มานะครับ
ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่อง 193 วันนั้น ผมอยากจะให้พ่อแม่พี่น้องทบทวนเรื่องราวต่างๆ หลายๆ ท่านเพิ่งจะมาร่วมขบวนการกับเราเมื่อปี 2551 แต่หลายๆ ท่านมาร่วมตั้งแต่ปี 2548 แล้ว 2548 นั้น ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการสั่งยกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ผมและคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้ออกรายการมาทุกๆ วันศุกร์ ที่ อสมท ช่อง 9 อย่างที่ผมได้เรียนให้พ่อแม่พี่น้อง และท่านผู้ชม และหลายๆ ท่านรับทราบมาก่อนล่วงหน้า หลายท่านยังไม่ทราบก็ถือโอกาสรับทราบไปด้วยก็ได้ เมืองไทยรายสัปดาห์ ช่วงแรกที่ออกนั้น ออกมาประมาณ 2 ปีกว่า ตอนแรกวัตถุประสงค์ก็ดี คือต้องการให้เป็นรายการที่จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้บริหารชาติบ้านเมืองไป รายการนั้นเป็นรายการที่ พยายามที่จะอธิบายการทำงานของคุณทักษิณ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ แก้ตัวแทนเขา เหตุผลก็เพราะว่า เราไปเข้าใจว่า เขารวยแล้วเขาไม่โกง เขาตั้งใจที่จะทำงานให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งถือว่าเป็นบาปอันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากตัวผมเอง แล้วก็พี่ลองด้วยนะครับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งท่านบอกว่าท่านเป็นคนสร้างทักษิณออกมา ท่านปล่อยยักษ์ออกจากขวด ท่านก็ต้องจับยักษ์กลับเข้าใส่ขวดเหมือนเดิม
ในการทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์นั้นในช่วงแรกๆ นั้น ถ้าจำไม่ผิดทำตั้งแต่ปี 2546 45 ต่อ 46 ทำไปได้สักปีกว่าๆ ตัวผมเองก็เริ่มจะอึดอัดใจ อึดอัดมาก ที่อึดอัดเพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังแก้ตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบางครั้งแก้ตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหันมามองดูสิ่งซึ่งคุณทักษิณนั้นทำ เรามีความรู้สึกว่า เรากำลังโกหกแทนเขาหรือเปล่า ทำไปก็ไม่สบายใจไป จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ผมเองต้องพูดกับพ่อแม่พี่น้องอย่างตรงไปตรงมาว่า ช่วงนั้นก็ทำผิดพลาดไป คือไปปกป้องคุณทักษิณในเรื่องของการแปรรูป ไม่ได้มีอะไรเสียหายคนเราถ้าทำผิดแล้วยอมรับผิด ก็ยอมรับออกมา มันผิด ผิดแล้วยังไง ไม่ผิดแล้วยังไง เมื่อผิดแล้วก็ต้องขอโทษ แล้วก็ต้องรับโทษทัณฑ์ไป โทษทัณฑ์ในฐานะที่ตัวเองนั้นไปปกป้องคุณทักษิณ สิ่งที่สะเทือนใจผมมากที่สุด ก็คือวันที่ผมแก้ตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนั้น มีแพทย์คนหนึ่งซึ่งเป็นสุภาพสตรี เกษียณอายุแล้ว เขียนจดหมายส่วนตัวมาหาผม ท่านเขียนธรรมดาสามัญมาก ท่านบอกว่า คุณสนธิเป็นคนที่มีความสามารถในการพูด สามารถที่จะพูดให้คนชั่วเป็นคนดีได้ พูดให้ความผิดดูเหมือนถูกได้ คุณสมบัติอันนี้ อิทธิพลอันนี้ ความสามารถอันนี้ น่าจะมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ใช่เอามาปกป้องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการแปรรูป เมื่อฟังคุณสนธิพูดแล้วยังอดคล้อยตามไม่ได้ว่าแปรรูปมันดีนะ แต่สติมันดึง ทำให้ตัวเองนั้นหันกลับมาแล้วบอกว่า มันไม่ถูก ดิฉันเลยเขียนจดหมายมาเพื่อจะให้คุณสนธิรู้จักใช้ความสามารถของตัวเอง และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางด้านนี้ให้เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองดีกว่าจะมาปกป้องคนๆ หนึ่ง
ตรงนั้นละครับพี่น้องคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม ทำให้ผมนั้นมีความรู้สึกว่า ถ้ามีชีวิตอยู่แล้ว มีบ้างต้องพึงกระทำและมีบ้างต้องไม่ทำ ผมคิดว่า สิ่งที่ต้องไม่ทำ คือต้องเลิกปกป้องคุณทักษิณ จากนั้นเป็นต้นมา รายการเมืองไทยรายสัปดาห์จึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คุณทักษิณโดยตรง สมัยก่อนนั้นจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์คนรอบด้านคุณทักษิณว่า คนพวกนี้ทำให้นายเสีย นายไม่รู้ตัว ช่วงหลังเลยพุ่งเป้าไปที่คุณทักษิณ การพุ่งเป้าไปที่คุณทักษิณทำให้กระบวนการการทำงานของพวกเราอึดอัดใจมาก ประการแรก เราออกที่ช่อง 9 อสมท ซึ่งเป็นช่องรัฐบาล แล้วคุณมิ่งขวัญก็เป็นผู้อำนวยการ อสมท ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของคุณทักษิณ คุณคำนูณ คุณแอ้ม พวกเราก็ตกลงใจว่า เราทำกันอาทิตย์ต่ออาทิตย์ หมายความว่า อาทิตย์นี้เราทำแล้วอาทิตย์หน้าเขาสั่งให้เลิกเราต้องทำใจยอมรับไปได้ คุณคำนูณ สิทธิสมาน เป็นผู้ซึ่งภาษาโทรทัศน์เขาเลือกเป็นโปรดิวเซอร์ให้ผม แกจำได้ว่า ทุกๆ ครั้งที่เวลาจะมาวันศุกร์นั้น ผมจะบอกแก่ว่า นูณพี่อยากจะอ้วกเพราะพี่ไม่รู้จะพูดอะไร แล้วก็พี่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นแล้วจากนี้ไปพี่จะพูดตามความรู้สึกของพี่เองก็แล้วกัน ขอให้พลังศีลธรรม พลังจริยธรรม มันได้เกิดในตัวพี่ก็แล้วกัน นั่นคือที่มาของการที่ ผมเริ่มเป็นกบฏต่อระบอบทักษิณ โดยที่กบฏในระบบของเขาเอง คือในระบบฟรีทีวีของเขา
เหตุการณ์เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกน้องคุณทักษิณไปฟ้องคุณทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องเขา หรือคนใกล้ชิดเขาก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ เริ่มเพ่งเล็งมา จนกระทั่งผมเองก็รู้ว่ากระบวนการนี้คงจะอยู่ได้ไม่นาน จนในที่สุดก็เลยบอกทาง คุณมิ่งขวัญก็บอกไปว่า ถ้าคุณอยากให้รายการนี้เลิกเมื่อไหร่คุณก็บอกแล้วกัน บอกเงียบๆ แล้วผมจะหยุดไป วันแตกหักนั้นเริ่มมาจากวันที่ คุณทักษิณมีข่าวว่าไปทำพิธีในอุโบสถวัดพระแก้ว โดยทำตัวเปรียบเหมือนเป็นกษัตริย์ นั่งเป็นประธานในพิธี ตลอดจนการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช โดยเอาสมเด็จเกี่ยว ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับธรรมกายอย่างสูง และเป็นคนซึ่งให้การสนับสนุนธรรมกาย มาเป็นรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ตลอดจนมาถึงเรื่องของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งคุณหญิงจารุวรรณนั้น คุณทักษิณให้กระบวนการทางการเมืองถอดถอนคุณหญิงจารุวรรณ แต่ยังไม่มีหนังสือโปรดเกล้าฯ ให้คุณหญิงจารุวรรณนั้นออกจากตำแหน่ง และคุณทักษิณไปตั้งคนซึ่งเป็นผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ขึ้นไป แล้วส่งหนังสือขึ้นไปให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่หนังสือโปรดเกล้าฯ ก็ไม่ลงมาเป็นเดือนๆ ตรงนั้นเป็นจุดแตกหัก จุดแตกหักซึ่งคุณทักษิณไม่พอใจอย่างมาก โกรธ คุณทักษิณกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจที่จะโทรศัพท์ไปบอกคุณมิ่งขวัญว่าให้ถอดรายการออกทันที ทีนี้การถอดรายการออกทันทีนั้น ถ้ากระซิบบอกผมเหมือนอย่างที่ผมพูดให้ฟังว่า จะหยุดก็หยุดบอกมาแล้วก็จะหยุด แต่ทีนี้คุณทักษิณไม่ต้องการให้ถอดแบบเงียบๆ ต้องการให้ถอดแบบโครมครามแล้วใส่ร้ายป้ายสีผม ก็เลยมีการออกมาแถลงข่าวที่ช่อง 9 แถลงว่า ผมนั้นก้าวล่วงละเมิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ อะไรหลายอย่าง จนกระทั่งถึงคุณทักษิณก็ได้วิ่งเต้นให้ทางสำนักพระราชวังเอาหนังสือมาแจ้งให้คุณธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเป็น ช่วงนั้นเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วเป็นคนที่อยู่ในระบอบทักษิณ ปัจจุบันยังเป็นคนของคุณทักษิณอยู่ นั่งอยู่ในกรรมการบอร์ด อสมท ออกมาโดยอ้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับราชบัลลังก์ แล้วมากล่าวโจมตีผมในทำนองว่าผมนั้นไม่รู้เรื่อง มูลเหตุที่ต้องถอดรายการเพราะเหตุนี้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีความจำเป็นต้องออกมาแถลงข่าว แล้วชี้แจงให้ประชาชนฟังว่า สิ่งที่ผมทำนั้นไม่ผิด ถ้าพี่น้องจำได้
ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนกันยายน 2548 หลังจากแถลงข่าวแล้ว ความที่เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราหยุดไปตอนนั้นก็คงไม่มีวันนี้ ชีวิตก็คงจะสงบ อยู่อย่างเงียบๆ ทำมาหากินไป ทำมาหากินอะไรได้ก็ทำ ทำมาหากินอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่เผอิญมโนธรรมและพลังแห่งศีลธรรมและพลังแห่งจริยธรรมนั้นไม่ยอมให้หยุด มันมีความรู้สึกว่า สังคมไทยทั้งสังคมนั้นสยบอยู่ใต้อำนาจคุณทักษิณ คุณทักษิณมีอำนาจจะสั่งให้สังคมหันซ้ายก็ได้หันขวาก็ได้ สื่อมวลชนแทบจะทุก หนังสือพิมพ์แทบจะทุกฉบับ อาจจะยกเว้นหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นอกนั้นอยู่ใต้เงื้อมือคุณทักษิณหมด โทรทัศน์ วิทยุ ทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปสังคมไทยคงไม่มีที่ยืน
ในที่สุดผมเลยตัดสินใจทำเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร และนั่นคือที่เกิดของการชุมนุมและทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร จากธรรมศาสตร์หอประชุมเล็กาสู่หอประชุมใหญ่ และจากหอประชุมใหญ่ก็สู่สวนลุมพินี ในที่สุดเลยตัดสินใจว่า คุณทักษิณนั้นไม่เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรี เลยเกิดการชุมนุมใหญ่ครั้งแรก ถ้าพี่น้องยังจำได้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งวันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้แปลงร่างของผม จากการที่ผมเป็นนักสื่อสารมวลชนมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวมวลชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนย้ายมาที่นั่นก็มีการกลั่นแกล้งทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งความจับผมโดยกองบังคับการตำรวจภูธร จ.ยโสธร ซึ่งผู้บังคับการจังหวัดเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังมีอำนาจอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วก็คุณชลอ ชูวงษ์ เป็นนายตำรวจรุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุนี้ก็มีการกลั่นแกล้งกันมาตลอด ไม่ว่าในแง่กฎหมายหรือในแง่ของการใช้ความเถื่อน โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ลูกจ้างชั่วคราว ยกคนมาขว้างระเบิดประทัดยักษ์ใส่พวกเรา รวมทั้งหาทางกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น อย่างไรก็ตามถ้าเราเอาธรรมนำหน้า เอาความจริงนำหน้า เอาความถูกต้องนำหน้ายังไงเราก็ไม่แพ้ เราก็เลยเดินเอาธรรมนำหน้าตลอด แม้กระทั่งจะถูกข่มขู่ฆ่า ถูกตามไปลอบสังหาร หลังจากมีการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือหลวงตามหาบัว ท่านก็มีเมตตาสูง ให้จัดได้ที่วัด ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วัดป่าบ้านตาด ที่อนุญาตให้มีการจัดรายการทางการเมือง หลวงตาท่านก็มาเดินตรวจดูความเรียบร้อย หลังจากนั้นมากระแสก็เริ่มเกิดขึ้น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่พี่น้องตลอดเวลาว่า เมื่อมีการจุดเทียนเล่มแรกขึ้นมาแล้ว คนที่จุดเทียนเล่มแรกต้องบาดเจ็บ และต้องมีอันเป็นไป ลำบากลำบน เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ สัก 3 นาที เพราะเดี๋ยวจะต้องขออนุญาตเอาเก้าอี้มาให้ผมนั่งสักนิดหนึ่ง เพราะว่าขาขวามันชา แล้วก็มันรู้สึก กระดูกทับไขสันหลัง ขอพักสัก 3 นาที แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาอีกที