“สนธิ”เปิดใจส่งท้ายปี ย้อนความเป็นมา 193 วันแห่งการต่อสู้ จุดเริ่มต้นจากปี 48 หลังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดจากช่อง 9 เพราะหันมาวิพากษ์วิจารณ์“ทักษิณ” นำไปสู่การจัดตั้งพันธมิตรฯ ขับไล่ระบอบทักษิณ ก่อนถูกทหารชิงปฏิวัติ 19 ก.ย.เพราะกลัวถูกปลด แล้วตั้ง“สุรยุทธ์”เข้ามานั่งรอระบอบทักษิณฟื้นกลับมาใหม่ ซ้ำ กกต.บางคนถูกซื้อ ถ่วงเรื่องแจกใบแดง “ยงยุทธ” จน พปช.ได้ตั้งรัฐบาล เตรียมแก้ รธน.เพื่อ “แม้ว” พันธมิตรฯ ต้องอกมาไล่ ย้ำความพินาศฉิบหาย 1 ปีที่ผ่านมา เพราะ 2 ใน 5 กกต.เป็นต้นเหตุ เผยยังให้โอกาส “มาร์ค” รอ 3 เดือน ประเมินผล
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สนธิเปิดใจ เบื้องหลัง 193 วันแห่งการต่อสู้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ช่วงเวลา 20.30 – 24.00 น. วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2551 นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้มีโปรแกรมพิเศษส่งท้ายปีเก่า โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มาเปิดใจ ถึงที่มาที่ไปของการออกมาสู้กับรัฐบาลนอมินีระบอบทักษิณ 193 วัน หรือกว่า 6 เดือนของปี 2551 ที่ผ่านมา
นายสนธิ กล่าวว่า ที่มาของการต่อสู้ครั้งนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งมีการถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ออกจากผังของช่อง 9 อสมท หลังจากทำรายการนี้มาตั้งแต่ปี 2546 โดยช่วงที่เริ่มทำนั้นต้องการจะช่วยให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้บริหารราชการไปด้วยดี เพราะเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณรวยแล้วไม่โกง ซึ่งเป็นบาปอันหนึ่งที่เกิดกับตัวเอง เช่นเดียว พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นคนชักนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าสู่การเมือง
นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจากทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ไปปีกว่าเริ่มอึดอัดใจ รู้สึกว่ากำลังแก้ตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และเมื่อแก้ตัวให้เสร็จแล้วหันไปมองดูสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำ เหมือนกับว่าไปช่วยโกหกแทน ทำให้ไม่สบายใจ จนครั้งหนึ่งได้ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ซึ่งยอมรับว่าพลาดไปอย่างมาก และมีแพทย์หญิงท่านหนึ่งเขียนจดหมายมาบอกว่าน่าจะใช้ความสามารถที่พูดโน้มน้าวให้คนเชื่อได้เก่งในทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่เอามาปกป้องคนๆ หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยพร้อมที่จะออกจากช่อง 9 ตลอดเวลา และถูกเพ่งเล็งมาตั้งแต่ตอนนั้น
นายสนธิ กล่าวต่อว่า จนกระทั่งได้วิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณในประเด็นละเมิดสถาบันเบื้องสูง กรณีไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้ว การตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ความพยายามที่จะปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจมาก และสั่งให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ผู้อำนวยการ อสมท ในขณะนั้นให้ถอดรายการ ในเดือนกันยายน 2548 และแทนที่จะถอดแบบเงียบๆ เหมือนที่ได้เคยบอกนายมิ่งขวัญไว้แล้ว ก็มีการเปิดแถลงข่าวครึกโครม และกล่าวหาว่าตนล่วงละเมิดในหลวงที่เอาเรื่องดังกล่าวมาพูด จึงถูกปลดรายการ โดยให้นายธงทอง จันทรางศุ อ้างความใกล้ชิดพระราชวังมาร่วมแถลงข่าวใส่ร้ายตนด้วย
นายสนธิกล่าวว่าสังคมไทยตอนนั้นอยู่ใต้ พ.ต.ท.ทักษิณหมด ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น สังคมไทยจะไม่มีที่ยืน จึงตัดสินใจทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จากหอประชุมเล็ก ไปหอประชุมใหญ่ ย้ายไปสวนลุมพินี และชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นครั้งแรกที่ตนมาเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวมวลชน โดยก่อนหน้านั้นก็มีกระบวนการทางกฎหมาย ให้ตำรวจที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งจับตนและนางสาวสโรชา มีการใช้ความป่าเถื่อนก่อกวนการจัดรายการที่สวนลุมพินี มีการขู่ฆ่าจนบางครั้งต้องไปจัดรายการที่วัดป่าบ้านตาด
หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณไม่หยุดที่จะยึดประเทศไทย จึงมีการจัดกำลังร่วมกันกับนายพิภพ ธงไชย ที่ทำงานเอ็นจีโอมาก่อน นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ทำงานด้านแรงงาน ตลอดจน นพ.เหวง โตจิราการ ตอนนั้นก็มาร่วม และต่อมา พล.ต.จำลองก็ติดต่อเข้าร่วม เพราะรู้สึกผิดที่สร้าง พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมา จึงเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมีการชุมนุมกันเป็นประวัติศาสตร์ในการการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นการชุมนุมอย่างสันติ ไม่มีเหตุร้ายรง เพราะในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังมั่นใจว่ายังกุมอำนาจรัฐได้ทุกอย่าง มองพันธมิตรฯ ว่าเป็นแค่พวกจรจัด ไม่ให้ความสำคัญ และ พ.ต.ท.ทักษิณมีที่ปรึกษาเป็นพวกฝ่ายฝ่ายซ้ายหลายคนและเคยสัมผัสมวลชนมาก่อน จึงสู้กับพันธมิตรฯ ได้อย่างเข้มข้น แต่โชคร้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่หยุดโลภ จึงมีความไม่ชอบมาพากลเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นตลอด เช่น เงินกู้พม่า หวยบนดิน ทำให้มีคนเข้าใจเรามากขึ้น แต่เรื่องพวกนี้ก็ยังไม่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณให้ความสนใจพันธมิตรฯ มากนัก
จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ 7 หมื่นล้าน เพื่อที่จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจแล้วจะเล่นการเมืองเต็มตัว แต่เพราะความเห็นแก่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่ยอมเสียภาษี ทำให้พันธมิตรฯ มีภาคประชาชนและคนทุกชนชั้นทุกวงการสังคมเข้ามาร่วมกับพันธมิตรฯ จำนวนมาก จน พ.ต.ท.ทักษิณเกิดความกลัว และคิดแก้เกมด้วยการยุบสภา โดยหวังว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนที่เขาซื้อเอาไว้จะเลือกคนของกลับมาอีกในจำนวนที่มากกว่าเดิม ทำให้พวกประท้วงหยุดชุมนุม แต่เขาจัดเลือกตั้งแบบมัดมือชก พรรคการเมืองฝ่ายค้านเห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงบอยคอต ไม่ส่งลงสมัคร พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางเลือก ในบางเขตจึงจ้างพรรคนอมินีลงเลือกตั้ง และให้ กกต.ชุด 3 หนาช่วย แต่ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พ.ต.ท.ทักษิณจึงเสียพื้นที่ไปมาก และขอพักร้อน ให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ มารักษาการนายกฯ โดยที่เขายังสั่งได้
ขณะที่ ความขัดแย้งกับทหารก็รุนแรงขึ้น และ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไว้วางใจ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. รวมถึง พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะนั้น จึงพยายามโยกย้าย ไม่ให้ พล.ท.อนุพงษ์เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่ทำไม่ได้ จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก วางแผนว่าเมื่อกลับมาจะย้าย พล.อ.สนธิ และ พล.ท.อนุพงษ์ จึงเป็นที่มาของการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่ใช่การยึดอำนาจเพราะต้องการเข้าข้างประชาชน แต่ยึดอำนาจเพราะกลัวถูกย้าย พวกเขาไม่เคยเข้าข้างประชาชน นี่คือที่มาว่าช่วงหลังทหารจึงเอาใจนักการเมือง เพื่อไม่ให้ถูกย้าย เพราะการเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพนั้นมีผลประโยชน์มากมายจากการซื้ออาวุธ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.จึงไม่มีเจตนารมณ์ที่จะล้างระบอบทักษิณอย่างแท้จริง พล.อ.สนธิและ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องมาในปี 2551 พลงอ.สนธิไม่ได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติด้วยความเต็มใจ ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เข้ามาแค่ให้ผ่านพ้นไปให้ตัวเองเป็นนายกฯ เท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าไร้เดียงสาทางการเมือง โง่อย่างบริสุทธิ์ หรือฉลาดแกมโกง จึงไม่เข้าใจว่าระบอบทักษิณฝังลงลึกถึงรากหญ้า และชอนไชเข้าไปในระบบราชการ ทหาร ตำรวจ จึงทำแค่ยึดอำนาจไว้เฉยๆ พล.อ.สุรยุทธ์ก็ปล่อยเกียร์ว่าง ประเทศไทยจึงไม่ไปไหน ระบอบทักษิณยังคงอยู่ แค่เปลี่ยนรัฐมนตรีที่มาทำมาหากินต่อเนื่องจากระบอบทักษิณเท่านั้น เช่น กระทรวงคมนาคม มีรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนที่ตั้งใจทำงาน เช่น นายสิทธิไชย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที ที่ให้กฤษฎีกาตีความสัญญาสัมปทานดาวเทียมของชินแซตว่าถูกต้องหรือไม่ แต่มีผู้ใหญ่ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ โทร.ไปบอกกฤษฎีกาว่าอย่าตีความ ไม่เช่นนั้นสัญญากับชินแซตจะถูกยกเลิก
นายสนธิกล่าวย้อนไปว่า พันธมิตรฯ ตั้งใจจะชุมนุมในวันที่ 20 ก.ย.2549 แต่ทหารชิงยึดอำนาจโดยอ้างว่าจะมีการนองเลือด แต่พอปีนี้พันธมิตรฯ ถูกฆ่าตายไป 8 คน บาดเจ็บอีก 700 กว่าคน ทหารกลับทำเฉย แสดงว่าเขาทำอะไรแค่ตามใจตัวเอง ไม่มีหลักการอะไรเลย หลังการยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย.ก็เร่งให้มีการเลือกตั้งตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ เพราะมั่นใจว่าจะได้กลับเข้ามาอีก และสามารถใช้อำนาจรัฐทำให้ตัวเองพ้นผิดได้ ตอนนั้นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงชมเชย พล.อ.สุรยุทธ์ และวางมัดจำไว้ตั้งแต่ตอนลงประชามติรัฐธรรมนูญ เพราะมีเงินตุนไว้เยอะตั้งแต่ก่อนถูกยึดอำนาจ สามารถจ่ายเงินให้คนในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ให้ดำเนินคดีและให้อยู่เฉยๆ เพื่อซื้อเวลารอการเลือกตั้งได้
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 นั้น ส่วนตัวรู้อยู่แล้วว่าพรรคพลังประชาชนจะได้ ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 เพราะเครือข่ายระบอบทักษิณยังอยู่พร้อม แม้แต่สื่อมวลชนก็ยังเป็นของเขาอยู่ เพราะแค่เอารายการยามเฝ้าแผ่นดินไปออกช่อง 11 ได้แค่ 11 วัน พล.อ.สุรยุทธ์ก็บอกให้เลิก เพราะการเอาปัญญาไปให้ประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการ เพราะถ้าประชาชนมีปัญญา พ.ต.ท.ทักษิณก็หลอกไม่ได้
ในที่สุด พรรคพลังประชาชนที่เป็นนอมินีของระบอบทักษิณก็เข้ามา ซึ่งปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ กกต. 2 ใน 5 คนถูกซื้อ กรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ถูกจับได้ว่าซื้อเสียง ตำรวจทำคดีส่งเรื่องพร้อมหลักฐานไปให้ ก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งสามารถให้ใบแดงได้ทันที และนายยงยุทธเป็นกรรมการบริหารพรรค สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคได้ ซึ่งถ้า กกต.ทำหน้าที่โดยไม่มีใครรับเงิน พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง การเมืองก็จะเปลี่ยนไป ไม่มีการชุมนุม ไม่มีคนตาย ไม่มีคนบาดเจ็บ 700 กว่าคน เพราะจริงๆ แล้วพวกเรารักสงบ การชุมนุมไม่ใช่เรื่องสุก เราไม่อยากไปนอนกลางดินกินกลางทราย หรือไปเสียงกับการถูกยิง
นายสนธิย้ำว่า ความเสียหายในบ้านเมืองทั้งหมดเป็นเพราะ กกต.ไม่ส่งเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนก่อน ทำให้เหตุการณ์บานปลายกว่าจะยุบพรรคได้ ก็เดือนธันวาคม 2551 หรือ 12 เดือนผ่านไป บ้านเมืองฉิบหายไปขนาดไหน นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ามาเป็นนายกฯ ปู้ยี่ปู้ยำประเทศไปขนาดไหน ความเสียหายตลอด 12 เดือนนี้ไม่ควรเกิด ชาติบ้านเมืองไม่ควรจะพินาศ ไม่ควรมีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง สังคมควรจะสงบ ชาติบ้านเมืองควรมิจริยธรรม และเดินหน้าต่อไปได้
แต่เป็นเพราะ กกต. 2 คนที่ระบอบทักษิณใช้เงินซื้อ ทำให้การเลือกตั้งผ่านไป จนนายสมัครได้เป็นนายกเพื่อที่จะลบภาพความไม่จงรักภักดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้เป็น รมว.มหาดไทยเพราะไปสัญญากับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะปรายพันธมิตรฯ ให้ จนในที่สุดมีกระบวนการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พันธมิตรฯ จึงต้องเรียกชุมนุมเดือน พ.ค.51 ซึ่งไม่ใช่การชุมนุมด้วยความไร้สาระ มีการออกแถลงการณ์ถึง 9 ฉบับ เพราะรัฐบาลนายสมัครเริ่มทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่ย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม ออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมดีเอสไอ เอาคนของตัวเองมาทำคดีเอสซีแอสเสท ย้ายตำรวจที่ทำคดีนายยงยุทธ และจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พันธมิตรฯ จึงต้องประท้วง เพราะถ้าไม่ประท้วงคงแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณก็จะไม่ผิด 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองก็กลับมาได้
นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจากชุมนุม การต่อสู้ของภาคประชาชนเข้มข้นขึ้น ประชาชนเห็นว่าเราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และการเมืองแบบที่ พ.ต.ท.ทักษิณเล่นไม่ควรนำมาใช้อีก นั่นคือที่มาของ ประชาภิวัตน์ และการเมืองใหม่ ซึ่งเราไม่ขัดข้องถ้าทหารจะปฏิวัติแต่อย่าทำแบบ พล.อ.สนธิ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. จะต้องเปลี่ยนแปลง ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และผิดก็ต้องเป็นผิด ถูกก็ต้องเป็นถูก ซึ่งเมื่อเราเรียกร้อง ทหารที่คุมอำนาจอยู่ ก็กลัวการเมืองใหม่ กลัวถุกตรวจสอบเข้มข้นกว่าเดิม การซื้ออาวุธ หรือโครงการก่อสร้างต่างๆ ก็รับเงินไม่สะดวก ทหารจึงพอใจที่จะเล่นการเมืองเก่า ด้วยเหตุนี้ กระบวนการเปลี่ยนขั้วจึงเกิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้านายเก่า พล.อ.อนุพงษ์ จึงได้มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อให้ พล.อ.อนุพงษ์ยังอยู่ที่เก่าได้โดยไม่มีใครมาย้าย นี่คือการเมืองเก่าที่เขาพอใจ
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า ถึงตอนนี้ ยังให้โอกาสนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าไม่สำเร็จจะพิสูจน์บทสุดท้ายว่าการเมืองเก่าไปไมได้ แม้ได้พรรคการเมืองน้ำดีมาเป็นรัฐบาลแต่มันไปไม่ได้ เพราะมันเน่าเละเทะแล้ว แต่ตอนนี้ เราอย่าไปต่อต้านนายอภิสิทธิ์ที่มีความตั้งใจ มีชาติวุฒิดี คุณวุฒิดี ควรเปิดโอกาสให้เขาทำงาน
นายสนธิ ย้ำว่า ถ้าไม่มี193 วันที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ ก็ไม่รู้ว่าศาลจะอ่านคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชนออกมาเมื่อไหร่ การประท้วงทำให้ศาลเห็นว่าบ้านเมืองอยู่ในวิกฤติ ท่านต้องรีบแก้ไข ซึ่งถ้าไม่มีพันธมิตรฯประท้วง ศาลก็สบายๆ และถ้าไม่มีพันธมิตรฯ สั่งคมก็ไม่รู้ว่า กกต.บางคนคอร์รัปชั่น สังคมไทยวันนี้มอง กกต.ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย โดยเฉพาะล่าสุด กรณี ส.ส.สัดส่วนของพรรคที่ถูกยุบ ควรสิ้นสุดสมาชิกภาพหรือไม่ ซึ่ง กกต.จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ไม่ยอมส่ง อ้างว่าให้ ส.ส.ส่งเรื่องเอง ซึ่งคงไม่มีใครส่ง เพราะโจรคงไม่ส่งตัวเองไปให้ตำรวจ ทั้งนี้ ถ้ามีการให้สิ้นสุดสมาชิกภาพด้วย ส.ส.สัดส่วนจะหายไป 100 กว่าคน และให้พรรคที่เหลืออยู่เลื่อนลำดับขึ้นมา แต่เมื่อ กกต.ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะบริสุทธิ์ยุติธรรม และไว้ใจได้อย่างไร ด้วยเหตนี้พลังของพันธมิตรฯ จึงยัง ต้องคงอยู่เหมือนตอนนี้
นายสนธิ กล่าวอีกว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเป็น 3 เดือนที่วิกฤติ เราต้องใก้กำลังใจนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อพ้น 3 เดือนไปแล้ว ค่อยมาประเมินอีกที แต่ตนและแกนนำพันธมิตร คงไม่เล่นการเมือง แม้ว่าหลายคนไม่ว่าจะเป็นนายเทิดภูมิ ใจดี นายประพันธ์ คูณมี นายสุริยะใส กตะศิลา อยากตั้งพรรค แต่ตนมองว่า การเมืองไม่เข้าใครออกใคร เมื่อเข้าไปเล่นแล้วถึงจุดหนึ่งเมื่อมีเสียงสัก 60-70 เสียงก็จะอยากเป็นรัฐบาลมีตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ใครจะเล่น ก็ไม่ขัด แต่ขอให้เก็บตน พล.ต.จำลอง นายพิภพ และนายสมศักดิ์ เอาไว้ อย่างน้อยที่สุดยังมีบ้านที่อบอุ่น บ้านแห่งความเที่ยงตรงและศีลธรรมจริยธรรมเก็บเอาไว้ วันหน้า หลังจากออกไปข้างนอกแล้วเกิดอกหักหรือเจ็บตัว คิดถึงบ้านหลังเก่าก็ยังกลับมาได้
นายสนธิกล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะยังไม่มีหยุด มีคนบอกว่าวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินน้อยลง เหลืออยู่เพียง 500 ล้านเหรียญ เพราะเจ๊งหุ้น 5,000 ล้านเหรียญ และถูกรัฐบาลอังกฤษอายัด 4,000 ล้านเหรียญ รวมแล้ว 9,000 ล้านเหรียญคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่ามีธุรกิจแค่ชินคอร์ปฯ ซึ่งขายได้ 7 หมื่นกว่าล้าน แล้ว 3 แสนล้านเอามาจากไหน ถ้าไม่ใช่โกงบ้านโกงเมือง แสดงว่ายุค พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ เงินของประเทศชาติหายไป 3 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้สร้างโรงเรียนได้กี่แห่ง ถ้าเอาไปสร้างรถไฟรางคู่ทั่วประเทศไทย ก็จะอำนาจความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ขนส่งสินค้าเกษตร ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นอย่างมหาศาล
ดังนั้น จึงอยากให้คนเสื้อแดง หรือคนที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ คิดเรื่องนี้ด้วยว่าเงิน 3 แสนล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณเอามาจากไหน หรือแม้แต่ 500 ล้านเหรียญนั้น ก็เอามาจากไหน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณถูกอายัดทรัพย์อยู่ไม่ใช่หรือ
ในช่วงท้ายของการปราศรัย นายสนธิ ได้ฝากบอกไปถึงกัปตันการบินไทยที่ชื่อ “ศิริเดช” ที่ได้เรียกลูกเรือมาประชุมเพื่อบอกให้ทุกคนเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าเป็นคนน่าสงสารต้องเร่ร่อนพเนจร เพราะคนๆ หนึ่ง ซึ่งคำพูดของกัปตันคนดังกล่าวจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรง ต่อหน้าคน ตนมีพยาน
“ถ้าคุณศิริเดชไม่หยุด ผมจะบุกไปที่การบินไทย ไปประจัญหน้าคุณ ผมจะเอาเรื่องคุณ จะชี้หน้าคุณว่า คุณไม่ควรเป็นคนไทยแม้แต่นิดเดียว”นายสนธิกล่าว
อนึ่ง หลังจากนายสนธิ กล่าวเปิดใจแล้ว มีการคั่นรายการด้วยการแสดงดนตรีสดของวง"โฮป แฟมิลี่"โดย "สุเทพ ถวัลย์วิวัฒนูกุล" พร้อมภรรยา และน้องลูกโซ่-ลูกศร หลังจากนั้นในช่วงสุดท้ายของรายการ นายสนธิ ได้เล่าถึงชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัวตั้งแต่วัยเด็ก การเรียนหนังสือ การทำงาน การทำธุรกิจซึ่งมีทั้งช่วงที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ช่วงที่ประสบปัญหาถึงขั้นล้มละลาย การต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยการเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง การเลี้ยงลูก ซึ่งทั้งหมดทำให้เห็นภาพความเป็นตัวตนของ"สนธิ ลิ้มทองกุล" ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้เวลาในการสนทนากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่จะร่วมนับถอยหลังสู่ปีใหม่ร่วมกับผู้ชมในห้องส่ง