พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จอมโมฆบุรุษ (โมฆะ แปลว่า เปล่า, ใช้ไม่ได้, ไม่มีแก่นสาร, ไร้ประโยชน์, โง่เขลา) นักโทษผู้หลบหนีอาญาแผ่นดิน ได้สำรอกออกมาว่า “ผมถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของกลุ่มชนชั้นนำ ผู้มีอภิสิทธิ์ที่เชื่อในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย เพราะผมนำเสนอหลักการประชาธิปไตยเสรีที่ส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิของคนยากคนจนของประเทศ”
ผู้เขียนยกประเด็นดังกล่าวข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณทักษิณ พูดออกมาจากรากเหง้าแห่งความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง แม้คุณทักษิณ จะพูดผิดเสียหายร้ายแรงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนฟังและเชื่อ ทั้งนี้เพราะคุณทักษิณได้รับการหล่อหลอม มีชีวิต แนวคิดอยู่ภายใต้การปกครองเผด็จการมาทั้งชีวิต คุณทักษิณจึงฉลาดแกมโกง ฉลาดที่จะเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชนมาตลอด ดุจดังปลาร้ายที่อยู่ในบ่อน้ำเน่า ฉันใด คุณทักษิณก็เป็นเช่นนั้น ผู้ที่เป็นนักปราชญ์มีอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะลุกขึ้นมาต่อต้านคุณทักษิณ ส่วนพวกที่คิดเอาเปรียบประชาชน โกงกินชาติ ปล้นแผ่นดินจะสนับสนุน พวกเขาเชิดชูจงรักภักดีคุณทักษิณยิ่งกว่าสิ่งใดในแผ่นดิน แล้วพวกเขาอ้างคำเดียวว่า เป็นประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง (แท้จริงพวกเขาลงทุนซื้อเสียง แล้วโกงกินชาติเอาทุนคืนได้กำไรอีกหลายเท่าตัว) ทั้งนี้ประชาชนไทยเองต่างก็ถูกหล่อหลอมมาจากการปกครองแบบเผด็จการเช่นเดียวกัน จึงหาได้มองเห็นความเลวร้ายนั่นไม่
คุณทักษิณ และพวกพ้อง ล้วนเข้าใจผิดโดยคิดว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย ดังเช่น คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น คนเหล่านี้ พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า “พวกเรามาจากระบอบประชาธิปไตยๆๆๆ” มันเห็นชัดว่า พวกเขามีความเห็นผิด จึงคิดผิด พูดผิด และทำผิด สร้างความหายนะให้กับประเทศชาติอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ทั้งนี้เพราะพวกผู้ปกครองต่างได้สืบทอดความเห็นผิดสืบเนื่องกันมา 76 ปี เขามีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง โดยปราศจากการฉุกคิดอันเป็นเหตุแห่งการทำลายสร้างความหายนะให้กับชาติ อย่างน้อย 5 ประเด็นหลักๆ ได้แก่
1) พวกเขามีความเห็นผิดเรื่องสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับวิธีการปกครอง (หมวดและมาตราต่างๆ)
2) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญ คือ การสร้างระบอบประชาธิปไตย
3) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ระบอบประชาธิปไตย
4) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าระบบรัฐสภา คือ ระบอบประชาธิปไตย
5) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าการเลือกตั้ง คือ ระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ
เหตุแห่งความล่มสลายของชาติคือความเห็นผิดนี่เอง แท้จริงคือการที่ประเทศไทยไร้หลักการปกครองหรือหลักธรรมการปกครองอันถูกต้องมายาวนาน จึงเป็นเหตุแห่งความมิจฉาทิฐิขัดแย้ง แตกแยกแตกความสามัคคี ดังตัวอย่างในรัฐสภาไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันจะเห็นการตัดสินปัญหาปัญหาใดๆ โดยใช้มติเสียงข้างมากเป็นที่ตั้ง จึงกลายเป็นพวกมากลากไป พาพินาศ ดังนั้นการเมืองไทยคุณทักษิณ เขารู้ เขาจึงทุ่มทุนซื้อเสียงให้ได้เสียงมากไว้ก่อนจึงจะเข้าไปมีอำนาจได้ ถึงแม้จะฉ้อฉลอย่างไรก็ตาม
ด้วยเหตุที่การปกครองไทยไม่เคยมีหลักการปกครองมายาวนาน 76 ปี นี่เอง จึงเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง จึงทำให้รัฐบาลไทยทุกชุดที่ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ล้วนแล้วต้องล้มเหลว นำประเทศชาติและประชาชนเข้าสู่ความเสื่อมโทรมล้มเหลวซ้ำรอยเช่นเดียวกับรัฐบาลในอดีต และจะต้องล้มเหลวไปเรื่อยๆ จนกว่าบ้านเมืองจะพินาศเกิดมิคสัญญีบนความขัดแย้งระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้ว คือ
1) เผด็จการรัฐธรรมนูญโดยการเลือกตั้งแบบซื้อเสียง ซื้ออำนาจเพื่อเข้ามาโกงชาติบ้านเมือง
2) เผด็จรัฐประหาร กองทัพทนเห็นการโกงกิน ปู้ยี้ปู้ยำ ปล้นชาติไม่ไหวลุกขึ้นมาทำรัฐประหาร
ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่ผู้นำกองทัพทำรัฐประหารแล้ว ก็กลับไปเริ่มต้นร่างรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิกันใหม่ เช่นเดิม
แต่ถ้าผู้นำกองทัพได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อทำรัฐประหารแล้ว ก่อนสิ่งใดทั้งหมด คือ ทรงมีพระราชกรณีย์อันถูกต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ในการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพียงเท่านี้ กองทัพก็จะนำพาประเทศชาติให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์เหตุแห่งความหายนะของชาติในทันที และจะเปลี่ยนการทำรัฐประหาร ไปเป็นการทำปฏิวัติการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม นำมาซึ่งความสามัคคี มั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองก้าวอย่างยิ่งใหญ่ของชาติ
มันได้พิสูจน์ชัด คณะผู้ปกครองเห็นผิดในการจัดสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง
จากการศึกษาวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้ง 18 ฉบับ ไม่มีด้านหลักการปกครอง มีแต่เฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ หรืออาจจะพูดได้ว่าพวกเขานำเอาวิธีการปกครอง มาแทนหลักการปกครอง เอาด้านทุติภูมิมาเป็นด้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการจัดความสัมพันธ์ที่คลาดไปจากธรรมโดยสิ้นเชิง ดูรูป
ถ้าผู้ใหญ่ผู้เป็นเสาหลักของชาติ สถาปนาหลักการปกครองเสียก่อน เพียงแค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นทางการเมืองที่ถูกต้องแล้ว การที่ผู้ปกครองรุ่นเก่าๆ สร้างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย ก็เห็นกันชัดๆ กันอยู่แล้วว่าล้มเหลว ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก ล้มเหลวอย่างซ้ำๆ ซากๆ
ในเมื่อเราเห็นชัดว่า ประเทศไทยไม่มีหลักการปกครองหรือระบอบโดยธรรม มีแต่รัฐธรรมนูญ อันเป็นเพียงวิธีการปกครองอย่างหนึ่งเท่านั้น เราก็เห็นชัดว่า พรรคการเมืองต่างๆ เมื่อเข้ามาบริหารประเทศไม่ได้ บริหารประเทศล้มเหลว ทั้งนี้เพราะมันล้มเหลวมาแล้วตั้งแต่เบื้องต้น เรารู้ชัดว่าพรรคการเมืองใดๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ จะมีแต่ความล้มเหลว เพราะพรรคเหล่านี้ล้วนเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในขบวนการมิจฉาทิฐิ (Wrong View Process) นั่นเอง
ในมุมมองของกฎธรรมชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือกฎอิทัปปจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนี้เป็นผล” เหตุต้องมาก่อนผลเสมอไป
เราได้พิสูจน์ให้ดู ในการคิดแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ และอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ สามารถพิจารณาได้จากกฎอิทัปปจจยตา หรือกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุปัจจัย ดังนี้
ความเห็นถูกต้อง ย่อมเป็นเหตุให้สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ระบอบ)
หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดรัฐธรรมนูญโดยธรรม
รัฐธรรมนูญโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองโดยธรรม
การปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดระบบเศรษฐกิจโดยธรรม
ระบบเศรษฐกิจโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สังคม การศึกษา วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของประชาชนถูกต้องดีงามเป็นลำดับไป
แต่เมื่อสภาพการเมืองไทย ผู้ปกครองมิจฉาทิฐิ ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ พรรคการเมือง รัฐบาล การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ก็พลอยผิด เป็นมิจฉาทิฐิ ยุ่งเหยิงไปด้วยทั่วทั้งแผ่นดิน เพราะอยู่ในกระบวนการเดียวกัน
เมื่อปัญญาเกิดแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดเลย ที่จะไปขัดแย้งกับใคร หรือฝ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อนมนุษย์มิใช่ศัตรู เราจะมีแต่ปัญญา เมตตา บริสุทธิ์ มาร่วมมือแก้ไขเหตุวิกฤตบ้านเมืองอย่างมีหลักวิชาสัมมาทิฐิตามหลักและวิธีคิดในพระพุทธศาสนาอย่างสันติธรรมเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าและช่วยกันสร้างเสริมพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” ให้เป็นจริงทางการเมืองให้จงได้ ในเร็ววัน หรือจะให้มิจฉาทิฐิ ท่วมทับ ทับถมซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไปเช่นนั้นหรือ
ผู้เขียนยกประเด็นดังกล่าวข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณทักษิณ พูดออกมาจากรากเหง้าแห่งความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง แม้คุณทักษิณ จะพูดผิดเสียหายร้ายแรงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนฟังและเชื่อ ทั้งนี้เพราะคุณทักษิณได้รับการหล่อหลอม มีชีวิต แนวคิดอยู่ภายใต้การปกครองเผด็จการมาทั้งชีวิต คุณทักษิณจึงฉลาดแกมโกง ฉลาดที่จะเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชนมาตลอด ดุจดังปลาร้ายที่อยู่ในบ่อน้ำเน่า ฉันใด คุณทักษิณก็เป็นเช่นนั้น ผู้ที่เป็นนักปราชญ์มีอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะลุกขึ้นมาต่อต้านคุณทักษิณ ส่วนพวกที่คิดเอาเปรียบประชาชน โกงกินชาติ ปล้นแผ่นดินจะสนับสนุน พวกเขาเชิดชูจงรักภักดีคุณทักษิณยิ่งกว่าสิ่งใดในแผ่นดิน แล้วพวกเขาอ้างคำเดียวว่า เป็นประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง (แท้จริงพวกเขาลงทุนซื้อเสียง แล้วโกงกินชาติเอาทุนคืนได้กำไรอีกหลายเท่าตัว) ทั้งนี้ประชาชนไทยเองต่างก็ถูกหล่อหลอมมาจากการปกครองแบบเผด็จการเช่นเดียวกัน จึงหาได้มองเห็นความเลวร้ายนั่นไม่
คุณทักษิณ และพวกพ้อง ล้วนเข้าใจผิดโดยคิดว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย ดังเช่น คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น คนเหล่านี้ พูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า “พวกเรามาจากระบอบประชาธิปไตยๆๆๆ” มันเห็นชัดว่า พวกเขามีความเห็นผิด จึงคิดผิด พูดผิด และทำผิด สร้างความหายนะให้กับประเทศชาติอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ทั้งนี้เพราะพวกผู้ปกครองต่างได้สืบทอดความเห็นผิดสืบเนื่องกันมา 76 ปี เขามีความเห็นผิดอย่างร้ายแรง โดยปราศจากการฉุกคิดอันเป็นเหตุแห่งการทำลายสร้างความหายนะให้กับชาติ อย่างน้อย 5 ประเด็นหลักๆ ได้แก่
1) พวกเขามีความเห็นผิดเรื่องสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับวิธีการปกครอง (หมวดและมาตราต่างๆ)
2) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญ คือ การสร้างระบอบประชาธิปไตย
3) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ระบอบประชาธิปไตย
4) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าระบบรัฐสภา คือ ระบอบประชาธิปไตย
5) พวกเขามีความเห็นผิดโดยเข้าใจว่าการเลือกตั้ง คือ ระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ
เหตุแห่งความล่มสลายของชาติคือความเห็นผิดนี่เอง แท้จริงคือการที่ประเทศไทยไร้หลักการปกครองหรือหลักธรรมการปกครองอันถูกต้องมายาวนาน จึงเป็นเหตุแห่งความมิจฉาทิฐิขัดแย้ง แตกแยกแตกความสามัคคี ดังตัวอย่างในรัฐสภาไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันจะเห็นการตัดสินปัญหาปัญหาใดๆ โดยใช้มติเสียงข้างมากเป็นที่ตั้ง จึงกลายเป็นพวกมากลากไป พาพินาศ ดังนั้นการเมืองไทยคุณทักษิณ เขารู้ เขาจึงทุ่มทุนซื้อเสียงให้ได้เสียงมากไว้ก่อนจึงจะเข้าไปมีอำนาจได้ ถึงแม้จะฉ้อฉลอย่างไรก็ตาม
ด้วยเหตุที่การปกครองไทยไม่เคยมีหลักการปกครองมายาวนาน 76 ปี นี่เอง จึงเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง จึงทำให้รัฐบาลไทยทุกชุดที่ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ล้วนแล้วต้องล้มเหลว นำประเทศชาติและประชาชนเข้าสู่ความเสื่อมโทรมล้มเหลวซ้ำรอยเช่นเดียวกับรัฐบาลในอดีต และจะต้องล้มเหลวไปเรื่อยๆ จนกว่าบ้านเมืองจะพินาศเกิดมิคสัญญีบนความขัดแย้งระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้ว คือ
1) เผด็จการรัฐธรรมนูญโดยการเลือกตั้งแบบซื้อเสียง ซื้ออำนาจเพื่อเข้ามาโกงชาติบ้านเมือง
2) เผด็จรัฐประหาร กองทัพทนเห็นการโกงกิน ปู้ยี้ปู้ยำ ปล้นชาติไม่ไหวลุกขึ้นมาทำรัฐประหาร
ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่ผู้นำกองทัพทำรัฐประหารแล้ว ก็กลับไปเริ่มต้นร่างรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิกันใหม่ เช่นเดิม
แต่ถ้าผู้นำกองทัพได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อทำรัฐประหารแล้ว ก่อนสิ่งใดทั้งหมด คือ ทรงมีพระราชกรณีย์อันถูกต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ในการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม คือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพียงเท่านี้ กองทัพก็จะนำพาประเทศชาติให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์เหตุแห่งความหายนะของชาติในทันที และจะเปลี่ยนการทำรัฐประหาร ไปเป็นการทำปฏิวัติการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม นำมาซึ่งความสามัคคี มั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองก้าวอย่างยิ่งใหญ่ของชาติ
มันได้พิสูจน์ชัด คณะผู้ปกครองเห็นผิดในการจัดสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง
จากการศึกษาวิจัยพบว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยทั้ง 18 ฉบับ ไม่มีด้านหลักการปกครอง มีแต่เฉพาะด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ หรืออาจจะพูดได้ว่าพวกเขานำเอาวิธีการปกครอง มาแทนหลักการปกครอง เอาด้านทุติภูมิมาเป็นด้านปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการจัดความสัมพันธ์ที่คลาดไปจากธรรมโดยสิ้นเชิง ดูรูป
ถ้าผู้ใหญ่ผู้เป็นเสาหลักของชาติ สถาปนาหลักการปกครองเสียก่อน เพียงแค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นทางการเมืองที่ถูกต้องแล้ว การที่ผู้ปกครองรุ่นเก่าๆ สร้างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย ก็เห็นกันชัดๆ กันอยู่แล้วว่าล้มเหลว ล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก ล้มเหลวอย่างซ้ำๆ ซากๆ
ในเมื่อเราเห็นชัดว่า ประเทศไทยไม่มีหลักการปกครองหรือระบอบโดยธรรม มีแต่รัฐธรรมนูญ อันเป็นเพียงวิธีการปกครองอย่างหนึ่งเท่านั้น เราก็เห็นชัดว่า พรรคการเมืองต่างๆ เมื่อเข้ามาบริหารประเทศไม่ได้ บริหารประเทศล้มเหลว ทั้งนี้เพราะมันล้มเหลวมาแล้วตั้งแต่เบื้องต้น เรารู้ชัดว่าพรรคการเมืองใดๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ จะมีแต่ความล้มเหลว เพราะพรรคเหล่านี้ล้วนเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในขบวนการมิจฉาทิฐิ (Wrong View Process) นั่นเอง
ในมุมมองของกฎธรรมชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือกฎอิทัปปจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนี้เป็นผล” เหตุต้องมาก่อนผลเสมอไป
เราได้พิสูจน์ให้ดู ในการคิดแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ และอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ สามารถพิจารณาได้จากกฎอิทัปปจจยตา หรือกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุปัจจัย ดังนี้
ความเห็นถูกต้อง ย่อมเป็นเหตุให้สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (ระบอบ)
หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดรัฐธรรมนูญโดยธรรม
รัฐธรรมนูญโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองโดยธรรม
การปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดระบบเศรษฐกิจโดยธรรม
ระบบเศรษฐกิจโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สังคม การศึกษา วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตของประชาชนถูกต้องดีงามเป็นลำดับไป
แต่เมื่อสภาพการเมืองไทย ผู้ปกครองมิจฉาทิฐิ ระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ พรรคการเมือง รัฐบาล การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ก็พลอยผิด เป็นมิจฉาทิฐิ ยุ่งเหยิงไปด้วยทั่วทั้งแผ่นดิน เพราะอยู่ในกระบวนการเดียวกัน
เมื่อปัญญาเกิดแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดเลย ที่จะไปขัดแย้งกับใคร หรือฝ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อนมนุษย์มิใช่ศัตรู เราจะมีแต่ปัญญา เมตตา บริสุทธิ์ มาร่วมมือแก้ไขเหตุวิกฤตบ้านเมืองอย่างมีหลักวิชาสัมมาทิฐิตามหลักและวิธีคิดในพระพุทธศาสนาอย่างสันติธรรมเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าและช่วยกันสร้างเสริมพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” ให้เป็นจริงทางการเมืองให้จงได้ ในเร็ววัน หรือจะให้มิจฉาทิฐิ ท่วมทับ ทับถมซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไปเช่นนั้นหรือ