คนไทยคงจะตระหนักดีถึงฤทธิ์เดชของทุนนิยมเสรี ซึ่งมีอายุครบ 29 ปี ในปี 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยต้องจำได้ถึงการล่มสลายทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2540 อันเป็นผลมาจากการเปิดเสรีทางการเงิน เพราะเชื่อฝรั่งว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียอาคเนย์ บัดนี้ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของลัทธิอนุรักษนิยมใหม่ หรือทุนนิยมเสรีได้เผชิญกับความล่มสลายทางเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่จะได้รับทราบความคิดเห็นของนักวิชาการระดับสูง 2 คนของสหรัฐฯ ในเรื่องดังกล่าว
ฟรานซิส ฟูกูยามา เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ปัจจุบันเขาเป็นศาสตราจารย์ด้าน International Political Economy ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ หลังยุคสงครามเย็นเขาเขียนหนังสือที่โด่งดังชื่อ “จุดจบของประวัติศาสตร์ (The End of History) ในทศวรรษ 1980 (2523) เขาทำงานกับ ปธน.โรนัล เรแกน ซึ่งอยู่ในกลุ่มนีโอคอนเซอร์เวทีฟ หรือกลุ่มอนุรักษนิยมใหม่ ซึ่งนิยมชมชื่นลัทธิการค้าเสรีอย่างสุดขั้ว หลังจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เผชิญวิกฤตขนาดหนัก เมื่อกลางปี 2551 เขาได้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตที่เกิดขึ้นดังนี้
“ในปี 2523 หลังจากได้รับเลือกตั้งเป็น ปธน. โรนัล เรแกน ได้เริ่มภิวัตน์หรือผลักดันหลักการ 2 หลักการไปทั่วโลก นั่นคือลัทธิการค้าเสรีและการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย โดยกระตุ้นให้ชาวโลกเชื่อว่าหลักการทั้งสองจะนำมาซึ่งความมั่นคง ความมั่งคั่งและระเบียบโลกใหม่ในระดับสากล องค์ประกอบของการค้าเสรีคือการเปิดเสรีทางการค้า การเงินและการลงทุน ลดกฎระเบียบและการควบคุม ลดขนาดและบทบาทของรัฐบาล แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ลดภาษีให้คนรวยด้วยความเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะกระตุ้นให้คนรวยลงทุนมากขึ้น นอกจากนั้นยังลดการให้ความช่วยเหลือของรัฐด้วย เช่น การช่วยเหลือด้านสุขภาพและการศึกษา
นอกจากอำนาจและอิทธิพลทางทหารซึ่งโจเซฟ ไนย์ ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรียกว่า “พลังแข็ง” (hard power) แล้วสหรัฐฯ ยังมี “พลังนุ่ม” (soft power) ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ในการเผยแพร่ และบีบทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามหลักการข้างต้นได้แก่ การศึกษา สื่อมวลชน (หนังสือ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ) สถานทูต และองค์กรระดับโลก เช่น ธนาคารโลก องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (จะกู้ต้องเปิดเสรี) องค์กรการค้าโลก และอื่นๆ ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ ระหว่างปี 2523-2533 เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างมากจนมีคำพูดในสหรัฐฯ ว่า “ความโลภเป็นสิ่งดี” (greed is good) อย่างไรก็ตาม ชาวยุโรปเรียกลัทธิเศรษฐกิจเสรีของสหรัฐฯ นี้ว่า “ทุนนิยมคาวบอย” (cowboy capitalism) หรือ “ผู้ชนะได้หมด” แต่ในที่สุด ทุนนิยมคาวบอยก็ล่มสลายและมีทีท่าว่าจะฉุดกระชากให้เศรษฐกิจของทั้งโลกต้องตกรางไปด้วยอย่างแน่นอน
สิ่งที่บอกเหตุแรกที่ชี้ให้เห็นความบกพร่องของการค้าเสรีคือกรณี “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี 2540-2541 เงินร้อนได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย อินโดนีเซียและเกาหลี ซึ่งเปิดเสรีด้านการเงินตามคำแนะนำและแรงบีบของสหรัฐฯ ทำให้เกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจแล้วเงินกู้ก็ไหลออกอย่างทันทีทันใด ประเทศเหล่านั้นก็ล่มสลาย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียและจีน ซึ่งควบคุมการไหลเข้าและออกของ “ทุน” อย่างเคร่งครัดก็รอดจากวิกฤตอย่างสง่างาม (ต่อมา มหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้รับการยืนตบมือแสดงความชื่นชมอย่างกึกก้องหลังการกล่าวสุนทรพจน์เรื่องความสำเร็จในการป้องกันวิกฤตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในการประชุม World Economic forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิส)
สิ่งบอกเหตุที่สอง คือการขาดดุลบัญชีกระแสรายวัน และดุลการค้าจำนวนมหาศาล (ขาดดุลกระแสรายวัน 699 แสนล้าน และขาดดุลการค้า 844 แสนล้านดอลลาร์ และมียอดหนี้รวมสูงกว่ายอดจีดีพีถึง 2.8 เท่า) ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนของเศรษฐกิจบริโภคนิยมแบบอเมริกัน และนำไปสู่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ในปี 2542-2544 ผลลบของการลดกฎระเบียบ (deregulation ) และการควบคุมด้านพลังงานส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนียพุ่งสูงขึ้น จนเกินจะควบคุมได้ และในปี 2547 บริษัทพลังงานขนาดยักษ์ชื่อ เอนรอนล้มละลายจากการฉ้อฉลของผู้บริหาร และด้วยความร่วมมือของบริษัทบัญชีชื่ออาร์เธอร์ แอนเดอร์สัน ตลอดสิบๆ ปีที่ผ่านมาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรุนแรง (รายได้เฉลี่ยของซีอีโอสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของพนักงาน 475 เท่า) ผู้ได้ประโยชน์คือคนรวย ในขณะที่รายได้สุทธิของคนอเมริกันโดยทั่วไปแทบจะไม่ขยับเลย (คนอเมริกันซึ่งหลงใหลบริโภคนิยมเป็นหนี้บัตรเครดิตสูงถึง 180 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ และมีหนี้ครัวเรือนๆ ละ 120,980 ดอลลาร์ หรือคนละ 46,000 ดอลลาร์) นั่นหมายความว่าคนชั้นกลางและคนจนกำลังจนลงเรื่อยๆ
การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย กลับล่มสลายไปก่อนการล่มสลายของเศรษฐกิจเสียอีก เพราะประชาธิปไตยถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการยึดครองประเทศอิรัก การทำเช่นนั้นทำให้ผู้คนในโลกเห็นว่าการส่งเสริมประชาธิปไตยของสหรัฐฯ เป็นเพียงลมปากในการหาประโยชน์เท่านั้น และนั่นทำให้การนำเอา “ยี่ห้ออเมริกา” ไปเปรียบเทียบกับระบบของรัสเซียหรือจีน การฟื้นฟูทั้งเศรษฐกิจและ “ยี่ห้ออเมริกา” จึงเป็นสิ่งที่เสมือนการเดินขึ้นเขาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างยิ่ง
“ยี่ห้ออเมริกา” คือระบอบประชาธิปไตยและความกระตือรือร้นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนระบอบนี้ทั่วโลก สหรัฐฯ ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยผ่านงานด้านการทูต การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหาร สื่อมวลชน ฯลฯ แต่ปัญหาก็คือการนำระบอบประชาธิปไตยไปอ้างว่าเป็นความชอบธรรมในการรุกรานและยึดครองอิรัก ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการในซาอุดีอาระเบีย ในตะวันออกกลางอีกหลายประเทศ ในเอเชียกลางและอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธรัฐบาลของกลุ่มฮามาส และเฮสบัลลาห์ซึ่งผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้น สหรัฐฯ ไม่ได้รับความเชื่อถือเลยเมื่อสหรัฐฯ เอ่ยอ้างถึง “เสรีภาพ” ยิ่งกว่านั้น “ยี่ห้ออเมริกา” ยังมัวหมองเพราะการทรมานนักโทษชาวอิรักที่คุกอาบูการิบของอิรัก (ผลการสอบสวนในภายหลังพบว่า นายโดนัล รัมสเฟล รมต.กลาโหม เป็นผู้ออกคำสั่ง) และหลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ ยังละเลยความเป็นธรรมที่คุกกวนตานาโม (เขตเช่าซึ่งเลิกจ่ายค่าเช่าไปนานแล้วในคิวบา) ด้วยข้ออ้างว่าไม่ต้องปฏิบัติกฎหมายนานาชาติที่ว่าด้วย “เชลยศึก” เพราะนักโทษที่นั่นเป็นเพียง “นักโทษนอกกฎหมาย” (รวมทั้งไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคติพจน์ของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ว่า “ความยุติธรรมที่เท่าเทียมภายใต้กฎหมาย” เพราะอยู่นอกประเทศด้วย)
การเมืองสหรัฐฯ และการเมืองโลกจะต้องเปลี่ยนแปลง ในสหรัฐฯ เอง การนำกฎระเบียบและการควบคุมกลับมาใช้เป็นความจำเป็นและกำลังขยายตัวในภาคเศรษฐกิจ การฟื้นตัวต้องพึ่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ต้องเลิกใช้ลัทธิเรแกน โดยเฉพาะการลดภาษีคนรวยและลดกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสาธารณะและสร้างขวัญและกำลังใจในภาครัฐด้วย สถาบันการเงินต้องการการควบคุมและชี้นำอย่างเข้มแข็ง ในระดับโลก สหรัฐฯ จะไม่มีโอกาสรื่นเริงกับการครอบงำโลกอีกต่อไป โอกาสที่สหรัฐฯ จะวางระเบียบโลกด้านเศรษฐกิจผ่านธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟจะลดลง และในหลายส่วนของโลก ความคิดและความเชื่อแบบอเมริกัน รวมทั้งคำแนะนำและความช่วยเหลือของสหรัฐฯ จะได้รับการต้อนรับน้อยลง”
นอกจากนายฟรานซิส ฟูกูยามาแล้ว นายพอล แอชเวิร์ท นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ ยังกล่าวในเวลาเดียวกันว่า “มันใช้เวลากว่า 20 ปีที่ทุนนิยมเสรีจะมาถึงจุดนี้ มันต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 ปีในการแก้ไข และเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ความเป็นปกตินั้นจะไม่ใช่ความเป็นปกติอย่างเดิม เราจะไม่มีเสรีภาพอย่างที่เราเคยมีทั้งในระดับครอบครัวและระดับธุรกิจ เราจะต้องอยู่อย่างอดออกมัธยัสถ์ สมถะ และเคร่งครัดในวินัย ในปี 2551 รัฐบาลที่เสพติด “งบประมาณขาดดุล” อย่างมหาศาลโดยอาศัยความปรานีของต่างชาติ (ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารกลางของจีนและญี่ปุ่น) ต้องอัดฉีดเงินอย่างน้อย 700,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ตลาดการเงินและธนาคาร และอีกกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ เจนเนอรัลมอเตอร์ ฟอร์ด และไครสเลอร์ในปี 2552 คาดว่างบประมาณสหรัฐฯ จะขาดดุลถึง 1.00 ล้านล้านดอลลาร์ ธนาคาร องค์กรทางการเงินและอุตสาหกรรมจำนวนมากจะย้อนกลับไปอยู่ในมือของรัฐบาล”
สำหรับผลกระทบอันเลวร้ายของทุนนิยมเสรีต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้น นาย Federico Mayor และนาย Jerome Binde อดีตผู้อำนวยการใหญ่ องค์การยูเนสโก้ และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และประเมินขององค์การดังกล่าว เปิดเผยในหนังสือที่เขาทั้งสองร่วมกันเขียนชื่อ The World Ahead : Our Future in the Making ว่า “ระหว่าง พ.ศ. 2523 ซึ่งเป็นปีที่นายโรแนล เรแกน ของสหรัฐฯ เริ่มผลักดันระบบทุนนิยมเสรีอย่างจริงจัง จนถึง พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตในทางเศรษฐกิจ มีเพียงประมาณ 15 ประเทศซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมเท่านั้นที่มีโอกาสรื่นเริงกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนอีกกว่า 100 ประเทศ ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ถดถอย หรือล่มสลาย (รัสเซีย แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา นิวซีแลนด์ ฯลฯ) ประชากรโลกกว่า 1,600 ล้านคน มีรายได้โดยเฉลี่ยต่ำลง และเกิดการขยายตัวของความแตกต่างด้านรายได้ระหว่างคน “มี” และ “ไม่มี” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์”
เอมี ชัว นักวิชาการชาวฟิลิปปินส์ เชื้อสายจีน ซึ่งทำงานอยู่ในสหรัฐฯ ได้เดินทางไปสำรวจเพื่อหาสาเหตุของวิกฤตในประเทศต่างๆ และสรุปไว้ในหนังสือของเธอชื่อ “โลกที่ลุกเป็นไฟ” หรือ World on Fire ว่า “ในแต่ละประเทศต่างก็มีคนกลุ่มน้อย (นายทุนขุนศึก) ที่มีอิทธิพลและควบคุมเศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากรของประเทศเอาไว้ส่วนใหญ่แล้ว เช่น ชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนผิวขาวในแอฟริกันใต้ และอเมริกาใต้ ชาวเลบานอนในแอฟริกาตะวันตก ชาวไอโบในไนจีเรีย ชาวโครแอตในอดีตเชคโกสโลวาเกีย และชาวยิวในรัสเซีย แต่ละประเทศเหล่านั้นยังคงสภาวะปกติอยู่ได้เพราะ “เลือด” ส่วนใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ แต่เมื่อเปิดเสรี “เลือด” ได้ถูกดูดไปโดยบริษัทข้ามชาติจำนวนมากเหมือนกับสมัยล่าอาณานิคม”...ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 51 อันดับ ใน 100 อันดับแรกของโลกคือ บริษัทข้ามชาติ จำนวนบริษัทของประเทศอุตสาหกรรมขยายตัวกว่า 1,000 เปอร์เซ็นต์ และขยายสาขากว่า 2,000 เปอร์เซ็นต์
นอกจากการขยายความแตกต่างด้านรายได้ของผู้คนทั่วโลกแล้ว ทุนนิยมเสรียังทำร้ายชาวอเมริกันชั้นกลางและชั้นล่างอย่างรุนแรงด้วย พอล เอ. เฮลเลอร์ จากกรุงวอชิงตัน เขียนจดหมายไปสะท้อนผลร้ายดังกล่าวในนิตยสาร “ไทม์” ฉบับ 3/11/51 ว่า “กว่า 20 ที่ชาวอเมริกันชั้นกลางและชั้นแรงงานต่างเห็นการส่งตำแหน่งงานจำนวนมากจากสหรัฐฯ ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ได้เห็นรายได้และเงินออมที่หดหาย รวมทั้งเห็นกองทุนเกษียณอายุและโครงการสุขภาพถูกปล้นโดยการลดและยกเลิกโครงการโดยบริษัทที่ล้มละลายหรือต้องควบรวมกัน ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันที่รวยที่สุด 400 คนกลับมีเงินและทรัพย์สินมากเท่ากับคนหลายสิบล้านคนรวมกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความโลภโมโทสัน และกิเลสของกลุ่มคนร่ำรวยที่ควบคุมประเทศสหรัฐฯ อยู่ในปัจจุบัน”
สุดท้ายนี้ ขอนำเสนอความคิดเห็นเมื่อหลายปีมาแล้วของ พอล ครุกแมน ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ปากกล้าของสหรัฐฯ ผู้ซึ่งเพิ่งได้ “รางวัลโนเบล” ทางเศรษฐศาสตร์มาหยกๆ ให้พิจารณาว่า “การค้าเสรีเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่ใช่ความเป็นจริงที่อนาคตของประเทศหนึ่งๆ จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของตลาดโลก” เขายังประกาศอีกว่า “จากการเฝ้าสังเกต สมมติฐานในเรื่องการค้าเสรีนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง”
ฟรานซิส ฟูกูยามา เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ปัจจุบันเขาเป็นศาสตราจารย์ด้าน International Political Economy ที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ หลังยุคสงครามเย็นเขาเขียนหนังสือที่โด่งดังชื่อ “จุดจบของประวัติศาสตร์ (The End of History) ในทศวรรษ 1980 (2523) เขาทำงานกับ ปธน.โรนัล เรแกน ซึ่งอยู่ในกลุ่มนีโอคอนเซอร์เวทีฟ หรือกลุ่มอนุรักษนิยมใหม่ ซึ่งนิยมชมชื่นลัทธิการค้าเสรีอย่างสุดขั้ว หลังจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เผชิญวิกฤตขนาดหนัก เมื่อกลางปี 2551 เขาได้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตที่เกิดขึ้นดังนี้
“ในปี 2523 หลังจากได้รับเลือกตั้งเป็น ปธน. โรนัล เรแกน ได้เริ่มภิวัตน์หรือผลักดันหลักการ 2 หลักการไปทั่วโลก นั่นคือลัทธิการค้าเสรีและการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย โดยกระตุ้นให้ชาวโลกเชื่อว่าหลักการทั้งสองจะนำมาซึ่งความมั่นคง ความมั่งคั่งและระเบียบโลกใหม่ในระดับสากล องค์ประกอบของการค้าเสรีคือการเปิดเสรีทางการค้า การเงินและการลงทุน ลดกฎระเบียบและการควบคุม ลดขนาดและบทบาทของรัฐบาล แปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ลดภาษีให้คนรวยด้วยความเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะกระตุ้นให้คนรวยลงทุนมากขึ้น นอกจากนั้นยังลดการให้ความช่วยเหลือของรัฐด้วย เช่น การช่วยเหลือด้านสุขภาพและการศึกษา
นอกจากอำนาจและอิทธิพลทางทหารซึ่งโจเซฟ ไนย์ ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรียกว่า “พลังแข็ง” (hard power) แล้วสหรัฐฯ ยังมี “พลังนุ่ม” (soft power) ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ในการเผยแพร่ และบีบทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามหลักการข้างต้นได้แก่ การศึกษา สื่อมวลชน (หนังสือ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ) สถานทูต และองค์กรระดับโลก เช่น ธนาคารโลก องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (จะกู้ต้องเปิดเสรี) องค์กรการค้าโลก และอื่นๆ ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ ระหว่างปี 2523-2533 เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างมากจนมีคำพูดในสหรัฐฯ ว่า “ความโลภเป็นสิ่งดี” (greed is good) อย่างไรก็ตาม ชาวยุโรปเรียกลัทธิเศรษฐกิจเสรีของสหรัฐฯ นี้ว่า “ทุนนิยมคาวบอย” (cowboy capitalism) หรือ “ผู้ชนะได้หมด” แต่ในที่สุด ทุนนิยมคาวบอยก็ล่มสลายและมีทีท่าว่าจะฉุดกระชากให้เศรษฐกิจของทั้งโลกต้องตกรางไปด้วยอย่างแน่นอน
สิ่งที่บอกเหตุแรกที่ชี้ให้เห็นความบกพร่องของการค้าเสรีคือกรณี “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี 2540-2541 เงินร้อนได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย อินโดนีเซียและเกาหลี ซึ่งเปิดเสรีด้านการเงินตามคำแนะนำและแรงบีบของสหรัฐฯ ทำให้เกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจแล้วเงินกู้ก็ไหลออกอย่างทันทีทันใด ประเทศเหล่านั้นก็ล่มสลาย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียและจีน ซึ่งควบคุมการไหลเข้าและออกของ “ทุน” อย่างเคร่งครัดก็รอดจากวิกฤตอย่างสง่างาม (ต่อมา มหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้รับการยืนตบมือแสดงความชื่นชมอย่างกึกก้องหลังการกล่าวสุนทรพจน์เรื่องความสำเร็จในการป้องกันวิกฤตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในการประชุม World Economic forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิส)
สิ่งบอกเหตุที่สอง คือการขาดดุลบัญชีกระแสรายวัน และดุลการค้าจำนวนมหาศาล (ขาดดุลกระแสรายวัน 699 แสนล้าน และขาดดุลการค้า 844 แสนล้านดอลลาร์ และมียอดหนี้รวมสูงกว่ายอดจีดีพีถึง 2.8 เท่า) ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนของเศรษฐกิจบริโภคนิยมแบบอเมริกัน และนำไปสู่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ในปี 2542-2544 ผลลบของการลดกฎระเบียบ (deregulation ) และการควบคุมด้านพลังงานส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าในแคลิฟอร์เนียพุ่งสูงขึ้น จนเกินจะควบคุมได้ และในปี 2547 บริษัทพลังงานขนาดยักษ์ชื่อ เอนรอนล้มละลายจากการฉ้อฉลของผู้บริหาร และด้วยความร่วมมือของบริษัทบัญชีชื่ออาร์เธอร์ แอนเดอร์สัน ตลอดสิบๆ ปีที่ผ่านมาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรุนแรง (รายได้เฉลี่ยของซีอีโอสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของพนักงาน 475 เท่า) ผู้ได้ประโยชน์คือคนรวย ในขณะที่รายได้สุทธิของคนอเมริกันโดยทั่วไปแทบจะไม่ขยับเลย (คนอเมริกันซึ่งหลงใหลบริโภคนิยมเป็นหนี้บัตรเครดิตสูงถึง 180 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ และมีหนี้ครัวเรือนๆ ละ 120,980 ดอลลาร์ หรือคนละ 46,000 ดอลลาร์) นั่นหมายความว่าคนชั้นกลางและคนจนกำลังจนลงเรื่อยๆ
การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย กลับล่มสลายไปก่อนการล่มสลายของเศรษฐกิจเสียอีก เพราะประชาธิปไตยถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการยึดครองประเทศอิรัก การทำเช่นนั้นทำให้ผู้คนในโลกเห็นว่าการส่งเสริมประชาธิปไตยของสหรัฐฯ เป็นเพียงลมปากในการหาประโยชน์เท่านั้น และนั่นทำให้การนำเอา “ยี่ห้ออเมริกา” ไปเปรียบเทียบกับระบบของรัสเซียหรือจีน การฟื้นฟูทั้งเศรษฐกิจและ “ยี่ห้ออเมริกา” จึงเป็นสิ่งที่เสมือนการเดินขึ้นเขาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างยิ่ง
“ยี่ห้ออเมริกา” คือระบอบประชาธิปไตยและความกระตือรือร้นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนระบอบนี้ทั่วโลก สหรัฐฯ ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยผ่านงานด้านการทูต การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหาร สื่อมวลชน ฯลฯ แต่ปัญหาก็คือการนำระบอบประชาธิปไตยไปอ้างว่าเป็นความชอบธรรมในการรุกรานและยึดครองอิรัก ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ สนับสนุนรัฐบาลเผด็จการในซาอุดีอาระเบีย ในตะวันออกกลางอีกหลายประเทศ ในเอเชียกลางและอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธรัฐบาลของกลุ่มฮามาส และเฮสบัลลาห์ซึ่งผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้น สหรัฐฯ ไม่ได้รับความเชื่อถือเลยเมื่อสหรัฐฯ เอ่ยอ้างถึง “เสรีภาพ” ยิ่งกว่านั้น “ยี่ห้ออเมริกา” ยังมัวหมองเพราะการทรมานนักโทษชาวอิรักที่คุกอาบูการิบของอิรัก (ผลการสอบสวนในภายหลังพบว่า นายโดนัล รัมสเฟล รมต.กลาโหม เป็นผู้ออกคำสั่ง) และหลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ ยังละเลยความเป็นธรรมที่คุกกวนตานาโม (เขตเช่าซึ่งเลิกจ่ายค่าเช่าไปนานแล้วในคิวบา) ด้วยข้ออ้างว่าไม่ต้องปฏิบัติกฎหมายนานาชาติที่ว่าด้วย “เชลยศึก” เพราะนักโทษที่นั่นเป็นเพียง “นักโทษนอกกฎหมาย” (รวมทั้งไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคติพจน์ของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ว่า “ความยุติธรรมที่เท่าเทียมภายใต้กฎหมาย” เพราะอยู่นอกประเทศด้วย)
การเมืองสหรัฐฯ และการเมืองโลกจะต้องเปลี่ยนแปลง ในสหรัฐฯ เอง การนำกฎระเบียบและการควบคุมกลับมาใช้เป็นความจำเป็นและกำลังขยายตัวในภาคเศรษฐกิจ การฟื้นตัวต้องพึ่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ต้องเลิกใช้ลัทธิเรแกน โดยเฉพาะการลดภาษีคนรวยและลดกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสาธารณะและสร้างขวัญและกำลังใจในภาครัฐด้วย สถาบันการเงินต้องการการควบคุมและชี้นำอย่างเข้มแข็ง ในระดับโลก สหรัฐฯ จะไม่มีโอกาสรื่นเริงกับการครอบงำโลกอีกต่อไป โอกาสที่สหรัฐฯ จะวางระเบียบโลกด้านเศรษฐกิจผ่านธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟจะลดลง และในหลายส่วนของโลก ความคิดและความเชื่อแบบอเมริกัน รวมทั้งคำแนะนำและความช่วยเหลือของสหรัฐฯ จะได้รับการต้อนรับน้อยลง”
นอกจากนายฟรานซิส ฟูกูยามาแล้ว นายพอล แอชเวิร์ท นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ ยังกล่าวในเวลาเดียวกันว่า “มันใช้เวลากว่า 20 ปีที่ทุนนิยมเสรีจะมาถึงจุดนี้ มันต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 ปีในการแก้ไข และเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ความเป็นปกตินั้นจะไม่ใช่ความเป็นปกติอย่างเดิม เราจะไม่มีเสรีภาพอย่างที่เราเคยมีทั้งในระดับครอบครัวและระดับธุรกิจ เราจะต้องอยู่อย่างอดออกมัธยัสถ์ สมถะ และเคร่งครัดในวินัย ในปี 2551 รัฐบาลที่เสพติด “งบประมาณขาดดุล” อย่างมหาศาลโดยอาศัยความปรานีของต่างชาติ (ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารกลางของจีนและญี่ปุ่น) ต้องอัดฉีดเงินอย่างน้อย 700,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ตลาดการเงินและธนาคาร และอีกกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ เจนเนอรัลมอเตอร์ ฟอร์ด และไครสเลอร์ในปี 2552 คาดว่างบประมาณสหรัฐฯ จะขาดดุลถึง 1.00 ล้านล้านดอลลาร์ ธนาคาร องค์กรทางการเงินและอุตสาหกรรมจำนวนมากจะย้อนกลับไปอยู่ในมือของรัฐบาล”
สำหรับผลกระทบอันเลวร้ายของทุนนิยมเสรีต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้น นาย Federico Mayor และนาย Jerome Binde อดีตผู้อำนวยการใหญ่ องค์การยูเนสโก้ และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และประเมินขององค์การดังกล่าว เปิดเผยในหนังสือที่เขาทั้งสองร่วมกันเขียนชื่อ The World Ahead : Our Future in the Making ว่า “ระหว่าง พ.ศ. 2523 ซึ่งเป็นปีที่นายโรแนล เรแกน ของสหรัฐฯ เริ่มผลักดันระบบทุนนิยมเสรีอย่างจริงจัง จนถึง พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตในทางเศรษฐกิจ มีเพียงประมาณ 15 ประเทศซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมเท่านั้นที่มีโอกาสรื่นเริงกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนอีกกว่า 100 ประเทศ ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ถดถอย หรือล่มสลาย (รัสเซีย แอฟริกาใต้ อาร์เจนตินา นิวซีแลนด์ ฯลฯ) ประชากรโลกกว่า 1,600 ล้านคน มีรายได้โดยเฉลี่ยต่ำลง และเกิดการขยายตัวของความแตกต่างด้านรายได้ระหว่างคน “มี” และ “ไม่มี” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์”
เอมี ชัว นักวิชาการชาวฟิลิปปินส์ เชื้อสายจีน ซึ่งทำงานอยู่ในสหรัฐฯ ได้เดินทางไปสำรวจเพื่อหาสาเหตุของวิกฤตในประเทศต่างๆ และสรุปไว้ในหนังสือของเธอชื่อ “โลกที่ลุกเป็นไฟ” หรือ World on Fire ว่า “ในแต่ละประเทศต่างก็มีคนกลุ่มน้อย (นายทุนขุนศึก) ที่มีอิทธิพลและควบคุมเศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากรของประเทศเอาไว้ส่วนใหญ่แล้ว เช่น ชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนผิวขาวในแอฟริกันใต้ และอเมริกาใต้ ชาวเลบานอนในแอฟริกาตะวันตก ชาวไอโบในไนจีเรีย ชาวโครแอตในอดีตเชคโกสโลวาเกีย และชาวยิวในรัสเซีย แต่ละประเทศเหล่านั้นยังคงสภาวะปกติอยู่ได้เพราะ “เลือด” ส่วนใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ แต่เมื่อเปิดเสรี “เลือด” ได้ถูกดูดไปโดยบริษัทข้ามชาติจำนวนมากเหมือนกับสมัยล่าอาณานิคม”...ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 51 อันดับ ใน 100 อันดับแรกของโลกคือ บริษัทข้ามชาติ จำนวนบริษัทของประเทศอุตสาหกรรมขยายตัวกว่า 1,000 เปอร์เซ็นต์ และขยายสาขากว่า 2,000 เปอร์เซ็นต์
นอกจากการขยายความแตกต่างด้านรายได้ของผู้คนทั่วโลกแล้ว ทุนนิยมเสรียังทำร้ายชาวอเมริกันชั้นกลางและชั้นล่างอย่างรุนแรงด้วย พอล เอ. เฮลเลอร์ จากกรุงวอชิงตัน เขียนจดหมายไปสะท้อนผลร้ายดังกล่าวในนิตยสาร “ไทม์” ฉบับ 3/11/51 ว่า “กว่า 20 ที่ชาวอเมริกันชั้นกลางและชั้นแรงงานต่างเห็นการส่งตำแหน่งงานจำนวนมากจากสหรัฐฯ ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ได้เห็นรายได้และเงินออมที่หดหาย รวมทั้งเห็นกองทุนเกษียณอายุและโครงการสุขภาพถูกปล้นโดยการลดและยกเลิกโครงการโดยบริษัทที่ล้มละลายหรือต้องควบรวมกัน ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันที่รวยที่สุด 400 คนกลับมีเงินและทรัพย์สินมากเท่ากับคนหลายสิบล้านคนรวมกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความโลภโมโทสัน และกิเลสของกลุ่มคนร่ำรวยที่ควบคุมประเทศสหรัฐฯ อยู่ในปัจจุบัน”
สุดท้ายนี้ ขอนำเสนอความคิดเห็นเมื่อหลายปีมาแล้วของ พอล ครุกแมน ศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ปากกล้าของสหรัฐฯ ผู้ซึ่งเพิ่งได้ “รางวัลโนเบล” ทางเศรษฐศาสตร์มาหยกๆ ให้พิจารณาว่า “การค้าเสรีเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่ใช่ความเป็นจริงที่อนาคตของประเทศหนึ่งๆ จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของตลาดโลก” เขายังประกาศอีกว่า “จากการเฝ้าสังเกต สมมติฐานในเรื่องการค้าเสรีนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง”