xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฏีกาตัดสินกทพ.ชนะคดีค่าโง่ทางด่วน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเอสทีวีผู้จัดการ 0 ศาลฎีกา พิพากษากลับ “ กทพ ” ชนะคดี ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยกว่า 360 ล้าน การปรับขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ ตามคำวินิจฉัยอนุญาโต ฯ ชุด "มีชัย ฤชุพันธ์" ชี้ขาดปี 44 หลัง “ บริษัท ทางด่วน ” ฟ้องศาลบังคับคดี กทพ.

วานนี้ (18 ก.พ.) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีที่ บริษัท ทางด่วน กรุงเทพ จำกัด ( มหาชน) ในฐานะ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง ให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในฐานะผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นคู่สัญญาโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยชี้ขาดคณะอนุญาโตตุลาการ จากกรณีที่มีเรียกค่าชดเชยในการปรับอัตราค่าผ่านทางค่าทางด่วน

โดยศาลฎีกาองค์คณะคดีปกครอง ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บ.ทางด่วนกรุงเทพฯ ผู้ร้อง ลงนามในสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 กับ กทพ.ผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2531 ต่อมาเมื่อเปิดใช้โครงการแล้ว กทพ. เสนอ รมว.มหาดไทยกำหนดค่าผ่านทางซึ่งวันที่ 27 ส.ค. 2536 รมว.มหาดไทยกำหนดค่าผ่านทางเป็น 2 บัญชี บัญชีหนึ่ง กำหนดค่าผ่านทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ – บางโคล่ (เขตในเมือง) รถไม่เกิน 4 ล้อ อัตรา 30 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้อ อัตรา 50 บาท รถเกิน 10ล้อ อัตรา 70 บาท บัญชีสอง กำหนดค่าผ่านทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ (นอกเขตเมือง) รถไม่เกิน 4 ล้ออัตรา 15 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้ออัตรา 20 บาท รถเกิน 10 ล้ออัตรา 30 บาท ซึ่งในกรณีที่ใช้ทางพิเศษทั้งสองบัญชีค่าผ่านทางจะลดลง 5 บาท โดยประกาศนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 28 ส.ค. 2536 และเนื่องจากตามสัญญากำหนดให้มีการปรับอัตราค่าผ่านทางทุก 5 ปีตามดัชนีสินค้าผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อ โดยปัดเศษเป็นจำนวนเงิน 5 บาท แต่ต้องไม่เกิน 10 บาทภายในระยะเวลา 15 ปีแรกของการให้สัมปทาน กทพ.เสนอ รมว.มหาดไทย ปรับอัตราเพิ่มขึ้นสำหรับในเขตเมือง รถไม่เกิน 4 ล้อเป็น 40 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้อเป็น 70 บาท รถเกิน 10 ล้อเป็น 90 บาท ส่วนเขตนอกเมือง รถไม่เกิน 4 ล้อ เป็น 20 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้อเป็น 30 บาท รถเกิน 10 ล้อเป็น 40 บาท และรถที่ใช้ทางพิเศษทั้งสองโครงข่ายจะมีส่วนลด 5 บาทต่อเที่ยว มีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ย. 2541

ต่อมาประธานคณะกรรมาธิการคมนาคมสภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือถึง รมว.มหาดไทยให้ทบทวนการปรับค่าผ่านทางดังกล่าว รมว.มหาดไทยจึงให้ กทพ.พิจารณา แล้วต่อมา รมว.มหาดไทยออกประกาศยกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ขึ้นค่าผ่านทาง และกำหนดค่าผ่านทางใหม่เป็น ในเขตเมือง รถไม่เกิน 4 ล้ออัตรา 40 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้ออัตรา 60 บาท รถเกิน 10 ล้ออัตรา 80 บาท ส่วนนอกเขตเมือง รถไม่เกิน 4 ล้ออัตรา 15 บาท รถเกิน 4 ล้อแต่ไม่เกิน 10 ล้ออัตรา 20 บาท รถเกิน 10 ล้ออัตรา 30 บาท และรถที่ใช้ทางพิเศษทั้งสองโครงข่ายจะมีส่วนลด 5 บาท ทำให้บ.ทางด่วนฯ เสนอเรื่อง รมว.มหาดไทยยกเลิกการเก็บค่าผ่านทางตามสัญญาเดิม ต่อคณะผู้พิจารณาตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 เพื่อเรียกค่าชดเชยรายได้ แต่ไม่สามารถตกลงทำความเห็นเป็นเอกฉันท์ได้ จึงเสนอตั้งอนุญาโตตุลาการชี้ขาดประกาศกระทรวงมหาดไทยยกเลิกเก็บค่าผ่านทางตามสัญญานั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ กทพ.ระบุว่า การปรับอัตราค่าผ่านทางนั้น สอดคล้องกับสัญญาแล้วขอให้ บ.ทางด่วนฯ คืนเงินค่าผ่านทางที่รับจากผู้ใช้ทางด่วนเกินไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2541 – 23 ต.ค. 2541 เป็นเงิน 29,240,041 บาท พร้อมดอกเบี้ย 11.75% ต่อปีนับจาก 24 ต.ค. 2541 ขณะที่ บ.ทางด่วนฯ ร้องแย้งว่า การเรียกค่าผ่านทางใหม่ ไม่สอดคล้องกับสัญญา ทำให้บริษัทเสียหาย จึงให้ กทพ.ชำระค่าเสียหายที่คำนวณจากอัตราค่าผ่านทางของรถยนต์แต่ละประเภทเป็นรายวันจากวันที่ 24 ต.ค. 2541 -15 ก.ค. 2543 เป็นเงิน 360,898,617 บาทพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา รวมทั้งค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 2543 เป็นต้นไปจนกว่า กทพ.จะออกประกาศกระทรวงมหาดไทยกลับไปใช้อัตราค่าผ่านทางให้สอดคล้องกับสัญญา

คณะอนุญาโตตุลาการชุดแรกซึ่งมีนายโสภณ รัตนากร อดีตประธานศาลฎีกาเป็นประธานทำคำชี้ขาดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2542 เห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ยกเลิกการขึ้นค่าผ่านทางและเปลี่ยนแปลงลดอัตราค่าผ่านทางใหม่ชอบแล้วเพราะสอดคล้องกับสัญญาของการขึ้นค่าผ่านทาง แต่ บ.ทางด่วนฯ กลับขอเสนอตั้งคณะอนุญาโตตุลาการชุดที่สองขึ้นพิจารณาใหม่โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานวุฒิสภาเป็นประธาน ปรากฎว่าคณะอนุญาโตตุลาการชุดนี้ซึ่งชี้ขาดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2544 เป็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ยกเลิกการขึ้นค่าผ่านทางและเปลี่ยนแปลงลดอัตราค่าผ่านทาง ใหม่นั้นไม่สอดคล้องกับสัญญา บ.ทางด่วนฯ จึงมีสิทธิได้รับชดเชยค่าเสียายตามที่เรียกร้อง และไม่ต้องคืนเงินค่าผ่านทางจำนวน 29,240,041 บาท ให้กับ กทพ.เพราะเป็นส่วนแบ่งโดยชอบตามสัญญา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ บ.ทางด่วนฯ นำข้อพิพาทไปร้องแย้งต่อคณะอนุญาโตตุลาการชุดสองที่มีนายมีชัย เป็นประธานจนมีคำชี้ขาดซ้ำ เป็นการนำข้อพิพาทที่ได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยอนุญาโตตุลาการชุดแรกที่มีนายโสภณ เป็นประธานซึ่งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชุดแรกมีผลผูกพันต่อคู่กรณีอยู่ การร้องตั้งอนุญาโตตุลาการซ้ำจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการทำลายหลักการสำคัญของ พรบ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 23 วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า ให้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือผู้ชี้ขาดเป็นที่สุด และผูกพันคู่กรณีโดยสิ้นเชิง และย่อมส่งผลทำให้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยระบบอนุญาโตตุลาการไร้ประสิทธิผลไปโดยปริยาย เพราะหากคู่กรณีไม่ยอมรับผลต่อการเป็นที่สุดของอนุญาโตตุลาการชุดแรกแล้ว โดยใช้สิทธิร้องซ้ำอีก ก็จะทำให้มีการดำเนินการซ้ำซากต่อไปไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งไม่ใช่เจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ

ดังนั้นการที่อนุญาโตตุลาการชุดสองได้รับคำเสนอข้อพิพาทของ บ.ทางด่วนฯ ไว้พิจารณาแล้วมีคำชี้ขาดใหม่ จึงเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เมื่อปรากฏว่า บ.ทางด่วนฯ ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ให้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชุดสองเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2545 อันเป็นเวลาภายหลังที่ พรบ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มีผลใช้บังคับแล้ว กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่ให้อำนาจศาลจะทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดนั้นได้ และศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาเรื่องการนำข้อพิพาทที่อนุญาโตตุลาการชุดแรกไปร้องซ้ำต่ออนุญาโตตุลาการชุดใหม่พิจารณา ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังเช่นที่ว่าแล้วย่อมถือว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชุดสอง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลมีอำนาจและสมควรจะทำคำสั่งปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

ดังนั้นที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำพิพากษาให้ กทพ.ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการให้จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้แก่ บ.ทางด่วนฯ 360,898,617 บาท โดย บ.ทางด่วนฯ ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนเกิน 29,240,041 บาทให้กับ กทพ.นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของ กทพ.ฟังขึ้น และเมื่อผลการวินิจฉัยคดีเป็นดังนี้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของ กทพ.ในประเด็นอื่นอีก พิพากษากลับให้ยกคำร้องของ บ.ทางด่วนฯ และให้ บ.ทางด่วนฯ ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลแทน กทพ. พร้อมค่าทนายความ 100,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น