xs
xsm
sm
md
lg

ปัญญายิ่งใหญ่สู่การปกครองแบบธรรมาธิปไตย (1)

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

ในสภาพการณ์ของการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายถึงการปกครองที่ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม จึงเป็นการปกครองไร้จุดมุ่งหมาย รัฐบาลนั้นๆ กลายเป็นศูนย์กลางการปกครอง จึงเป็นการปกครองของคนเพียงหยิบมือเดียว การปกครองเผด็จการชนิดนี้ มีเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ท่านทั้งหลายจึงเห็นได้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ จะเต็มไปด้วยข่าว คอร์รัปชันเต็มบ้านเต็มเมือง ประชาชนก็ไม่รู้ว่าการเมืองที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร และรู้แต่ว่าประเทศเรามีแต่จะทรุดลงๆ ดังนั้นการสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างปัญญาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างผู้นำโดยธรรม

ปัญญาอันยิ่งใหญ่ มีทางเดียวคือการวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 หรือกายและใจของตน จะพบว่าตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

รูป หรือกาย ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ และธาตุลม แสดงให้เห็นความแตกต่างหลากหลาย (สังขตธรรม ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์)

นาม 4 ได้แก่ เวทนา, สัญญา, สังขาร. วิญญาณ ก็มีความแตกต่างหลากหลาย (สังขตธรรม คือสังขารเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด)

จิตปรุงแต่งเป็นอกุศล เช่น กลัว โลภ โกรธ หลง นับตั้งแต่ทำลายตนเอง จนถึงทำลายระดับชาติ ระดับโลก ก็มีความแตกต่างหลากหลาย (สังขตธรรม)

จิตที่ปรุงแต่งเป็นกุศล ก็มีความแตกต่างหลากหลาย เช่น มนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม และนับแต่การสร้างกุศลให้แก่ตนเอง ไปจนถึงการทำกุศลสร้างสรรค์ประเทศชาติ และโลก ก็มีความแตกต่างหลากหลาย (สังขตธรรม)

นิพพาน (อสังขตธรรม) คือ สภาวะพ้นจากการปรุงแต่ง สภาวะสิ้นอุปาทานจากขันธ์ 5 เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวงแล้ว เมื่อคิด พูด ทำความดี แต่ไม่ติดยึดในความดีที่ตนทำ จึงเป็นสภาวะจิตอิสระ ที่เหนือการปรุงแต่ง จึงพ้นจากกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

การมีปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 อันมีลักษณะความแตกต่างหลากหลายแล้ว (สังขตธรรม) ก็จะสามารถทำให้ผู้รู้แจ้งเข้าถึงนิพพาน อันเป็นลักษณะเอกภาพ ดังกล่าวนี้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าขันธ์ 5 นั้นดำรงอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างเอกภาพ (อสังขตธรรม) กับความแตกต่างหลากหลาย (สังขตธรรม) นั่นเอง

อีกอย่างหนึ่ง จิตปรุงแต่งด้วยความยึดมั่นถือมั่นทั้งกุศล และอกุศลจะมีลักษณะรวมศูนย์ที่ตนเอง ส่วนจิตที่มีปัญญารู้แจ้งอิสระพ้นการปรุงแต่ง เป็นจิตที่มีคุณธรรม มีลักษณะแผ่คุณธรรมออกไป มีข้อสังเกตว่า จิตปุถุชนเป็นจิตปรุงแต่ง จะคิดเอาก่อน หรืออยากได้ก่อน (รวมศูนย์ที่ตน เป็นความเห็นผิด) แล้วจะให้ทีหลัง ลักษณะนี้จะเป็นทุกข์ เพราะตรงกันข้ามกับกฎธรรมชาติ

ส่วน จิตอริยชน จะเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ คือ จะคิดให้ก่อน หรือแผ่คุณธรรมเมตตาออกไปก่อน แล้วรับปัจจัย 4 ในภายหลัง ถวายก็รับ ไม่ถวายก็ไม่เป็นไรตามมีตามได้ ใช้ปัจจัย 4 เท่าที่จำเป็นไม่เก็บสะสม ท่านจึงไม่เป็นทุกข์ทางใจ เพราะรู้แจ้งในอรรถธรรมย่อมดำรงตนเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ

เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จะแผ่เมตตาโปรดสัตว์ แล้วก็จะได้รับการถวายปัจจัย 4 ทีหลัง (แผ่เมตตาสอนธรรมก่อน แล้วรับปัจจัย 4 ทีหลังตามแต่จะได้รับการถวาย และใช้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทำแต่กุศลแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในกุศลที่ตนทำ) ฉะนั้นจิตของผู้รู้แจ้งแล้ว จะดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ จึงสามารถนำกฎธรรมชาติมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์สุขแห่งมนุษยชาติได้

ญาณทัสสนวิสุทธิ ปัญญาที่รู้แจ้งอรรถธรรมตามความเป็นจริงอย่างบริสุทธิ์ ทำให้รู้แจ้งต่อกฎธรรมชาติ สภาวะอสังขตธรรมมีลักษณะแผ่กระจาย ส่วนสภาวะสังขตธรรม มีลักษณะรวมศูนย์ จะเห็นว่า ลักษณะแผ่กระจายกับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้กฎธรรมชาติดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ

เมื่อนำกฎธรรมชาติไปพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ ทำให้พบความสัมพันธ์ 2 ลักษณะ คือ

1) ดวงอาทิตย์ เป็นด้านเอกภาพ ดาวเคราะห์ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

2) ดวงอาทิตย์แผ่โอบอุ้มดาวเคราะห์ ขณะเดียวกันดาวเคราะห์ทั้งหลาย ต่างก็ขึ้นต่อดวงอาทิตย์ หรือรวมศูนย์อยู่ที่ดวงอาทิตย์ จะเห็นได้ว่าลักษณะแผ่กับรวมศูนย์ ก่อให้เกิดระบบสุริยะจักรวาลดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ขันธ์ 5, กฎธรรมชาติ, และจักรวาล ดำรงอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกัน คือดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งดำรงอยู่บนสัมพันธภาพในลักษณะพระธรรมจักร นั่นเอง

อีกนัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่า กฎธรรมชาติ คือ สัมพันธภาพระหว่างด้าน ลักษณะทั่วไป (General) และด้าน ลักษณะเฉพาะ (Individual)

ลักษณะทั่วไป คือ ลักษณะที่แผ่กระจายครอบคลุมส่วนย่อยทั้งหมดอันเป็นลักษณะเฉพาะ ที่มีความแตกต่างหลากหลายโดยสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด

ลักษณะเฉพาะ คือ ส่วนย่อยที่มีความแตกต่างหลากหลาย ดังกล่าวนี้ขยายความเพิ่มเติมว่า

สภาวะอสังขตธรรม เป็นด้านลักษณะทั่วไปของกฎธรรมชาติ ส่วน สภาวะสังขตธรรม เป็นลักษณะเฉพาะของกฎธรรมชาติ หรืออสังขตธรรมเป็นลักษณะทั่วไป ส่วนธาตุต่างๆ, สิ่งไม่มีชีวิต, และสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เป็นด้านลักษณะเฉพาะ

สภาวะนิพพาน, ธรรมาธิปไตยเป็นลักษณะทั่วไป ส่วนขันธ์ 5 เป็นลักษณะเฉพาะ และอีกสัมพันธภาพหนึ่ง นิพพานเป็นลักษณะทั่วไป ส่วนการปรุงแต่งจิต เป็นกุศลบ้าง และอกุศลบ้าง และกลางๆ เป็นลักษณะเฉพาะ หรือรถยนต์เป็นลักษณะทั่วไป ชิ้นส่วนรถยนต์เป็นลักษณะเฉพาะ

ดวงอาทิตย์ เป็นลักษณะทั่วไป ส่วน ดาวเคราะห์ เป็นลักษณะเฉพาะ

อีกนัยหนึ่ง ถ้าลักษณะทั่วไปดี ลักษณะเฉพาะก็จะพลอยดีไปด้วย อย่างเช่น เมื่อใจบริสุทธิ์ การคิด การพูด การกระทำ ก็จะดีไปด้วย หรือถ้าดวงอาทิตย์ดำรงอยู่ได้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายก็ยังดำรงอยู่ได้

แต่ถ้าลักษณะทั่วไปเลว ลักษณะเฉพาะหรือส่วนย่อยที่ประกอบกันขึ้นก็จะย่ำแย่ไปด้วย เช่น ถ้ากิเลสครอบงำจิต การคิด, การพูด, การกระทำ ก็จะเป็นไปตามอำนาจกิเลส ดังนี้แล้ว เราควรจะได้นำสภาวะกฎธรรมชาติไปประยุกต์ในการสร้างสรรค์ระบอบการเมืองโดยธรรม การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ขอให้ท่านทั้งหลายพึงได้พิจารณาอย่างแยบคายเถิด

ประเทศชาติ เป็นลักษณะทั่วไปและเป็นด้านเอกภาพ ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะที่มีความแตกต่างหลากหลาย ประชาชนในชาติจะต้องขึ้นต่อชาติเสมอไป และเมื่อประชาชนบางส่วนคิดจะแยกประเทศ แสดงให้เห็นว่าการจัดความสัมพันธ์ทางการเมืองมีปัญหาอย่างแน่นอน นำไปคิดดู ว่าปัญหาเกิดจากอะไร?

ระบอบการเมือง เป็นลักษณะทั่วไป จะต้องแผ่กระจายครอบคลุมประชาชนทั้งแผ่นดิน ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะอันแตกต่างหลากหลายก็ต้องขึ้นต่อระบอบการเมือง แต่...ระบอบการเมืองไทย น่าเสียใจที่สุด เพราะปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม จึงเป็นระบอบการเมืองมิจฉาทิฐิ ถูกสร้างขึ้นจากคนที่ไม่มีความรู้ที่แท้จริง พวกเขาสร้างระบอบการเมืองปัจจุบันขึ้นมาทำลายประเทศชาติของตนเอง และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย จนยากที่แก้ไข

รัฐบาลใดๆ เป็นผู้ออกและใช้กฎหมายภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ นำไปสู่ความผิดพลาด ล้มเหลว อ่อนแอ และเกิดความขัดแย้งในส่วนต่างๆ เช่น ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันสงฆ์ สถาบันครู ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และก่อให้เกิดความเลวร้ายทางอบายมุขอาชญากรรมต่างๆ ท่วมทับแผ่นดิน ฯลฯ

ระบอบการเมืองโดยธรรม จะเป็นศูนย์กลาง เป็นเอกภาพของปวงชนในชาติ และเป็นลักษณะทั่วไป คือระบอบฯ จะแผ่กระจายความถูกต้องดีงาม ความเสมอภาคทางโอกาส ความยุติธรรม ฯลฯ สู่ปวงชน ส่วนการปกครองนั้นจะต้องรวมศูนย์ แผ่กับรวมศูนย์จะเป็นปัจจัยให้ดำรงอย่างดุลยภาพ และก่อเกิดพลังความร่วมมือของปวงชนอย่างมหาศาลในการสร้างสรรค์ชาติ

รัฐบาลใดๆ มุ่งแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว จะเสียเวลาและสูญเปล่า ทั้งยิ่งทำให้ปัญหาลักษณะเฉพาะขยายตัวมากยิ่งขึ้น

ส่วนแนวทางแก้ไข มีเพียงทางเอกทางเดียวเท่านั้นคือพระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณียกิจอย่างยิ่งใหญ่ ทรงสถาปนาหลักการปกครองแบบธรรมาธิปไตย คือจุดเริ่มต้นของการสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น