นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทย เตรียมเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งมีเป้าหมาย เพื่อนิรโทษกรรม อภัยโทษ รวมทั้งล้างมลทินให้บุคคลที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเมืองในช่วงที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ว่ายังไม่เห็นตัวกฎหมาย แต่ได้คุยกับฝ่ายค้านบางส่วนว่าใจตนไม่อยากให้เรื่องนี้ เป็นปมความขัดแย้งขอให้ไปทำในกระบวนการปฏิรูปการเมืองด้วยกัน ขณะนี้ได้คุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้านไปแล้ว ยังรอคำตอบอยู่
ส่วนที่มีพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนเห็นด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าเขาคงเห็นความวุ่นวายเมื่อปีที่แล้วที่เริ่มต้นจากเงื่อนไขลักษณะนี้ ฉะนั้นแทนที่จะวนอยู่อย่างนี้ในสภาวะความขัดแย้ง เราควรเอาองค์กรที่เป็นกลาง ใช้เหตุผลทางวิชาการมาเป็นข้อสรุปหรือให้ข้อเสนอแนะต่อสภาน่าจะเป็นทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้มากกว่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องคุยกับพรรคร่วมเป็นกรณีพิเศษ เพราะรัฐบาลได้เขียนนโยบายไปแล้วเรื่องการปฏิรูปการเมืองที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ส่วนจะเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาลหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยได้ติดต่อให้พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมลงชื่อด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีสิทธิทำได้ แต่ทุกคนน่าจะมีบทเรียนจากปีที่แล้ว วันนี้เราไม่ต้องการให้มีเงื่อนไขอะไรที่เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะซ้ำเติมทุกข์ของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนคุยกันเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาล พูดกันชัดเจนว่าวาระเร่งด่วนคือ การสร้างความปรองดองกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การสร้างความปรองดองดีที่สุดคือ ต้องสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ให้ทุกฝ่ายยอมรับเรื่องการปฏิรูปการเมือง
ต่อข้อถามว่าฉะนั้นไม่ควรมีส.ส.ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลไปร่วมลงชื่อ ในการเสนอกฎหมายนี้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้อยากคุยกับฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไปคุยกันให้เรียบร้อยว่าการปฏิรูปการเมืองคืออะไร และอย่ายึดมั่นถือมั่น รัฐบาลโดยตนขณะนี้เปิดใจกว้าง มาแลกเปลี่ยนกันว่ารูปแบบไหน ที่ทุกฝ่ายรับได้ เพราะต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
ผมและร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้พบกันแล้ว โดยผมเดินไปหาถึงห้องไม่ต้องมีรูปแบบพิธีรีตองอะไร มาคุยกันเลย วันนี้ประชาชนกำลังยากลำบาก นักการเมืองจะมาคุยกันไหมว่าจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร อะไรที่ติดใจค้างคาใจ มาพูดกันตรงไปตรงมา หากระบวนการที่ทุกฝ่ายยอมรับ และบรรยากาศที่คุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นไปด้วยดี
ส่วนเมื่อประสานกับร.ต.อ.เฉลิมไปแล้ว เชื่อว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของ พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในพรรคเพื่อไทย โครงสร้างซับซ้อนพอสมควร ฉะนั้นตนต้องพยายามคุยกับหลายๆท่าน
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายนิโทษกรรมนี้เป็นการยกความผิดทางอาญาต่อแผ่นดินย้อนหลัง ในขณะที่ผู้ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม ก็แสดงให้เห็น มาโดยตลอดว่า ไม่เชื่อถือในความเป็นกลางของสถาบันตุลาการ โดยการกล่าวทั้งใน และนอกประเทศ ผ่านเวทีสัมมนาต่างๆว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย ถูกแทรกแซง และมีการดึงสถาบันฯ ที่อยู่นอกความขัดแย้งทางการเมือง เช่น สถาบันองคมนตรี หรือเหล่าทัพ เข้ามาสู่ความขัดแย้งด้วย
ด้าน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยว่ากับการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะตอนนี้นักการเมืองอาชีพมีน้อยลง ทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ เติบโตไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่น่าจะมีการพูดคุยกันนอกรอบ ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมนั้น ต้องชี้แจง เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องฟังความคิดเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองแห่งชาติโดยการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนดูดีที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนแนวทางสมานฉันฑ์ แต่ข้อเท็จจริงเป็นเพียง ลับ ลวง พราง เพื่อจะฟอกผิด พ.ต.ท. ทักษิณ และคนในเครือข่ายระบอบทักษิณหรือพรรคไทยรักไทยเดิมเท่านั้น
ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการให้บ้านเมืองปรองดองสมานฉันท์จริงๆ ก็จะต้องเรียกร้องอย่างไม่มีเงือนไขและก็กดดันคนในเครือข่ายระบอบทักษิณรวมทั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ เคารพคำพิพากษาของศาลแล้วก็ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และถ้าสมมุติว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติผ่านสภาไปจริงๆกระบวนการยุติธรรมก็จะถูกท้าทายและก็สูญเสียความน่าเชื่อถือไปในที่สุด และในอนาคตคนก็พร้อมทำผิด ได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะคนมีอำนาจทางการเมือง เพราะเมื่อทำผิดแล้ว มีคำพิพากษา ลงโทษแล้วสามารถใช้อำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในรัฐสภาฟอกผิดให้ตัวเอง วิธีการแบบนี้ทำให้ระบบยุติธรรมของประเทศขาดความหมายและพังทลายไปในที่สุด
นายสุริยะใส กล่าวว่าแม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะพ่วงประเด็นของพันธมิตรฯไปด้วยเราก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่าจุดยืนของพันธมิตรต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมเข้าสู่การไต่สวนของศาลทุกระดับอย่างเปิดเผยฉะนั้นเรื่องนี้ถ้ามีการเสนอญัตตินี้ ร่าง พ.ร.บ. นี้เข้าสู่สภา พันธมิตรฯคงต้องประชุมกันเป็นกรณีพิเศษเพื่อกำหนดท่าทีอย่างเป็นทางการของ 5แกนนำอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้แล้วพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจะต้องแสดงจุดยืนจะต้องเป็นเอกภาพเพราะว่าก็มีความเป็นไปได้ที่บรรดา ส.ส. ที่เคยสนับสนุนระบอบทักษิณและก็ย้ายมาสังกัดปีกรัฐบาลอาจจะโหวตสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ประชาชนอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นการสุเอี๋ยทางการเมืองและจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจรัฐบาลในที่สุด
ส่วนที่มีพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนเห็นด้วย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าเขาคงเห็นความวุ่นวายเมื่อปีที่แล้วที่เริ่มต้นจากเงื่อนไขลักษณะนี้ ฉะนั้นแทนที่จะวนอยู่อย่างนี้ในสภาวะความขัดแย้ง เราควรเอาองค์กรที่เป็นกลาง ใช้เหตุผลทางวิชาการมาเป็นข้อสรุปหรือให้ข้อเสนอแนะต่อสภาน่าจะเป็นทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับได้มากกว่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องคุยกับพรรคร่วมเป็นกรณีพิเศษ เพราะรัฐบาลได้เขียนนโยบายไปแล้วเรื่องการปฏิรูปการเมืองที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ส่วนจะเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาลหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยได้ติดต่อให้พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมลงชื่อด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายนิติบัญญัติมีสิทธิทำได้ แต่ทุกคนน่าจะมีบทเรียนจากปีที่แล้ว วันนี้เราไม่ต้องการให้มีเงื่อนไขอะไรที่เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะซ้ำเติมทุกข์ของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนคุยกันเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาล พูดกันชัดเจนว่าวาระเร่งด่วนคือ การสร้างความปรองดองกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การสร้างความปรองดองดีที่สุดคือ ต้องสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ให้ทุกฝ่ายยอมรับเรื่องการปฏิรูปการเมือง
ต่อข้อถามว่าฉะนั้นไม่ควรมีส.ส.ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลไปร่วมลงชื่อ ในการเสนอกฎหมายนี้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้อยากคุยกับฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไปคุยกันให้เรียบร้อยว่าการปฏิรูปการเมืองคืออะไร และอย่ายึดมั่นถือมั่น รัฐบาลโดยตนขณะนี้เปิดใจกว้าง มาแลกเปลี่ยนกันว่ารูปแบบไหน ที่ทุกฝ่ายรับได้ เพราะต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
ผมและร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้พบกันแล้ว โดยผมเดินไปหาถึงห้องไม่ต้องมีรูปแบบพิธีรีตองอะไร มาคุยกันเลย วันนี้ประชาชนกำลังยากลำบาก นักการเมืองจะมาคุยกันไหมว่าจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร อะไรที่ติดใจค้างคาใจ มาพูดกันตรงไปตรงมา หากระบวนการที่ทุกฝ่ายยอมรับ และบรรยากาศที่คุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นไปด้วยดี
ส่วนเมื่อประสานกับร.ต.อ.เฉลิมไปแล้ว เชื่อว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของ พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในพรรคเพื่อไทย โครงสร้างซับซ้อนพอสมควร ฉะนั้นตนต้องพยายามคุยกับหลายๆท่าน
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายนิโทษกรรมนี้เป็นการยกความผิดทางอาญาต่อแผ่นดินย้อนหลัง ในขณะที่ผู้ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม ก็แสดงให้เห็น มาโดยตลอดว่า ไม่เชื่อถือในความเป็นกลางของสถาบันตุลาการ โดยการกล่าวทั้งใน และนอกประเทศ ผ่านเวทีสัมมนาต่างๆว่ากระบวนการยุติธรรมของไทย ถูกแทรกแซง และมีการดึงสถาบันฯ ที่อยู่นอกความขัดแย้งทางการเมือง เช่น สถาบันองคมนตรี หรือเหล่าทัพ เข้ามาสู่ความขัดแย้งด้วย
ด้าน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยว่ากับการนิรโทษกรรมเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะตอนนี้นักการเมืองอาชีพมีน้อยลง ทำให้นักการเมืองรุ่นใหม่ เติบโตไม่ทัน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่น่าจะมีการพูดคุยกันนอกรอบ ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมนั้น ต้องชี้แจง เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยตรงไหน และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องฟังความคิดเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกล่าวว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองแห่งชาติโดยการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนดูดีที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนแนวทางสมานฉันฑ์ แต่ข้อเท็จจริงเป็นเพียง ลับ ลวง พราง เพื่อจะฟอกผิด พ.ต.ท. ทักษิณ และคนในเครือข่ายระบอบทักษิณหรือพรรคไทยรักไทยเดิมเท่านั้น
ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการให้บ้านเมืองปรองดองสมานฉันท์จริงๆ ก็จะต้องเรียกร้องอย่างไม่มีเงือนไขและก็กดดันคนในเครือข่ายระบอบทักษิณรวมทั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ เคารพคำพิพากษาของศาลแล้วก็ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และถ้าสมมุติว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติผ่านสภาไปจริงๆกระบวนการยุติธรรมก็จะถูกท้าทายและก็สูญเสียความน่าเชื่อถือไปในที่สุด และในอนาคตคนก็พร้อมทำผิด ได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะคนมีอำนาจทางการเมือง เพราะเมื่อทำผิดแล้ว มีคำพิพากษา ลงโทษแล้วสามารถใช้อำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในรัฐสภาฟอกผิดให้ตัวเอง วิธีการแบบนี้ทำให้ระบบยุติธรรมของประเทศขาดความหมายและพังทลายไปในที่สุด
นายสุริยะใส กล่าวว่าแม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะพ่วงประเด็นของพันธมิตรฯไปด้วยเราก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่าจุดยืนของพันธมิตรต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมเข้าสู่การไต่สวนของศาลทุกระดับอย่างเปิดเผยฉะนั้นเรื่องนี้ถ้ามีการเสนอญัตตินี้ ร่าง พ.ร.บ. นี้เข้าสู่สภา พันธมิตรฯคงต้องประชุมกันเป็นกรณีพิเศษเพื่อกำหนดท่าทีอย่างเป็นทางการของ 5แกนนำอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้แล้วพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจะต้องแสดงจุดยืนจะต้องเป็นเอกภาพเพราะว่าก็มีความเป็นไปได้ที่บรรดา ส.ส. ที่เคยสนับสนุนระบอบทักษิณและก็ย้ายมาสังกัดปีกรัฐบาลอาจจะโหวตสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ประชาชนอาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นการสุเอี๋ยทางการเมืองและจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจรัฐบาลในที่สุด