“สุริยะใส” แย้ง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ชี้ เท่ากับออกกฎหมายเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ อภัยโทษให้คนทำผิดพ้นผิด เท่ากับทำผิดรัฐธรรมนูญ เตือนสมุนแม้วอย่าเอาความสมานฉันท์บังหน้าหวังฟอกผิดนาย ย้ำ แกนนำพันธมิตรฯเห็นแย้ง พร้อมเคลื่อนไหวต่อต้านถึงที่สุด
วันนี้ (15 ก.พ.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติของพรรคเพื่อไทยว่า ตนคิดว่าหลักการสมานฉันท์และปรองดอง ไม่ใช่ทำผิดแล้วยกเลิก หรือลืมกันไป แต่ตรงกันข้าม ต้องทำให้ใครก็ตามที่พิสูจน์แล้วว่ามีความผิด หรือทำผิดจริงต้องได้รับโทษตามความเหมาะสม จึงจะเรียกว่าเป็นสังคมสมานฉันท์อย่างแท้จริง ทั้งนี้ แนวคิดเรื่องความปรองดองสมานฉันท์เป็นแนวคิดที่ดีและสร้างสรรค์ แต่วิธีการที่พรรคเพื่อไทยเสนอ คือ การนิรโทษกรรมให้กับคนผิดนั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเป็นเพียงการแอบอ้างและเอาความสมานฉันท์บังหน้าเท่านั้น เพราะฉากหลัง คือ ต้องการฟอกผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในระบอบทักษิณเท่านั้น
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า หลักคิดในการออกกฎหมายเพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมนั้น ต้องทำให้ทุกคนมีความเสมอภาค ไม่มีใครได้ร้อย หรือเสียร้อยจากกฎหมายและกติกาทางสังคม แต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนที่ได้ร้อยเต็ม คือ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่คนที่เสียร้อยเต็มๆ คือคนเจ็บและคนตายในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม แค่นี้ก็ตอบยากแล้วว่าจะนิรโทษกรรมเพื่อใครกันแน่ หรือแม้แต่การนิรโทษกรรมก็ควรมาจากความเห็นของสังคมไม่ใช่มาจากผู้มีส่วนได้เสีย
“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ นอกจากจะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 คือ หลักของความเสมอภาคกันในกฎหมายแล้วยังเท่ากับเป็นการออกกฎหมายเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะนิรโทษกรรมความผิดของบุคคลที่เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญคงทำไม่ได้” นายสุริยะใส กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า ถ้ามติ ครม.รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และเสนอเข้าสภา ก็เท่ากับเป็นเครื่องชี้วัด ว่า พรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้ มีการซูเอี๋ยทางการเมืองและมีสัญญาลับๆ กัน และจะเป็นบทพิสูจน์จุดยืนของท่านนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ว่า จะคำนึงเฉพาะฐานะความเป็นรัฐบาล หรือหลักการของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้เท่าที่สอบถามความเห็นของแกนนำพันธมิตรฯไม่มีใครเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม และพร้อมเคลื่อนไหวต่อต้านตลอดเวลา
ส่วนเรื่องกระบวนการปฏิรูปการเมืองนั้น โดยหลักการแล้วตนเห็นด้วย แต่ต้องดูกระบวนการ ดูรายละเอียดและสาระสำคัญอีกทีหนึ่ง แต่ขอย้ำว่าการปฏิรูปการเมืองไม่ใช่นับหนึ่ง หรือเริ่มต้นที่การแก้รัฐธรรมนูญเหมือนที่พยายามพูดกันอยู่ในขณะนี้ จะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางจากประชาชน เพื่อให้เห็นสาระและเนื้อหาก่อน ค่อยแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นตอนสุดท้าย ซึ่งจะว่าไปแล้วการปฏิรูปการเมืองยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่ากับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องประชาชน ที่สำคัญ บรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกในขณะนี้อาจทำไม่ได้ง่ายๆ จะต้องใช้เวลาพอสมควร
