“สามารถ” ได้ทีแฉกลางวงสัมมนาเขาใหญ่ ส.ส.เปิดท้ายรถขายตัวแลกเสียงโหวต เชื่อ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเกิดได้ยาก เหตุมีแรงต้านของพันธมิตรฯ ที่เตรียมเคลื่อนไห ชี้ควรมีคนกลางที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับเคลียร์ปัญหา ด้าน “อภิวันท์” เตือนกองทัพใช้งบลับล้างสมองเสื้อแดงระวังเป็นสงครามประชาชนทั่วประเทศ รับทำใจ กมธ.ตรวจสอบงบเข้มข้นลำบาก
วันนี้ (15 ม.ค.) ที่เดอะกรีนเนอรี่รีสอร์ท เขาใหญ่ สภาผู้แทนราษฎร จัดเสวนาเรื่อง “บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง” โดยนายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง กล่าวว่า ความขัดแย้งที่ผ่านมาแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็คลายปมผ่านไปได้ ไม่ร้าวลึกเช่นในปัจจุบัน กลายเป็นว่ากติกาไม่ได้รับการยอมรับ มีการใช้นอกกติกา เพราะการอยู่นอกกติกาได้ดีกว่าอยู่ในกติกา แม้จะมีฝ่ายนิติบัญญัติแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาอะไร ทั้งที่ผ่านมาสังคมไทยอยู่ด้วยความสมานฉันท์ ไม่ยืดเยื้อแบบวันนี้ที่สังคมมีแต่ความคิดที่แตกแยก แนวคิดทางการเมืองไม่ตรงกัน ซึ่งน่าเป็นห่วง แล้วเราจะหาทางออกให้กับสังคมอย่างไร
นายสามารถ กล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้พรรคการเมืองมีงูเห่าในพรรค ซึ่งการโหวตแต่ละครั้งก็ไม่ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแล้ว แต่ไปเปิดท้ายรถแล้วจะมีคนเอากระเป๋าไปใส่ท้ายรถให้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในสภาฯ ก็น่าหนักใจ เวลาประชุมแต่ละครั้งก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ทำให้เกิดประท้วงกันมากมายในหมู่ของคนที่คิดว่าจะเอาชนะคละคลานหาเรื่องไม่เป็นเรื่อง จากปัญหาที่เกิดขึ้นตนได้ปรึกษากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และได้เสนอไปว่าต่อไปก่อนจะมีการประชุมสภาฯ ทุกครั้งให้ทำอย่างต่างประเทศ คือให้แต่ละพรรคไปสรุปประเด็นในการอภิปรายว่าจะอภิปรายเรื่องใด โดยให้ยกเป็นมติพรรคขึ้นมา และเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ มา 1-2 คนก็พอ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้มีการอภิปรายรวบรัดสรุปประเด็น เป็นประโยชน์ไม่ยืดเยื้อหรือใส่อารมณ์อย่างปัจจุบัน
นายสามารถ ยังกล่าวอีกว่า อยากจะพูดถึงกระแสข่าวที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.ความปรองดองแห่งชาติว่า ยืนยันได้ว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยทั้งหมดยังไม่มีใครเห็นและเรื่องนี้ก็ยังไม่มีการประชุมกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นเพียงความคิดริเริ่มของ ส.ส.บางคน จึงกลายเป็นว่าเหมือนพรรคเพื่อไทยเสนอ ทั้งนี้ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทยก็จะมีการนำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยในที่ประชุมเพื่อประเมินความเป็นไปได้ต่อไป
นายสามารถกล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าหากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภาฯ จริงคงไม่มีการหยิบยกมาพิจารณา เพราะทางวิปรัฐบาลคงจะไม่หยิบยกมาแน่นอน แม้ฝ่ายค้านจะเสนอ แต่ก็จะค้างไว้ในระเบียบวาระการประชุมเท่านั้น และการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตนเห็นว่าจะมีแต่ความขัดแย้ง เพราะดูท่าทีจากพันธมิตรประชาชนฯ ที่เตรียมเคลื่อนไหวใหญ่ในประเด็นดังกล่าว และจะไม่มีทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ตามที่ต้องการ ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าความขัดแย้งจะแก้ไขได้ต้องมีคนกลางที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยอมรับมาไกล่เกลี่ย เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายยอมถอยกันคนละก้าว
ด้าน พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง กล่าวว่า จนถึงวันนี้การจัดประชุมระหว่างประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา และผู้นำฝ่ายค้านนั้นยังจำเป็นที่ต้องมีการประชุมเพื่อหารือกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ เมื่อใดที่เสื้อเหลืองกอดคอกับเสื้อแดงอย่างจริงใจ ปัญหาก็จะแก้ได้ แต่ตอนนี้คนมีอำนาจมากกว่าแต่รังแกคนที่มีอำนาจน้อยกว่าทำให้มีการพัฒนาการต่อสู้จนกว่าจะมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องไม่มีคนชนะ หรือผู้แพ้ ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ ขณะนี้มีการดึงสถาบันเข้ามาใช้เพื่อประโยชน์กับตัวเอง เพื่อหวังทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง ทั้งที่คนที่พูดก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง ตนยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น กองทัพต้องทำเป็นตัวอย่าง หากเห็นว่ามีการหมิ่นสถาบันก็ต้องเข้าไปจัดการ ตักเตือน ไม่ใช่เข้าไปทำเอง
“ตอนนี้มีการพูดถึงงบลับ หน่วยงานราชการทหารได้ส่งคนเข้าไปทุกหมู่บ้าน เพื่อเข้าไปล้างสมองกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่จงรักภักดี เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง จะทำให้กลายเป็นสงครามประชาชนทั้ง 76 จังหวัด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อต้องการอำนาจทางการเมืองเท่านั้น ผมไม่ได้โทษน้องๆ ในกองทัพ แต่อยากให้เปลี่ยนแนวคิดนี้ ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่แก้ไขปัญหาไป 30-40 ปีก็ไม่จบ” พ.อ.อภิวันท์กล่าว
พ.อ.อภิวันท์ กล่าวถึงการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาที่ไม่เข้มข้นเหมือนในอดีตว่า กรณีนี้เห็นได้จากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 ที่ประธานคณะกรรมาธิการฯเป็นฝ่ายรัฐมนตรี ซึ่งมีอิทธิพลต่อการจัดสรรเป็นอย่างมาก ซึ่งกรณีนี้ตนก็ได้เคยแนะนำไปยังสภาฯ ว่าให้ปรับเปลี่ยนเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่จะไม่ให้ประธานเป็นคนของฝ่ายรัฐบาลเหมือนกับต่างประเทศ แต่เชื่อว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันในขณะนี้ แต่คงต้องใช้เวลา
ด้าน นายสามารถกล่าวว่า กรณีนี้คงเกิดขึ้นอย่างลำบาก เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 135 ได้ระบุไว้ให้คณะกรรมาธิการฯของฝ่ายรัฐบาลมีมากกว่าฝ่ายค้าน ซึ่งเป้าประสงค์เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้คณะกรรมาธิการฝ่ายค้านมีมากกว่าฝ่ายรัฐบาล