xs
xsm
sm
md
lg

จับตา!มติป.ป.ช.คดีเขาพระวิหาร จุดเปลี่ยน“มาร์ค3”มาก่อนกำหนด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หนึ่งในภารกิจสำคัญของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกจับตามองว่า จะแก้ปัญหาโดยที่ประเทศไม่เสียอธิปไตยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวได้อย่างไร ก็คือกรณีปัญหาเขาพระวิหาร
เหตุเพราะสมัยเป็นฝ่ายค้าน ประชาธิปัตย์ซักฟอก นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจนน่วมชนิดตายกลางสภาฯ มาแล้วในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นหากรัฐบาลไม่สามารถทำให้เรื่องนี้วิน-วินได้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา
มีหวัง เขาพระวิหารจะกลายเป็นเรื่องย้อนศรถึงตัวเอง
ต้องจับตาในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะเป็นประเด็นให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐบาลทันที หากทุกอย่างไม่มีการดึงเรื่อง หรือมีความพยายามเตะถ่วง นั่นก็คือ
การชี้มูลคดีเขาพระวิหารของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.
เพราะนี่จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของคำว่า “บรรทัดฐานการเมือง”ในตัวตนของ อภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำรัฐบาล เมื่อปรากฏว่าคดีเขาพระวิหารมีการเปิดเผยจาก สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป.ป.ช.ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนสำนวนคดีเขาพระวิหารว่า
เจ้าหน้าที่ในอนุกรรมการไต่สวนได้ทำสำนวนรวบรวมข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว และอาจนำเข้าสู่ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เพื่อหารือว่า จำเป็นต้องสอบสวนใครเพิ่มเติมหรือไม่ หรือชี้มูลความผิดเลย
ทว่า เมื่อการประชุมป.ป.ช.วันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ แต่ก็ย่อมหมายความว่าใกล้เข้ามาแล้ว เพราะเมื่อข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว ก็เหลือเพียงการสรุปในข้อกฎหมายที่อนุกรรมการไต่สวนจะนำเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ป.ป.ช.พิจารณาเท่านั้น
ดังนั้น หากประมาณการดังนี้ ก็คาดว่าไม่น่าจะเกินเดือนนี้สำนวน ป.ป.ช. คดีเขาพระวิหารก็ต้องเข้าที่ประชุมใหญ่ให้ ป.ป.ช.ลงมติ ยกเว้นแต่จะมีการดึงเอาไว้เพื่อผลทางการเมืองบางอย่างเท่านั้น ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน หากป.ป.ช.ไม่มีคำอธิบายถึงความล่าช้าในการทำสำนวนเรื่องนี้
เพราะเป็นที่รู้กันว่า ในการทำความเห็นหรือสรุปผลเรื่องต่างๆ ของกรรมการองค์กรอิสระ ส่วนใหญ่จะเสียเวลาไปกับเรื่องข้อเท็จจริงมากกว่า ดังนั้นหากข้อเท็จจริงแน่ชัดแล้ว ข้อกฎหมายก็ใช้เวลาไม่นาน
ดังนั้น หากคดีเขาพระวิหารยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด คำถามจะเกิดขึ้นกับป.ป.ช.ว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงเป็นอีกคดีที่ล่าช้า เหมือนเช่นคดีอื่นๆ ที่ป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เช่นคดีที่รับโอนมาจากคตส.จำนวนมาก หรือคดี 7 ตุลาทมิฬฯ เป็นต้น
ส่วนที่ชี้ว่าคดีเขาพระวิหาร จะเป็นบทพิสูจน์บรรทัดฐานการเมืองของอภิสิทธิ์ ก็เพราะจะพบว่าในคดีนี้ซึ่งเกิดจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มายื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. สอบสวนรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และข้าราชการประจำรวม 41 คน ฐานจงใจละเว้นปฏิบัติหน้าที่...
ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิปราสาทเขาพระวิหาร และที่ดินบริเวณโดยรอบ เมื่อ 14 กรกฏาคม จากกรณีที่มีมติสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก กระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 แต่ผลการสอบสวน ป.ป.ช.ได้เอาผิดเฉพาะข้าราชการการเมือง จนเหลือ 28 คน
อันปรากฏว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้รวมอยู่ด้วย 5 คน คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย
เท่ากับว่าหากป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ครม.สมัคร สุนทรเวช ในเวลานั้นทั้งหมด ก็จะทำให้มีรัฐมนตรี 5 คนจาก 5 พรรคร่วมรัฐบาล คือ ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยฯ-กิจสังคม-ภูมิใจไทยชาติพัฒนา “ติดร่างแห”ตามไปด้วย เพราะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 55
ดังนั้น หากถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมี ”มาร์ค 3” เกิดขึ้นแน่นอน เพราะคงยากที่ อภิสิทธิ์ จะอุ้มรัฐมนตรีทั้ง 5 คนได้ แม้จะอยู่ต่างพรรคก็ตาม เหตุเพราะก่อนหน้านี้ประชาธิปัตย์ ก็ให้อภิรักษ์ โกษะโยธิน ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. มาแล้ว หลังโดนป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ทั้งที่คดียังไปไม่ถึงอัยการ หรือศาลฏีกาฯ
แถมตอนคดีหวยบนดิน ที่ คตส.ยื่นฟ้องครม.ทักษิณ ชินวัตร และศาลฏีกาฯรับฟ้อง รัฐมนตรีในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช 3 คนคือ สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี อดีตรมว.คลัง- อนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรมช.คมนาคม-อุไรวรรณ เทียนทอง อดีตรมว.แรงงาน ฝ่ายประชาธิปัตย์ ก็ออกมารุกไล่วันละ 3 เวลาให้สามรัฐมนตรีดังกล่าวลาออก เพื่อแสดงสปิริตการเมือง และสร้างบรรทัดฐานการเมือง แม้ต่อมารัฐบาลจะส่งเรื่องให้กฤษฏีกาตีความและกฤษฏีกาก็ตีความว่าไม่จำเป็นต้องลาออก
ดังนั้น หากท้ายสุดป.ป.ช.เอาผิดชี้มูลคดีเขาพระวิหารโดยมีชื่อ 5 รัฐมนตรีดังกล่าวโดนด้วย แล้วปรากฏว่าทั้ง 5 คนจะไม่ยอมลาออก เพื่อขอสู้คดีในชั้นศาล โดยที่อภิสิทธิ์ ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วปล่อยให้เกิดสองบรรทัดฐานขึ้นในรัฐบาลที่ตัวเองเป็นผู้นำ ย่อมมีแต่ทำให้ตัวเขาเสื่อมลงแน่นอน
เพราะกรณีของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท.2 ในเรื่องแจกเงินแนบนามบัตรให้ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้ง อภิสิทธิ์ อาจอ้างได้ว่าคดีนี้ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูลความผิด บุญจงยังไม่ได้เข้าแจงข้อเท็จจริงต่อป.ป.ช.
ทว่ากรณีคดีปราสาทเขาพระวิหาร ได้ผ่านกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงมาแล้ว ถึงที่มาที่ไปของมติครม.เมื่อ 17 มิถุนายน 2551 ที่มีมติให้ทำข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา แล้วนำไปใช้เป็นสนธิสัญญาในการเจรจาของสองประเทศ โดยไม่มีการนำเข้าที่ประชุมรัฐสภาให้เห็นชอบ จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรธน.มาตรา 190
ซึ่งหลังจากพันธมิตรฯ ยื่นเรื่องให้เอาผิดกับครม.สมัคร ตามช่องทางรธน.มาตรา 275 เรื่องการดำเนินคดีอาญากับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผ่านป.ป.ช.แล้ว ป.ป.ช.ก็ได้มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศ นายทหารระดับสูงจากกรมแผนที่ทหาร รวมถึงให้นักการเมืองที่ถูกเอาผิดชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งด้วยตัวเอง และหนังสือลายลักษณ์อักษรมาแล้ว โดยพบว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลสมัครทุกคนที่เข้าร่วมประชุม ครม.และมีชื่อถูกพันธมิตรฯ เอาผิดได้ชี้แจงหมดทุกคน ยกเว้นแค่สมัครคนเดียว จึงถือว่าได้ผ่านการสู้คดีมาแล้ว
ที่มาที่ไปของคดีบุญจง กับคดีเขาพระวิหาร จึงย่อมแตกต่างกัน
และคงยากที่อภิสิทธิ์ จะไม่ตัดสินใจปรับครม.ครั้งใหญ่ เมื่อกระบวนการชี้มูลความผิดของป.ป.ช.ที่หากพบว่ามีการชี้มูลกับรัฐมนตรีในรัฐบาลแล้ว ต้องส่งเรื่องไปให้ศาลฏีกาฯ ตามรธน.มาตรา 276 ซึ่งที่ประชุมศาลฏีกาจะตั้งกรรมการไต่สวนอิสระ เพื่อหาข้อเท็จจริง และสรุปสำนวนการไต่สวนต่อไป
อันจะพบว่ากว่าที่ขั้นตอนจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาอีกนาน จึงยากที่กระแสสังคมจะรอได้
อย่างไรก็ตาม สถาการณ์เช่นนี้อาจเป็นโอกาสให้อภิสิทธิ์ ผ่าตัดครม.ครั้งใหญ่ที่อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จ และจะเป็นการปรับ ครม.โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีอำนาจต่อรองเหมือนตอนตั้งรัฐบาล
สำคัญก็เพียงแต่ป.ป.ช.จะต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดโดยเร็ว ไม่ใช่ล่าช้า อืดอาดเหมือนกับคดีหลายต่อหลายคดีก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีคำตอบถึงสภาพการทำงานแบบอืดเป็นเรือเกลือ ?
กำลังโหลดความคิดเห็น