“เสธ.หนั่น” รอศาลตัดสินกรณี 3 รมต.ระบุลงมติโหวตไม่ได้เพื่อส่วนตัว ไม่ห่วงเสียงหายเชื่อแม้เสียงปริ่มน้ำยังคุมสภาได้ ยันตำรวจ-ทหารปฏิบัติต่อเสื้อเหลือง-เสื้อแดงเท่าเทียมกัน มองแง่บวกหาทางชี้แจงเสื้อแดงชุมนุมแค่ขอเรียกร้อง ระบุไม่รุนแรง
วันนี้ (2 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ 3 รัฐมนตรี ลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 เมื่อวันที่ 28 ม.ค. อาจขัดรัฐธรรมนูญว่า เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรนูญจะพิจารณา ซึ่งต้องตีความว่าเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของใครหรือของตนเองหรือไม่ ฝ่ายที่รับผิดชอบก็ต้องดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีการหารือในประเด็นที่ห้ามรัฐมนตรีโหวตลงคะแนนหรือไม่ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ได้มีการคุยกัน แล้วมองเห็นว่าไม่น่าจะเป็นผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะการลงมติเป็นเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น เป็นการไม่ไว้วางใจอย่างนี้ก็เป็นประโยชน์กับใครก็ได้ ดังนั้น เรื่องนี้ก็ให้เป็นเรื่องศาลรัฐธรรนูญจะพิจารณา
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับครม.ก่อน พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ท่านนายกฯ ขอ เวลา 3 วัน ฉะนั้นก็อยู่ที่นายกฯ จะพิจารณา ส่วนจะมีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ คิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคร่วม และหากจะมีการปรับอะไรในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา ตอนนี้ยังไม่มีรัฐมนตรีก็ยังเป็นคนเดิมอยู่ “แหม จะรีบไล่ผมแล้วเหรอ” พล.ต.สนั่น กล่าวทีเล่นทีจริง
ถามต่อว่า รัฐบาลทำงานได้เดือนเดียวจะปรับ ครม.แล้วหรือ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า อยู่ที่การตัดสินใจและข้อเท็จจริงที่นายกฯ ท่านจะสอบสวน ว่าได้ความอย่างไรก็ตัดสินใจไปตามนั้น ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รัฐบาลจะทนการกดดันทั้งในและนอกสภาได้อีกนานเท่าใด พล.ต.สนั่น กล่าวว่า สำหรับในสภาก็น่าจะยืนหยัดต่อไปได้ แม้เสียงจะปริ่มน้ำ ยืนยันว่าเสียงเกิน 20 กว่าเสียง ถ้าไม่แตกแยกกัน ก็สามารถที่จะควบคุมการดำเนินงานในสภาได้ ส่วนนอกสภาเป็นวิถีทางของประชาชน การกดดันถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ที่รัฐบาลจะต้องตอบให้ได้ว่า ทำให้ได้หรือไม่ เหตุผลเพราะอะไรเท่านั้นเอง เพราะการชุมนุมก็ไม่ได้มีการใช้อาวุธไม่มีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ
เมื่อถามต่อว่า รัฐบาลไม่สนใจใช่หรือไม่ที่มีเหตุการณ์เดินขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งอาจเกิดความรุนแรงขึ้นได้ พล.ต.สนั่นกล่าวว่า เราไม่อยากให้เกิดความรุนแรง และที่ว่าข้อเรียกร้องเก่าๆ หากยังไม่ได้รับการแก้ไขจะให้เกิดความสมานฉันท์ได้อย่างไรนั้นว่าอันที่จริงเรื่องเก่าๆ ตัวเองก็ว่าตัวเป็นกลาง และที่จริงเรื่องเก่าๆ ก็เกิดมาจากรัฐบาลเก่าๆ เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้ ก็ต้องมาดูว่า เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า พูดให้ถึงที่สุดแล้วจะเห็นว่าข้าราชการทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็เป็นพวกเดิมรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ยอมทำหน้าที่แต่มารัฐบาลนี้กลับยอมทำจะให้ประชาชนมองอย่างไร พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ก็ยังคล้ายกัน เพราะยังมีการปล่อยให้ผู้ชุมนุมเดินจากสนามหลวงมาทำเนียบได้ ก็พอกัน ก็คงไม่ใช่เป็นการเลือกปฏิบัติแต่ก็คงต้องปล่อยตามเหตุการณ์ เวลาที่เสื้อเหลืองมา เขาก็ไม่คัดค้านและเมื่อเสื้อแดงมาก็ไม่คัดค้านอีกปฏิบัติเหมือนกัน คือไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ส่วนจะให้ประชาขนมองอย่างไรที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย พล.ต.สนั่น กล่าวว่า หากมีการทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ แต่หากประชาชนเขาเดินทางมาด้วยความเรียบร้อยก็ปล่อยให้มาเรียกร้องได้ เพราะเสื้อแดงเขาบอกแล้วว่าขอมาเอาข้อเรียกร้องของเขามาติดที่ข้างรั้วทำเนียบให้นายกฯอ่าน
ต่อข้อถามว่าก่อนถึง 15 วันที่เสื้อแดงตั้งกำหนดเวลาเอาไว้นั้น รัฐบาลควรทำอย่างไรบ้าง พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ก็ควรจะชี้แจงว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เช่น การแก้ไขรัฐธรรนูญจะให้เอารัฐธรรมนูญ 40 กลับมาใช้คงเป็นไปไม่ได้ หากจะแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องแก้กันเป็นเรื่องๆ ไป
ส่วนเรื่องการดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ได้ดำเนินคดีไปบางเรื่องแล้ว และเรื่องให้รัฐบาลลาออกมันก็สุดวิสัยเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้ทำผิดอะไร ขอเรียนว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลก็ต้องพิจารณาเหมือนกัน เมื่อถามว่าหากครบ 15 วันแล้วยังไม่มีคำตอบให้เสื้อแดงจะทำอย่างไร พล.ต.สนั่น กล่าวว่า คนเสื้อแดงก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงอะไร เขาใช้วิธีการสันติอยู่แล้ว จึงคิดว่า เขาน่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ส่วนจะมาวันราชการนั้นเขาก็คงมาเรียกร้องไต่ถามว่ามีการดำเนินงานไปแค่ไหน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องชี้แจง
ต่อข้อถามที่ว่า เรื่องคดีของพันธมิตรฯ รัฐบาลจะเร่งรัดให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมไม่ใช่มีแต่เจอโรคเลื่อนอยู่เรื่อยๆ พล.ต.สนั่น กล่าวว่า เรื่องนี้ก็อยู่ที่ศาล หรือพนักงานตำรวจ ถ้าจะเร่งได้ก็เร่งตรงที่เจ้าพนักงานตำรวจ แต่พอเรื่องไปถึงอัยการแล้วคงจะไปเร่งอะไรไม่ได้ ศาลก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีการดำเนินคดีแล้วก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย