มาลี ระบุตลาดน้ำผลไม้ 7,500 ล้านบาท โตเป็นตัวเลขหลักเดียว 2 ปีซ้อน เศรษฐกิจพ่นพิษกระทบกำลังซื้อแผ่ว คอสุขภาพแห่ดื่มน้ำผลไม้ระดับกลางแทนพรีเมียม ปั้นน้ำผลไม้ผสมโอเมก้าทรี รับมือฟังก์ชันนัลดริงก์ดูดฐานลูกค้า พร้อมจ่อคิวระเบิดสินค้าใหม่ กิจกรรม สิ้นปีโต 15% หวัง 3-5 ปีสอยบัลลังก์ทิปโก้
นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตราผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทมาลีสามพราน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 7,500 ล้านบาท ในปีนี้มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว โดยมีอัตราการเติบโตสูงสุดไม่เกิน 8% ต่ำสุด 3-4 %เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเติบโตที่ลดลงในรอบ 4 ปี ที่ผ่านมาตลาดน้ำผลไม้มีอัตราการเติบโต 10-20% ทั้งนี้เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบกำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง
ทั้งนี้ พบว่า พฤติกรรมการซื้อน้ำผลไม้ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยหันมาซื้อน้ำผลไม้เซกเมนต์ระดับกลางแทนการซื้อน้ำผลไม้ระดับพรีเมียม ส่งผลให้น้ำผลไม้ระดับกลาง มูลค่าตลาด 580 ล้านบาท เติบโต 21-22% เซกเมนต์อีโคโนมีโต 10% เซกเมนต์พรีเมียมโต 4% ส่วนซูเปอร์อีโคโนมีติดลบ5% และพาสเจอร์ไรสติดลบ ถึง23 % เพราะเป็นเซกเมนต์ที่มีราคาสูง
สำหรับทิศทางการทำตลาดของน้ำผลไม้มาลีในปีนี้ บริษัทไม่มีแผนตัดงบการตลาด โดยยังคงใช้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้มุ่งเน้นการใช้งบให้เกิดประสิทธิภาพ เน้นการทำกิจกรรมการตลาดควบคู่กับการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต
ล่าสุด ได้นำเสนอน้ำผลไม้ภายใต้คอนเซ็ปต์ Heati plus คือ น้ำทับทิมผสมสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ผสมโอเมก้าทรี เข้ามาวางจำหน่ายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ส่ใจสุขภาพและตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มีเวลาในการดูแลสุขภาพน้อยลง
"การเปิดตัวสินค้าใหม่ น้ำผลไม้ผสมโอเมก้าทรี เพื่อรองรับกับการแข่งขันกับเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลดริงก์ ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เพราะถือเป็นเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากเทียบกับน้ำผลไม้จะได้เปรียบกว่า เพราะสามารถดื่มได้ทั้งวันได้ไม่จำกัด"
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 15% จากปีที่ผ่านมาเติบโต 20% และเป้าหมายทางการตลาด 3-5 ปี น้ำผลไม้ตรามาลี ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดผลไม้พรีเมียม หรือน้ำผลไม้ 100% แทนทิปโก้ หลังจากปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 20% จากเดิมที่มีอยู่ 15-16% ขึ้นมาเป็นอันดับสองในตลาดน้ำผลไม้ระดับพรีเมียมมูลค่า 2,300 ล้านบาทแซงยูนิฟ ที่มีส่วนแบ่งตลาด 18% ส่วนอันดับหนึ่งยังคงเป็นทิปโก้ที่มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 38-40 %
นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตราผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัทมาลีสามพราน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 7,500 ล้านบาท ในปีนี้มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว โดยมีอัตราการเติบโตสูงสุดไม่เกิน 8% ต่ำสุด 3-4 %เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเติบโตที่ลดลงในรอบ 4 ปี ที่ผ่านมาตลาดน้ำผลไม้มีอัตราการเติบโต 10-20% ทั้งนี้เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบกำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง
ทั้งนี้ พบว่า พฤติกรรมการซื้อน้ำผลไม้ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยหันมาซื้อน้ำผลไม้เซกเมนต์ระดับกลางแทนการซื้อน้ำผลไม้ระดับพรีเมียม ส่งผลให้น้ำผลไม้ระดับกลาง มูลค่าตลาด 580 ล้านบาท เติบโต 21-22% เซกเมนต์อีโคโนมีโต 10% เซกเมนต์พรีเมียมโต 4% ส่วนซูเปอร์อีโคโนมีติดลบ5% และพาสเจอร์ไรสติดลบ ถึง23 % เพราะเป็นเซกเมนต์ที่มีราคาสูง
สำหรับทิศทางการทำตลาดของน้ำผลไม้มาลีในปีนี้ บริษัทไม่มีแผนตัดงบการตลาด โดยยังคงใช้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้มุ่งเน้นการใช้งบให้เกิดประสิทธิภาพ เน้นการทำกิจกรรมการตลาดควบคู่กับการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต
ล่าสุด ได้นำเสนอน้ำผลไม้ภายใต้คอนเซ็ปต์ Heati plus คือ น้ำทับทิมผสมสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ผสมโอเมก้าทรี เข้ามาวางจำหน่ายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ส่ใจสุขภาพและตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มีเวลาในการดูแลสุขภาพน้อยลง
"การเปิดตัวสินค้าใหม่ น้ำผลไม้ผสมโอเมก้าทรี เพื่อรองรับกับการแข่งขันกับเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนัลดริงก์ ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เพราะถือเป็นเครื่องดื่มที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากเทียบกับน้ำผลไม้จะได้เปรียบกว่า เพราะสามารถดื่มได้ทั้งวันได้ไม่จำกัด"
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 15% จากปีที่ผ่านมาเติบโต 20% และเป้าหมายทางการตลาด 3-5 ปี น้ำผลไม้ตรามาลี ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดผลไม้พรีเมียม หรือน้ำผลไม้ 100% แทนทิปโก้ หลังจากปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 20% จากเดิมที่มีอยู่ 15-16% ขึ้นมาเป็นอันดับสองในตลาดน้ำผลไม้ระดับพรีเมียมมูลค่า 2,300 ล้านบาทแซงยูนิฟ ที่มีส่วนแบ่งตลาด 18% ส่วนอันดับหนึ่งยังคงเป็นทิปโก้ที่มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 38-40 %