ตลาดน้ำผลไม้เติบโต เหตุคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ผู้ประกอบการงัดกลยุทธ์สารพัดเข้ามาห้ำหั่นเต็มที่ ชี้ตลาดกลุ่มซูเปอร์อีโคสูงสุด ด้านมาลี ปรับลดเป้าอัตราการเติบโตเหลือ 30% เหตุเศรษฐกิจรุมเร้า ปรับลดขนาดแคมเปญลง แต่ยันใช้งบตลาดเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท
นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้นด้วย อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาวิธีการที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเงินที่ใช้ไปนั้นเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับลดอัตราการเติบโตโดยรวมของบริษัทฯเหลือประมาณ 30% จากเดิมเมื่อต้นปีวางเป้าหมายว่าจะเติบโตประมาณ 35-40% เนื่องจากปัจจัยลบดังกล่าว แต่บริษัทฯก็ยังคงเดินหน้าทำการตลาดต่อเนื่องทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การออกสินค้าใหม่ โดยใช้งบตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาทในปีนี้ จากเดิมปีที่แล้วใช้ประมาณ 200 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี แต่ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการมีการทำตลาดต่อเนื่องทั้งลดแลกแจกแถม การทำโปรโมชั่น จึงทำให้ตลาดมีการแข่งขันที่สูง โดยไตรมาสแรกตลาดรวมน้ำผลไม้มีอัตราการเติบโต 16% ส่วนไตรมาสที่สองเติบโตลดลง 10% เพราะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง และคาดว่าภายในครึ่งปีหลังนี้ตลาดรวมน่าจะเติบโตที่ 8-10%
โดยตลาดกลุ่มพรีเมียมเติบโต 12% กลุ่มมีเดียมตกลง 5% และกลุ่มซูเปอร์อีโค เติบโตมากที่สุด 14% ขณะที่หากแบ่งเป็นรสชาตินั้น น้ำส้มจะเป็นตลาดใหญ่ที่สุดด้วยสัดส่วนกว่า 30-35% เพราะเป็นรสชาติที่คนไทยชอบบริโภคมากที่สุด
ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงไตรมาสแรกปี 2551 นี้เติบโต 27% ส่วนไตรมาสที่สองเติบโตประมาณ 25% จากปีที่แล้วทั้งปีเติบโต 17%
ปัจจุบันตลาดรวมน้ำผลไม้มีมูลค่าประมาณ 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดพรีเมี่ยม สัดส่วน 2,800 ล้านบาท ตลาดมีเดียม สัดส่วน 1,000 กว่าล้านบาท และตลาดซูเปอร์อีโค สัดส่วนตลาด 3,700 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบเป็นองค์กรนั้น ค่ายทิปโก้ เป็นผู้นำตลาดด้วยแชร์ 27% รองลงมาคือ มาลี กับ ยูนิฟในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือประมาณ 16%
สำหรับการทำตลาดของมาลีในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะเดินหน้าเต็มที่ โดยจะมีการปรับรูปแบบแคมเปญส่งเสริมการขายให้มีขนาดเล็กลงและรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง ซึ่งล่าสุดคือ การจัดแคมเปญ “น้ำส้มมาลี 3 รสชาติใหม่ อร่อยเหลือเชื่อ” กับน้ำส้มรสชาติแมนดาริน น้ำส้มเขียวหวาน น้ำส้มเนเวล ซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาด คือ 1,000 และ 200 ซีซี ด้วยงบประมาณมากกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแคมเปญใหญ่ของครึ่งปีหลัง นอกจากนั้นจะเป็นแคมเปญไม่ใหญ่
โดยจะเน้นการสร้างการรับรู้กับกลุ่มเป้าหมายอายุ 25-40 ปี เพื่อสร้างยอดขาย ด้วยกลยุทธ์การจัดโรดโชว์ และจัดแคมเปญ “ชอปเซอร์ไพร้ซ์ บุฟเฟท์ทอง 1 ล้านบาท กับมาลี” พร้อมออกหนังโฆษณาชุดใหม่เพื่อสนับสนุนแคมเปญด้วย
การจัดแคมเปญดังกล่าวนี้ บริษัทฯคาดว่าจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯมียอดการเติบโตขึ้น 30 % และคาดว่าจะช่วยทำให้ยอดขายรวมของบริษัทฯทั้งปีนี้มีการเติบโตที่ 30% และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอีกอย่างน้อย 3% ได้แน่นอน
สำหรับต้นทุนการผลิตที่สูงอยู่ในขณะนี้ นางสาวสุวรรณา ยืนยันว่า บริษัทฯยังไม่มีการใช้กลยุทธ์ไซซ์ซิ่งหรือการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ลง เนื่องจากปริมาณที่จำหน่ายอยู่นี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว และบริษัทฯก็ยังพอแบกรับต้นทุนได้ เพราะไม่ต้องการผลักภาระให้กับผู้บริโภค ซึ่งตลาดหลักตอนนี้กคือ ขนาด 200 ซีซี และขนาด 1 ลิตร
นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้นด้วย อีกทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาวิธีการที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเงินที่ใช้ไปนั้นเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับลดอัตราการเติบโตโดยรวมของบริษัทฯเหลือประมาณ 30% จากเดิมเมื่อต้นปีวางเป้าหมายว่าจะเติบโตประมาณ 35-40% เนื่องจากปัจจัยลบดังกล่าว แต่บริษัทฯก็ยังคงเดินหน้าทำการตลาดต่อเนื่องทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การออกสินค้าใหม่ โดยใช้งบตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาทในปีนี้ จากเดิมปีที่แล้วใช้ประมาณ 200 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยดี แต่ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการมีการทำตลาดต่อเนื่องทั้งลดแลกแจกแถม การทำโปรโมชั่น จึงทำให้ตลาดมีการแข่งขันที่สูง โดยไตรมาสแรกตลาดรวมน้ำผลไม้มีอัตราการเติบโต 16% ส่วนไตรมาสที่สองเติบโตลดลง 10% เพราะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง และคาดว่าภายในครึ่งปีหลังนี้ตลาดรวมน่าจะเติบโตที่ 8-10%
โดยตลาดกลุ่มพรีเมียมเติบโต 12% กลุ่มมีเดียมตกลง 5% และกลุ่มซูเปอร์อีโค เติบโตมากที่สุด 14% ขณะที่หากแบ่งเป็นรสชาตินั้น น้ำส้มจะเป็นตลาดใหญ่ที่สุดด้วยสัดส่วนกว่า 30-35% เพราะเป็นรสชาติที่คนไทยชอบบริโภคมากที่สุด
ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทฯในช่วงไตรมาสแรกปี 2551 นี้เติบโต 27% ส่วนไตรมาสที่สองเติบโตประมาณ 25% จากปีที่แล้วทั้งปีเติบโต 17%
ปัจจุบันตลาดรวมน้ำผลไม้มีมูลค่าประมาณ 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดพรีเมี่ยม สัดส่วน 2,800 ล้านบาท ตลาดมีเดียม สัดส่วน 1,000 กว่าล้านบาท และตลาดซูเปอร์อีโค สัดส่วนตลาด 3,700 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบเป็นองค์กรนั้น ค่ายทิปโก้ เป็นผู้นำตลาดด้วยแชร์ 27% รองลงมาคือ มาลี กับ ยูนิฟในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือประมาณ 16%
สำหรับการทำตลาดของมาลีในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะเดินหน้าเต็มที่ โดยจะมีการปรับรูปแบบแคมเปญส่งเสริมการขายให้มีขนาดเล็กลงและรูปแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง ซึ่งล่าสุดคือ การจัดแคมเปญ “น้ำส้มมาลี 3 รสชาติใหม่ อร่อยเหลือเชื่อ” กับน้ำส้มรสชาติแมนดาริน น้ำส้มเขียวหวาน น้ำส้มเนเวล ซึ่งมีให้เลือก 2 ขนาด คือ 1,000 และ 200 ซีซี ด้วยงบประมาณมากกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแคมเปญใหญ่ของครึ่งปีหลัง นอกจากนั้นจะเป็นแคมเปญไม่ใหญ่
โดยจะเน้นการสร้างการรับรู้กับกลุ่มเป้าหมายอายุ 25-40 ปี เพื่อสร้างยอดขาย ด้วยกลยุทธ์การจัดโรดโชว์ และจัดแคมเปญ “ชอปเซอร์ไพร้ซ์ บุฟเฟท์ทอง 1 ล้านบาท กับมาลี” พร้อมออกหนังโฆษณาชุดใหม่เพื่อสนับสนุนแคมเปญด้วย
การจัดแคมเปญดังกล่าวนี้ บริษัทฯคาดว่าจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯมียอดการเติบโตขึ้น 30 % และคาดว่าจะช่วยทำให้ยอดขายรวมของบริษัทฯทั้งปีนี้มีการเติบโตที่ 30% และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอีกอย่างน้อย 3% ได้แน่นอน
สำหรับต้นทุนการผลิตที่สูงอยู่ในขณะนี้ นางสาวสุวรรณา ยืนยันว่า บริษัทฯยังไม่มีการใช้กลยุทธ์ไซซ์ซิ่งหรือการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ลง เนื่องจากปริมาณที่จำหน่ายอยู่นี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว และบริษัทฯก็ยังพอแบกรับต้นทุนได้ เพราะไม่ต้องการผลักภาระให้กับผู้บริโภค ซึ่งตลาดหลักตอนนี้กคือ ขนาด 200 ซีซี และขนาด 1 ลิตร