xs
xsm
sm
md
lg

ใช้สื่อนอกตี-ยั่วกองทัพหลงกล !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตและสรุปตรงกันว่าข่าวคราวการกระทำทารุณกรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพไทยต่อผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายชาว โรฮิงยา ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในพม่า ที่สื่อต่างประเทศบางแห่งกำลังประโคมข่าวกันอยู่ในเวลานี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติและน่าจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังแน่นอน

เพราะหากถามกันซ้ำๆว่าปัญหาชนกลุ่มน้อยโรฮิงยา ในรัฐ “อาราคาน” ทางทิศตะวันตกของพม่าติดกับชายแดนด้านบังคลาเทศ และถูกรัฐบาลเผด็จการทหารปราบปรามอย่างโหดร้ายเป็นระยะ จนต้องอพยพหลบหนีออกนอกประเทศ รวมทั้งหลบหนีเข้ามาประเทศไทยทั้งทางบกและทางเรือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานานหลายสิบปีแล้ว

ที่ผ่านมากองทัพเรือซึ่งรับผิดชอบน่านน้ำไทยเมื่อพบเห็นหรือจับกุมได้ก็ผลักดันออกไปตามปกติ เหมือนกับผู้หลบหนีเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ

สื่อต่างประเทศก็ไม่เคยให้ความสนใจ นำเสนอเป็นเรื่องหลักแบบนี้มาก่อน และพุ่งเป้าไปที่กองทัพอย่างผิดสังเกต เพราะก่อนหน้านั้นเวลาไล่เลี่ยกันยังมีรายงานข่าวในเรื่องการทรมาณผู้นำศาสนาซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดภาคใต้อีกด้วย

ถ้ามองอย่างตรงไปตรงมา และถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้ เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์ในภาคใต้คงไม่ลุกลามรุนแรงมาจนทุกวันนี้

แต่เมื่อสื่อต่างประเทศรายงานข่าวแง่ลบกับไทยในช่วงนี้ก็ต้องบอกว่ามันผิดปกติ

ขณะเดียวกันเมื่อย้อนกลับไปดูแบ็กกราวด์ ไปพิจารณากันแต่ละสื่อมันก็ยิ่งเข้าเค้า ไม่ว่าจะเป็นบีบีซี ซีเอ็นเอ็น เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หรือ ดิ อีโคโนมิสต์ ล้วนแล้วมีเรื่องคาใจกันมาก่อน

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ กรณีผู้สื่อข่าวบีบีซีในประเทศไทยคนหนึ่งก็มีคดีหมิ่นเบื้องสูงมาแล้ว หรือผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นประจำภูมิภาคเอเซียก็เคยถูกมองว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับเครือข่ายระบอบทักษิณ เห็นได้ชัดมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

นอกจากนี้หากแกะรอยให้ลึกลงไปอีกว่ารายงานข่าวเกี่ยวกับ โรฮิงยา เริ่มมาจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ก็ล้วนมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ “แซมมูน” ซึ่งได้รับอุปโหลก จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นผู้บริหาร “มูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า” เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ปีที่แล้ว อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อช่วยกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของเอเซีย

แต่ว่ากันว่าสาเหตุของการตั้งมูลนิธิดังกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีอะไรมากไปกว่าสร้างความสนใจ ไม่ให้ถูกลืมไปจากพื้นที่สื่อเท่านั้น เพราะจนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวเป็นชิ้นเป็นอันออกมาให้เห็นอีกเลย

ที่น่าสนใจก็คือ นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ฉบับล่าสุดก็ได้ถูก “แบน” จากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากมีเนื้อหาพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ถือเป็นการแบนครั้งที่สองในรอบสองเดือน แล้วหากย้อนกลับไปอีกก็จะเห็นนิตยสารฉบับเดียวกันนี้ยังเขียนบทความชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่มีการรายงานเชิงลบ บิดเบือนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่ง แซม มูน คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจ้างให้เป็นผู้บริหารมูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า เคยทำงานกับนิตยสารแห่งนี้มาแล้วนั่นเอง

ยังไม่นับกรณีบรรดานักนักวิชาการที่มักใช้เป็นแหล่งข่าว อ้างอิง ส่วนใหญ่ล้วนมีความสนิทชิดเชื้อกับ “เครือข่ายระบอบทักษิณ” ทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับ จักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น

เมื่อเชื่อมโยง ปะติดปะต่อกันแล้วทำให้ต้องตั้งข้อสงสัยว่า สื่อต่างประเทศเหล่านี้เป็นเครือข่ายเดียวกันที่จงใจหยิบยกเรื่องปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวโรฮิงยา มาเล่นงานรัฐบาลไทย หรือไม่ โดยเน้นไปที่กองทัพเป็นหลัก เพราะรู้ว่าเป็นองค์กรสำคัญองค์กรหนึ่งที่สนับสนุนรัฐบาล

เข้าข่ายเป็นการเคลื่อนโจมตีจากภายนอกในลักษณะยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” เพื่อทำลายภาพพจน์

เพราะบังเอิญว่าในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกลุ่ม “มวลชนเสื้อแดง” ก็รวบรวมกำลังเท่าที่มีนัดชุมนุมใหญ่ระดมกันเข้ามากดดันอีกทางหนึ่ง และมีแนวโน้มก่อความรุนแรง เหมือนจงใจยั่วยุให้กองทัพออกมาปราบปรามเพื่อให้ “เข้าทาง” หรือไม่

อย่างไรก็ดีนาทีนี้ แม้จะถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของสื่อต่างประเทศตามวิชาชีพ แต่เมื่อพิจารณาจากทุกแง่มุม และแบ็กกราวด์เชื่อมโยงกันแล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่างานนี้มันมีพิรุธ เป็นแผนโลกล้อมประเทศหรือไม่

แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายรัฐบาลก็ต้องไม่ใช่เป็นฝ่ายตั้งรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษกรัฐบาลต้องเข้มข้นและชี้แจงตอบโต้อย่างฉับไวมากกว่าที่เป็นอยู่ !!

กำลังโหลดความคิดเห็น