ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์ข้อมูลชี้สารพัดมาตรการรัฐฯช่วยผู้โอนบ้านปี 52 ลดค่าใช้จ่าย 80,000 บาทเป็นอย่างน้อย ส่วนมาตรการนำเงินต้นลดหย่อนภาษี 3 แสนบาท คนรายได้ 40,000 บาท/เดือนขึ้นไปจึงจะได้ประโยชน์ คาดกระตุ้นการโอนทั้งปีได้ 71,000 หน่วย เผยตัวเลขสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย 3 ไตรมาส ปี 51 244,816 หน่วย ชี้โครงการไฮเอนด์จับกลุ่มลูกค้าต่างชาติระวังขายไม่ออก
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯจากการคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2552 นั้น ต้องมองปัจจัยจากตลาดต่างประเทศ และกระทบจากวิกฤตการเงิน โดยโครงการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทขึ้นไป และที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะขายดี อยู่ที่ระดับราคา 1.5 - 2 ล้านบาท เพราะได้รับอานิสงส์จาก 2 มาตรการรัฐฯ โดยมาตรการหักลดหย่อนภาษีเงินได้พึงประเมิน รายการเงินต้น 3 แสนบาท และรายการดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาทที่ผ่านมติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2552 คาดว่าจะทำให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ถึง 71,000 หน่วย จากเดิมที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ 61,000 หน่วย
ทั้งนี้ เมื่อนำผลประโยชน์ของมาตรการทุกมาตรการรวมกันแล้ว จะทำให้ผู้ซื้อและโอนบ้านภายในปีนี้ ได้ประโยชน์หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 80,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการนำเงินต้นหักลดหย่อนภาษี 3 แสนบาทนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จะต้องมีรายได้ตั้งแต่ 40,000 บาท/เดือนขึ้นไป และผู้ที่ต้องเสียภาษี 30-37% ต่อปีจะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุด
นายสัมมากล่าวถึงผลการลงพื้นที่สำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพ-ปริมณฑล ณ สิ้นไตรมาส 3 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป รวม 1,126 โครงการ จำนวน 244,816 หน่วย ราคาขายเฉลี่ย 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 913 โครงการ จำนวน 155,819 หน่วย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 42% ทาวน์เฮาส์ 41% บ้านแฝด 9% อาคารพาณิชย์ 5% และที่ดินเปล่าประมาณ 3% โดยจำนวนดังกล่าวพบว่า มีโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว จำนวน 90,911 หน่วย ขายได้ 87% เหลือขาย 13%, 2. โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง 29,424 หน่วย ขายได้ 34% เหลือขาย 66% และ 3.โครงการที่ยังไม่ได้สร้าง 35, 484 หน่วย ขายได้ 12% เหลือขาย 88%
ด้านโครงการคอนโดมิเนียม 213 โครงการ รวม 88,997 หน่วย โดยแบ่งเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว 36,395 หน่วย ขายได้ 90% เหลือขาย 10% โครงการระหว่างก่อสร้าง 41,154 หน่วย ขายได้ 71% เหลือขาย 29% และ โครงการที่ยังไม่ได้สร้าง 11,449 หน่วย ขายได้ 62% เหลือขาย 38%
ในจำนวนที่สำรวจนั้น แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยระดับราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท สัดส่วน 27%, ระดับราคา 1 - 2.99 ล้านบาท 46%, ราคา 3 - 4.99 ล้านบาท 13%, ระดับราคา 5 - 7.49 ล้านบาท 5% และระดับราคาสูงกว่า 7.5 ล้านบาท สัดส่วน 8% โดยกลุ่มที่ขายดีอยู่ที่กลุ่มระดับราคา 1- 2.99 ล้านบาท
ขณะที่อัตราการดูดซับตลอดช่วง 3 ไตรมาสของปี 2551 ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมยังคงมีอัตราการดูดซับที่สูงกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบคือประมาณ 33 - 34% หรือสามารถปิดการขายโครงการได้ภายใน 3 ไตรมาส ส่วนโครงการแนวราบ อัตราดูดซับอยู่ที่ 14% หรือประมาณ 7 ไตรมาสจึงสามารถจะปิดการขายโครงการได้ อย่างไรก็ตามนับจากไตรมาส 4 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงิน ทำให้อัตราการดูดซับของทั้งคอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยแนวราบช้าลงกว่าเวลาปกติ
นายสัมมากล่าวว่า โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่มียอดขายไม่ดีนัก เฉลี่ยที่ประมาณไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนที่เปิดขาย ถือว่ามีความเสี่ยงมาก ส่วนโครงการที่ไม่ได้ก่อสร้าง แล้วยอดขายไม่ดีนั้น มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะคืนเงินลูกค้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงสร้าง แล้วไม่สามารถขายหรือโอนได้ จึงมีกระแสข่าวว่ามีหลายโครงการที่ไปไม่รอดเตรียมขายยกโครงการ หรือหยุดการขายแล้ว โดยเฉพาะโครงการระดับไฮเอนด์ ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ ในย่านเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯจากการคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2552 นั้น ต้องมองปัจจัยจากตลาดต่างประเทศ และกระทบจากวิกฤตการเงิน โดยโครงการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทขึ้นไป และที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะขายดี อยู่ที่ระดับราคา 1.5 - 2 ล้านบาท เพราะได้รับอานิสงส์จาก 2 มาตรการรัฐฯ โดยมาตรการหักลดหย่อนภาษีเงินได้พึงประเมิน รายการเงินต้น 3 แสนบาท และรายการดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาทที่ผ่านมติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2552 คาดว่าจะทำให้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ถึง 71,000 หน่วย จากเดิมที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ 61,000 หน่วย
ทั้งนี้ เมื่อนำผลประโยชน์ของมาตรการทุกมาตรการรวมกันแล้ว จะทำให้ผู้ซื้อและโอนบ้านภายในปีนี้ ได้ประโยชน์หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 80,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการนำเงินต้นหักลดหย่อนภาษี 3 แสนบาทนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จะต้องมีรายได้ตั้งแต่ 40,000 บาท/เดือนขึ้นไป และผู้ที่ต้องเสียภาษี 30-37% ต่อปีจะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุด
นายสัมมากล่าวถึงผลการลงพื้นที่สำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพ-ปริมณฑล ณ สิ้นไตรมาส 3 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป รวม 1,126 โครงการ จำนวน 244,816 หน่วย ราคาขายเฉลี่ย 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 913 โครงการ จำนวน 155,819 หน่วย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 42% ทาวน์เฮาส์ 41% บ้านแฝด 9% อาคารพาณิชย์ 5% และที่ดินเปล่าประมาณ 3% โดยจำนวนดังกล่าวพบว่า มีโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว จำนวน 90,911 หน่วย ขายได้ 87% เหลือขาย 13%, 2. โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง 29,424 หน่วย ขายได้ 34% เหลือขาย 66% และ 3.โครงการที่ยังไม่ได้สร้าง 35, 484 หน่วย ขายได้ 12% เหลือขาย 88%
ด้านโครงการคอนโดมิเนียม 213 โครงการ รวม 88,997 หน่วย โดยแบ่งเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว 36,395 หน่วย ขายได้ 90% เหลือขาย 10% โครงการระหว่างก่อสร้าง 41,154 หน่วย ขายได้ 71% เหลือขาย 29% และ โครงการที่ยังไม่ได้สร้าง 11,449 หน่วย ขายได้ 62% เหลือขาย 38%
ในจำนวนที่สำรวจนั้น แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยระดับราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท สัดส่วน 27%, ระดับราคา 1 - 2.99 ล้านบาท 46%, ราคา 3 - 4.99 ล้านบาท 13%, ระดับราคา 5 - 7.49 ล้านบาท 5% และระดับราคาสูงกว่า 7.5 ล้านบาท สัดส่วน 8% โดยกลุ่มที่ขายดีอยู่ที่กลุ่มระดับราคา 1- 2.99 ล้านบาท
ขณะที่อัตราการดูดซับตลอดช่วง 3 ไตรมาสของปี 2551 ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมยังคงมีอัตราการดูดซับที่สูงกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบคือประมาณ 33 - 34% หรือสามารถปิดการขายโครงการได้ภายใน 3 ไตรมาส ส่วนโครงการแนวราบ อัตราดูดซับอยู่ที่ 14% หรือประมาณ 7 ไตรมาสจึงสามารถจะปิดการขายโครงการได้ อย่างไรก็ตามนับจากไตรมาส 4 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงิน ทำให้อัตราการดูดซับของทั้งคอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยแนวราบช้าลงกว่าเวลาปกติ
นายสัมมากล่าวว่า โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง แต่มียอดขายไม่ดีนัก เฉลี่ยที่ประมาณไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนที่เปิดขาย ถือว่ามีความเสี่ยงมาก ส่วนโครงการที่ไม่ได้ก่อสร้าง แล้วยอดขายไม่ดีนั้น มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะคืนเงินลูกค้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงสร้าง แล้วไม่สามารถขายหรือโอนได้ จึงมีกระแสข่าวว่ามีหลายโครงการที่ไปไม่รอดเตรียมขายยกโครงการ หรือหยุดการขายแล้ว โดยเฉพาะโครงการระดับไฮเอนด์ ที่จับกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติ ในย่านเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น