"รบ.มาร์ค" ทุ่มมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เล็งเข็นเพิ่ม 2 มาตรการเด็ดเข้า ครม. วันที่ 13-14 ม.ค.นี้ เพิ่มลดหย่อนภาษีเป็น 2 แสน พร้อมตั้งบริษัทค้ำประกันเงินกู้ซื้อบ้านไม่ต้องวางเงินดาวน์ ขณะที่ ธอส.เตรียมชงขุนคลัง ซื้อบ้านหลังแรก ดบ.ต่ำแค่ 5%
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยระบุว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และครม.เศรษฐกิจในวันที่ 13-14 มกราคม 2552 นี้ รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม มาตรการแรกจะเป็นการเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยผ่อนบ้านจากปีละ 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาท
ส่วนมาตรการที่สอง รัฐบาลจะให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดตั้งบริษัทรับประกันสินเชื่อ (มอร์เกจ อินชัวรันส์) โดยให้ ธอส. สามารถถือหุ้นเกินกว่า 50% เพื่อทำหน้าที่ค้ำประกันเงินกู้ของผู้ซื้อบ้าน เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ได้มากขึ้น 100% โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อด้านอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทประกันสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จัดตั้งขึ้นมา จะทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ประชาชน ข้าราชการที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้ 100% โดยไม่ต้องมีเงินก้อนมาวางเงินดาวน์ 15-20% แต่สามารถร้องขอให้บริษัทประกันสินเชื่อเข้ามาวางเงินดาวน์แทน แล้วไปทยอยผ่อนเป็นรายเดือนกับบริษัทประกันสินเชื่อ
“มาตรการนี้ดำเนินการได้ทันที และกระตุ้นกำลังซื้อได้มาก เพราะหากมีเงินดาวน์ต้องใช้ 2-5 แสนบาท เมื่อมีผู้ค้ำประกันให้สถาบันการเงินก็มั่นใจ ผู้ประกอบการก็กล้าจะขยายการลงทุน”
นอกจากนี้ ในการประชุม ครม. ในวันที่ 13 มกราคม 2552 รัฐบาลเตรียมพิจารณาตั้งงบกลางปี 1.2 แสนล้านบาท โดยแผนงานส่วนใหญ่จะเป็นการเติมเงินลงไปในมือประชาชนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ จ่ายค่าดำรงชีพให้คนชราอายุ 60 ปี ขึ้นไป จำนวน 6 ล้านคน คนละ 600 บาท ใช้เงินปีละ 43,200 ล้านบาท และโครงการจ่ายเงินให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 8.3 แสนคน คนละ 600 บาทต่อเดือน เฉลี่ยปีละ 6,040 ล้านบาท ที่เหลือเป็นโครงการที่เบิกจ่ายเงินที่รวดเร็ว
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวยอมรับว่า ตนเองเตรียมหารือร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอโครงการปล่อยสินเชื่อสำหรับซื้อบ้านหลังแรกในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% แต่มีข้อแม้ว่ารัฐบาลต้องอนุมัติเพิ่มทุนให้ธอส. จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อทำให้อัตราเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงดีขึ้น และจะนำเงินดังกล่าวไปรวมกับสภาพคล่องที่มีอยู่ 6 หมื่นล้านบาท เพื่อปล่อยกู้แก่ประชาชนได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% พร้อมระบุว่า ปัจจุบัน ธอส. คิดดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ระดับ 7.50% และลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 8%
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยระบุว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และครม.เศรษฐกิจในวันที่ 13-14 มกราคม 2552 นี้ รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม มาตรการแรกจะเป็นการเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยผ่อนบ้านจากปีละ 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาท
ส่วนมาตรการที่สอง รัฐบาลจะให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดตั้งบริษัทรับประกันสินเชื่อ (มอร์เกจ อินชัวรันส์) โดยให้ ธอส. สามารถถือหุ้นเกินกว่า 50% เพื่อทำหน้าที่ค้ำประกันเงินกู้ของผู้ซื้อบ้าน เพื่อให้ธนาคารปล่อยกู้ได้มากขึ้น 100% โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อด้านอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ บริษัทประกันสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จัดตั้งขึ้นมา จะทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ประชาชน ข้าราชการที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้ 100% โดยไม่ต้องมีเงินก้อนมาวางเงินดาวน์ 15-20% แต่สามารถร้องขอให้บริษัทประกันสินเชื่อเข้ามาวางเงินดาวน์แทน แล้วไปทยอยผ่อนเป็นรายเดือนกับบริษัทประกันสินเชื่อ
“มาตรการนี้ดำเนินการได้ทันที และกระตุ้นกำลังซื้อได้มาก เพราะหากมีเงินดาวน์ต้องใช้ 2-5 แสนบาท เมื่อมีผู้ค้ำประกันให้สถาบันการเงินก็มั่นใจ ผู้ประกอบการก็กล้าจะขยายการลงทุน”
นอกจากนี้ ในการประชุม ครม. ในวันที่ 13 มกราคม 2552 รัฐบาลเตรียมพิจารณาตั้งงบกลางปี 1.2 แสนล้านบาท โดยแผนงานส่วนใหญ่จะเป็นการเติมเงินลงไปในมือประชาชนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ จ่ายค่าดำรงชีพให้คนชราอายุ 60 ปี ขึ้นไป จำนวน 6 ล้านคน คนละ 600 บาท ใช้เงินปีละ 43,200 ล้านบาท และโครงการจ่ายเงินให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 8.3 แสนคน คนละ 600 บาทต่อเดือน เฉลี่ยปีละ 6,040 ล้านบาท ที่เหลือเป็นโครงการที่เบิกจ่ายเงินที่รวดเร็ว
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวยอมรับว่า ตนเองเตรียมหารือร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอโครงการปล่อยสินเชื่อสำหรับซื้อบ้านหลังแรกในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% แต่มีข้อแม้ว่ารัฐบาลต้องอนุมัติเพิ่มทุนให้ธอส. จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อทำให้อัตราเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงดีขึ้น และจะนำเงินดังกล่าวไปรวมกับสภาพคล่องที่มีอยู่ 6 หมื่นล้านบาท เพื่อปล่อยกู้แก่ประชาชนได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% พร้อมระบุว่า ปัจจุบัน ธอส. คิดดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ระดับ 7.50% และลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 8%