xs
xsm
sm
md
lg

จัดสรร-แบงก์ระเบิดศึกดูดลูกค้า แนะเร่งซื้อบ้านก่อนราคาขาย-ดบ.พุ่งสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ดอกเบี้ย – เงินเฟ้อ อุปสรรค์ชิ้นโตขวางการเติบโตภาคอสังหาฯ ปี 54 ศูนย์ข้อมูลฯ เผย ครึ่งปีแรกสินเชื่อปล่อยใหม่ลดฮวบ 20-25% คาดทั้งปีสินเชื่อปล่อยใหม่ 3.2 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการบ้านหลังแรกชุบชีวิตตลาด แบงก์พาณิชย์จับมือผู้ประกอบการอัดแคมเปญดอกเบี้ยต่ำแข่งธอส. เชื่อครึ่งปีหลังตลาดแข่งเดือด จัดสรร-แบงก์เร่งปั้นยอดหลังครึ่งปีแรกรายได้ตก แนะผู้บริโภครีบซื้อบ้านก่อนราคาขาย- ดอกเบี้ยปรับขึ้นสูง

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2554 ชะลอตัวมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของการเปิดตัวโครงการใหม่ การซื้อของผู้บริโภค รวมถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ไตรมาสแรกลดลงประมาณ 25% หรือมียอดปล่อยสินเชื่อเพียง 82,260 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกปี 2553 มียอดสินเชื่อปล่อยใหม่ถึง109,890 ล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีแรก 2554 สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่อาจลดลงประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2553

ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกลดลง นอกจากตลาดอสังหาฯที่ซบเซาอยู่แล้ว ยังมีผลกระทบจากมาตรการ LTV หรือการกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าสินทรัพย์ ที่เริ่มเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาสำหรับผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียม ต้องวางเงินดาวน์ 10% ซึ่งนับว่ามีผลกระทบตลาดมาก เพราะจากข้อมูลพบว่า คอนโดมิเนียบมที่เปิดขายในช่วงก่อน 2553 กำหนดให้ลูกค้าจ่ายเงินดาวน์ตำกว่า 10% มีมากถึง 50% ของทั้งตลาด

ขณะที่โครงการที่กำหนดให้วางเงินดาวน์เกินกว่า 10% ในตลาดมีอยู่กว่ามี 50% แต่ในจำนวนนี้เป็นสินค้าที่มีราคาเกินกว่า 10 ล้านบาทที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้จ่ายเงินดาวน์เกินกว่า 20% ก่อนหน้านี้แล้ว นั้นหมายความว่าตลาดคอนโดฯถึง 50% ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ซึ่งดูได้จากตัวเลขสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในปี 2553 เป็นคอนโดฯมากกว่า 50% แต่ปีนี้สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อคอนโดฯลดลงต่ำกว่า 50% แล้ว ทำให้เชื่อว่าตลอดปี 2554 ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่จะมีอัตราการเติบโตที่ลดลงประมาณ 15% หรือมียอดปล่อยสิเชื่อ 320,000 ล้านบาท จากที่ปี 2553 มียอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ 378,000 ล้านบาท

**บ้านหลังแรกเงื่อนไขเข้มฉุดยอดกู้ฝืด**

นอกจากนี้ ในปี 2553 ยังมีแรงกระตุ้นจากมาตรการกรตุ้นอสังหาฯของรัฐบาลที่หมดอายุในเดือนมิถุนายน 2553 ทำให้ตลาดอสังหาฯทั้งยอดขายและการปล่อยนสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่วนในปีนี้แม้ว่าจะมีโครงการบ้านหลังแรก ที่รัฐบาลมอบหมายให้ธอส. ปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 2 ปี วงเงิน 25,000 ล้านบาท ได้สร้างสีสันและแรงกระเพื่อมให้แก่ตลาดอสังหาฯและตลาดสินเชื่อได้ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว โดยคาดว่าวงเงิน 25,000 ล้านบาท จะหมดลงภายในเวลาไม่กี่วัน นับจากเริ่มต้นโครงการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จนกระทั้งสุดสัปดาห์ที่ผ่านมากลับมียอดปล่อยสินเชื่อไปเพียง 22,000 กว่าล้านบาท เท่านั้น

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการอสังหาฯ วิเคราะห์ว่า ยอดขอสินเชื่อนับว่าผิดความคาดหมายอย่างมาก จากที่คาดว่าวงเงินดังกล่าวจะหมดลงภายในไม่ถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุน่าจะมาจากข้อกำหนดที่เข้มงวดของโครงการดังกล่าว ที่กำหนดให้เป็นบ้านหลังแรกเท่านั้นทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วม ราคาบ้านและ/วงเงินกู้ต้องไม่เกิน 3 ล้านบาททำให้ผู้กู้ส่วนใหญ่ขาดคุณสมบัติและบางส่วนเอกสารไม่เพียงพอต้องเตรียมเอกสารเพิ่มโดยเฉพาะสัญญาจะซื้อจะขาย นอกจากนี้ยังเชื่อว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้สร้างให้ตลาดสินเชื่อเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านบาท ตามวงเงินที่ใส่มาเพิ่มในตลาด แต่ทำให้ตลาดกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเชื่อว่าผู้ที่มาขอสินเชื่อเป็นผู้ที่ต้องการซื้อบ้านอยู่แล้ว โครงการดังลก่าวไม่ได้ทำให้คนที่ยังไม่มีแผนจะซื้อบ้าน หันมาซื้อบ้านเร็วขึ้นได้

อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลระบุ ว่า การกำหนดคุณสมบัติของผู้กู้ที่เข้มงวดนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว และจากข้อมูลการปล่อยสินเชื่อในโครงการบ้านหลักแรกพบว่า กู้ซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท มี 50% ราคาเกินกว่า 1.5 ล้านบาทมี 50% โดยเกินไปเพียง 1.6-1.8 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่ราคาต่ำก่าว 1 ล้านมีจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านในโครงการดังกล่าวเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4 ล้านบาท และสัดส่วนผู้กู้ในต่างจังหวัดมีจำนวน 65% ในกรุงเทพและปริมณฑล 45% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนที่ใช้บริการโครงการบ้านหลักแรกเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกระจายไปสู่ต่างจังหวัดตามเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งล่าสุดธอส.ได้เตรียมวงเงินเพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับประชาชนที่สนใจสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านหลังแรกเพิ่มเติม

อย่างไรดี โครงการบ้านหลังแรก แม้จะไม่ทำให้ตลาดเติบโตมาก แต่ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์หันมารักษาส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อของตนเองมากขึ้น และถือเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน มากขึ้น เพราะหลังจากที่ธอส. ดำเนินโครงการดังกล่าว ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์หันไปจับมือกับผู้ประกอบการออกแคมเปญสินเชื่อ 0% กันมากขึ้น ทั้งๆในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่มีธนาคารแห่งใดออกแคมเปญสินเชื่อ 0% ออกมาเลย เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ที่จะเห็นสินเชื่อบ้าน 0% 3, 6 หรือ 12 มีอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ครึ่งปีแรก 54 ยอดขายของผู้ประกอบการหลายรายลดลงอย่างมาก ทั้งจากภาวะตลาดที่ชะลอตัว และการบันทึกรายได้ตามมาฐานบัญชีใหม่ รวมไปถึงยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ทำให้เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ทั้งผู้ประกอบการและแบงก์พาณิชย์ เพื่อสร้างยอดขายและการปล่อยสินเชื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้นในช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโคที่ควรจะรีบตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะเป็นช่วงที่รัฐบาลพยายามตรึงราคาสินค้าเอาไว้ในช่วงเลือกตั้ง แต่หลังจากเลือกตั้งผ่านไปแล้วจะอั้นราคาไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะแนวโน้มของเงินเฟ้อที่แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นมาอยู่ที่ 4.19% แต่ก็ถือว่าต่ำและจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น” นายสัมมากล่าว

ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้นมีการปรับขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่าทั้งปีดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 3.00% แต่ การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ใน 4 ครั้งที่ผ่านมาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เพียงครึ่งปีดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.00% แล้ว และคาดว่าการประชุมในช่วงที่เหลือจะมีการปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 0.50% หรือสิ้นปีดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 3.50% และการที่ดอกเบี้ยขึ้นเร็วนั้นจะส่งผลกระทบกับพวกที่ต้องการซื้อบ้านใหม่และซื้อบ้านหลังแรก เพราะอาจชะลอการซื้อ เนื่องจากมีความรู้สึกว่าดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ดัชนีราคาห้องชุดปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรก 2554 ห้องชุดในทุกระดับราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 7% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2553 และหากแยกตามระดับราคาจะพบว่า โดยห้องชุดราคาต่ำกว่า 50,000 บาท/ตารางเมตร ปรับขึ้น 11.5%, ห้องชุดราคา 50,000-79,999 บาท/ตร.ม. ปรับขึ้น 5.86% และห้องชุดราคา 80,000 บาท/ตร.ม.ขึ้นไปปรับขึ้น 3.76%

นายสัมมากล่าวต่อว่า สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว น่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก และอาจจะเห็นการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็ต้องดำเนินการเปิดโครงการใหม่ตามแผนงานที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งจะต้องเร่งขาย และเร่งออกโปรโมชั่น แต่จะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับว่าหลังเลือกตั้งไปแล้วสถานการณ์การเมืองจะมีความเรียบร้อยมากน้อยแค่ไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น