หลังจากกลุ่มอำนาจเก่าประสบความล้มเหลวในการดำเนินยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ คงเหลือแต่ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองแล้ว ยังสูญเสียอำนาจรัฐให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวรบสำคัญของยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองไปอีก
ระยะจากนี้ไป เครือข่ายกลไกทางการเมืองที่แอบแฝงอยู่ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ คงถูกปลดระวางออกจากอำนาจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และการสูญเสียแนวรบอำนาจรัฐนั้นย่อมส่งผลกระทบต่ออีกสามแนวรบที่เหลือด้วย
นั่นคือแนวรบด้านวิชาการ แนวรบด้านสื่อมวลชน และแนวรบด้านมวลชน ซึ่งทั้งสามแนวรบนี้คือรากฐานสำคัญที่กลุ่มอำนาจเก่าหมายมั่นและมุ่งมั่นจะใช้เป็นกำลังหลักในการฟื้นคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แนวรบด้านวิชาการนั้นสั่นคลอนอย่างรุนแรงเพราะนักวิชาการที่เป็นแนวร่วมต่างพาตัวถอยห่างและพาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับอำนาจรัฐตามกระแสและวิสัยปกติของแนวรบด้านนี้ ที่พึ่งพาไว้วางใจถึงที่สุดไม่ได้
ยกเว้นก็แต่นักวิชาการจำพวกที่มีรายได้ประจำ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนประมาณ 120 คน และมีศูนย์กลางใหญ่อยู่ที่มหาวิทยาลัยในความมืดแห่งหนึ่ง และในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกเล็กน้อย ซึ่งขณะนี้ล้วนพยายามระมัดระวังท่าทีกันชนิดตัวลีบแล้ว
ส่วนแนวรบสื่อมวลชนนั้นได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะได้สูญเสียกระบอกเสียงสำคัญคือ NBT ไปอย่างสิ้นเชิง คงเหลือแต่เครือข่ายประเภทที่กู่ไม่กลับจำนวนหนึ่ง ทั้งในสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ที่ยังคงพยายามทำหน้าที่สมุนรับใช้ของตนแต่ก็ได้แค่ประชดประชันเป็นด้านหลักเท่านั้น
ดังนั้นแนวรบสำคัญที่ยังคงเป็นเรื่องเป็นราวอันควรแก่การวิเคราะห์ในขณะนี้จึงเป็นแนวรบด้านมวลชนที่ถูกกล่าวขวัญเรียกกันว่ามวลชนคนเสื้อแดง
ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าในแนวรบมวลชนคนเสื้อแดงนั้นประกอบขึ้นด้วยคนสองจำพวก คือคนจำพวกที่นิยมศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริงๆ กับคนจำพวกที่ถูกกะเกณฑ์หรือจ้างวานให้มาทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อพูดถึงมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องจำแนกแยกแยะให้กระจ่างว่ามิใช่มีแต่คนที่ถูกจ้างวานมาแต่พวกเดียว หากยังมีพวกที่รักศรัทธาจริงๆ ร่วมอยู่ด้วย
พวกที่รักศรัทธาจริงๆ นั้นย่อมเป็นผลมาจากอิทธิพลของสื่อมวลชนที่ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องมานานวัน จนจำนวนหนึ่งตกเป็นผลึกที่ยากแก่การเปลี่ยนแปลง แต่อีกจำนวนหนึ่งเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารรอบด้านขึ้นแล้ว ย่อมมีความเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริงมากขึ้น
ส่วนคนจำพวกที่ถูกกะเกณฑ์จ้างวานมานั้นก็ยังแบ่งได้อีกสองลักษณะ คือพวกที่เป็นแกนและเครือข่ายพวกหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มาก กับมวลชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยหวังผลตอบแทนจากค่าจ้าง
ในยุครัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ การเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดงเพิ่งเริ่มก่อตัวและเริ่มขยายตัว โดยอาศัยสถานการณ์ “สมานฉันท์” แบบไร้เดียงสา ซึ่งได้กลายเป็นห้วงเวลาแห่งการฟักตัวให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
เพราะการขยายตัวในห้วงเวลาอันสั้นและต้องใช้ความรวดเร็ว จึงทำให้คนสารพัดประเภท สารพัดพวก สารพัดกลุ่ม และสารพัดแหล่งเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นปัญหาในการทำงานร่วมกันจึงก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งท่าที ท่วงทำนองและวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกัน จนเกิดเป็นข่าวระหองระแหงให้ปรากฏเป็นระยะๆ
โดยเฉพาะปัญหาการชักหัวคิวที่มวลชนคนเสื้อแดงพื้นฐานรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบอย่างรุนแรงเนื่องจากสื่อมวลชนได้นำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ให้รู้อย่างต่อเนื่องว่า จากอัตราค่าหัววันละ 1,000 บาท ที่พวกแก่นแกนได้รับมานั้น ตัวเงินกลับถึงมือมวลชนเพียงแค่ 200-300 บาทเท่านั้น
ทั้งบางครั้งเกิดเหตุร้ายหรือตกเป็นจำเลยในคดีก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย หลายคนถูกปล่อยเกาะให้เผชิญยถากรรมตามลำพัง ดังเช่นกรณีของนางดาตอร์ปิโด เป็นต้น
การชักหัวคิวรายใหญ่ที่สุดคือกรณีก่อเหตุจลาจลหน้าบ้านประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นที่รู้กันว่างานนี้มีการอมเงินค่าใช้จ่ายกันถึง 100 ล้านบาท และขณะนี้ยังมีการไล่ล่าตามทวงถามค่าจ้างกันไม่เลิก และทำให้บทบาทของแกนนำบางคนในครั้งนั้นต้องลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นการเมืองเปลี่ยนขั้ว ทำให้นักการเมืองจำนวนหนึ่งมีสภาพเป็นไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย ก็ได้ส่งผลต่อแนวรบมวลชนคนเสื้อแดงด้วย และความผิดพลาดในการช่วงชิงอำนาจรัฐในห้วงการจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ทำให้เกิดการแตกร้าวอย่างรุนแรงระหว่างแกนนำระดับชั้น “เจ๊” ทั้งสามสาย
มวลชนคนเสื้อแดงที่มีสภาพไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย ที่มีขุมกำลังมากที่สุดคือมวลชนคนเสื้อแดงในสายอีสาน ซึ่งโยงใยยึดโยงกับกลุ่มเพื่อนเนวินและถือว่ากลุ่มตนเป็นมวลชนคนเสื้อแดงเจ้าเก่า เป็นโกฮับแท้ ไม่ใช่เป็นแค่โกเหลียง
แม้ขวัญชัย ไพรพนา ตัวละครเสื้อแดงที่โดดเด่นโลดแล่นอยู่ในสมรภูมิงานมวลชนในห้วงเวลาที่ผ่านมา แท้จริงแล้วก็คือคู่หูคู่ฮาของอุทัย แสนแก้ว น้องร่วมอุทรของธีรชัย แสนแก้ว แห่งกลุ่มเพื่อนเนวินนั่นเอง
การเคลื่อนไหวแดงชนแดงของขวัญชัย ไพรพนา ในห้วงเวลาขณะนี้แท้จริงก็คือยุทธวิธีที่ล้ำลึก มุ่งชี้เป้าทำลายฐานของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่กับฟากอำนาจเก่า ซึ่งแต่ละแต้มแต่ละก้าวแต่ละจังหวะที่ขยับตัวขับเคลื่อนนั้นล้วนส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น
การที่มวลชนคนเสื้อแดงสายอีสานกลายเป็นไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสายเช่นนี้จึงทำให้กำลังมวลชนคนเสื้อแดงอ่อนตัวลงอย่างถึงราก เพราะไม่เพียงแค่มีเครือข่ายในภาคอีสานเท่านั้น หากยังมีในภาคเหนือบางส่วน และในพื้นที่กรุงเทพฯ บางส่วนด้วย
ในส่วนมวลชนคนเสื้อแดงที่ยังคงทำงานให้กับกลุ่มอำนาจเก่าก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้มีแค่สายเดียวหรือเป็นเอกภาพแต่อย่างใด หากยังแบ่งได้เป็นอีกสามกลุ่ม ขึ้นสังกัดต่อสามเจ๊ ซึ่งล้วนเป็นเจ๊ชั้น “ระดับฮูหยิน” ทั้งสิ้น
เจ๊หนึ่งเป็นถึงประมุขวังสำคัญของอำนาจเก่า ซึ่งกุมหน่วยงานระดับทฤษฎีและคนเก่งคนกล้าคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งไว้ แต่ไร้ฐานมวลชนของตนเอง
คนสำคัญในระดับทฤษฎีและกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นตัวปิดลับ คงมีแต่ตัวเปิดให้เห็นเป็นบางคน เช่น นายนพดล ปัทมะ หรือนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
ถึงกระนั้นแกนนำระดับชั้นลับก็ถูกจับตาเพ่งเล็งจนกระทั่งบางคนถึงพยายามกบดานแต่ก็ต้องกลมนต์ จำเป็นต้องเปิดตัวออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหากันบ้างแล้ว
เจ๊หนึ่งก็เป็นถึงประมุขวังสำคัญเช่นเดียวกัน มีมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่ภาคเหนือ และมีทัศนะสายเหยี่ยว ซึ่งขณะนี้กำลังขับเคี่ยวชิงการนำในพรรค จนก่อเกิดเป็นกระแสความขัดแย้งขับไล่หัวหน้าพรรค ซึ่งสังกัดอยู่ในสายเจ๊แรก จนกระทั่งเกิดเป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ในขณะนี้ และยังคงต้องขับเคี่ยวกันอยู่ต่อไป
เจ๊สุดท้ายไม่ถึงกับเป็นเจ๊หัวหน้าวังแต่ก็เป็นเจ๊ระดับหัวหน้าสำนักใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งห้วงเวลาที่ผ่านมาก็ปรับสีแปรธาตุผูกสัมพันธ์กับกระแสอำนาจสำคัญของบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง จนถูกตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อรังเกียจ และในที่สุดก็ถูกตัดจากความไว้วางใจจนแทบสิ้นเชิง จนต้องเหหัวเรือออกไปสังสรรค์เสวนาทำมาหากินอยู่กับบางกลุ่มในพรรคเพื่อแผ่นดิน
เพราะปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว จึงทำให้นายนพดล ปัทมะ ในสายอีกเจ๊หนึ่งช่วงชิงตำแหน่งโฆษกประจำตัวของนักการเมืองคนสำคัญในสายนี้ไปได้ และได้เปิดตัวทำหน้าที่โฆษกส่วนตัวคนคนนั้นไปบ้างแล้ว
มวลชนคนเสื้อแดงในสายเจ๊เจ้าสำนักในเมืองหลวงนั้นมีฐานใหญ่อยู่ที่ดอนเมือง คลองเตย นครปฐม บางบอน ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่าเมื่อเจ๊เจ้าสำนักหันไปจับมือกับกลุ่มการเมืองในพรรคเพื่อแผ่นดินเช่นนี้แล้ว ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในสายเจ๊เจ้าสำนักนี้จะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป
ดูไปแล้วมวลชนคนเสื้อแดงสายเจ๊ทางเหนือกับสายเจ๊เจ้าสำนักใหญ่ในกรุงเทพฯ กำลังตกอยู่ในอาการที่สั่นคลอนอย่างยิ่ง ในขณะที่สายเจ๊คนสำคัญยังมีความมั่นคงและน่าจับตาสังเกตมากที่สุด
เพราะเป็นสายที่ประกาศตนแล้วว่าแนวการเคลื่อนไหวคือการสร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด กระทั่งถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเท่านั้น
“รัฐไทยใหม่” ที่ประกาศไปนั้น จะเป็นรัฐแบบไหน จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ และจะเป็นแบบเดียวกับรัฐไทยใหม่แห่งปฏิญญาฟินแลนด์หรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดต่อไป.
ระยะจากนี้ไป เครือข่ายกลไกทางการเมืองที่แอบแฝงอยู่ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ คงถูกปลดระวางออกจากอำนาจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และการสูญเสียแนวรบอำนาจรัฐนั้นย่อมส่งผลกระทบต่ออีกสามแนวรบที่เหลือด้วย
นั่นคือแนวรบด้านวิชาการ แนวรบด้านสื่อมวลชน และแนวรบด้านมวลชน ซึ่งทั้งสามแนวรบนี้คือรากฐานสำคัญที่กลุ่มอำนาจเก่าหมายมั่นและมุ่งมั่นจะใช้เป็นกำลังหลักในการฟื้นคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง
แนวรบด้านวิชาการนั้นสั่นคลอนอย่างรุนแรงเพราะนักวิชาการที่เป็นแนวร่วมต่างพาตัวถอยห่างและพาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับอำนาจรัฐตามกระแสและวิสัยปกติของแนวรบด้านนี้ ที่พึ่งพาไว้วางใจถึงที่สุดไม่ได้
ยกเว้นก็แต่นักวิชาการจำพวกที่มีรายได้ประจำ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนประมาณ 120 คน และมีศูนย์กลางใหญ่อยู่ที่มหาวิทยาลัยในความมืดแห่งหนึ่ง และในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกเล็กน้อย ซึ่งขณะนี้ล้วนพยายามระมัดระวังท่าทีกันชนิดตัวลีบแล้ว
ส่วนแนวรบสื่อมวลชนนั้นได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะได้สูญเสียกระบอกเสียงสำคัญคือ NBT ไปอย่างสิ้นเชิง คงเหลือแต่เครือข่ายประเภทที่กู่ไม่กลับจำนวนหนึ่ง ทั้งในสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ที่ยังคงพยายามทำหน้าที่สมุนรับใช้ของตนแต่ก็ได้แค่ประชดประชันเป็นด้านหลักเท่านั้น
ดังนั้นแนวรบสำคัญที่ยังคงเป็นเรื่องเป็นราวอันควรแก่การวิเคราะห์ในขณะนี้จึงเป็นแนวรบด้านมวลชนที่ถูกกล่าวขวัญเรียกกันว่ามวลชนคนเสื้อแดง
ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าในแนวรบมวลชนคนเสื้อแดงนั้นประกอบขึ้นด้วยคนสองจำพวก คือคนจำพวกที่นิยมศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริงๆ กับคนจำพวกที่ถูกกะเกณฑ์หรือจ้างวานให้มาทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อพูดถึงมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องจำแนกแยกแยะให้กระจ่างว่ามิใช่มีแต่คนที่ถูกจ้างวานมาแต่พวกเดียว หากยังมีพวกที่รักศรัทธาจริงๆ ร่วมอยู่ด้วย
พวกที่รักศรัทธาจริงๆ นั้นย่อมเป็นผลมาจากอิทธิพลของสื่อมวลชนที่ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องมานานวัน จนจำนวนหนึ่งตกเป็นผลึกที่ยากแก่การเปลี่ยนแปลง แต่อีกจำนวนหนึ่งเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารรอบด้านขึ้นแล้ว ย่อมมีความเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริงมากขึ้น
ส่วนคนจำพวกที่ถูกกะเกณฑ์จ้างวานมานั้นก็ยังแบ่งได้อีกสองลักษณะ คือพวกที่เป็นแกนและเครือข่ายพวกหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มาก กับมวลชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่เข้าร่วมกิจกรรมด้วยหวังผลตอบแทนจากค่าจ้าง
ในยุครัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ การเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดงเพิ่งเริ่มก่อตัวและเริ่มขยายตัว โดยอาศัยสถานการณ์ “สมานฉันท์” แบบไร้เดียงสา ซึ่งได้กลายเป็นห้วงเวลาแห่งการฟักตัวให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
เพราะการขยายตัวในห้วงเวลาอันสั้นและต้องใช้ความรวดเร็ว จึงทำให้คนสารพัดประเภท สารพัดพวก สารพัดกลุ่ม และสารพัดแหล่งเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นปัญหาในการทำงานร่วมกันจึงก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งท่าที ท่วงทำนองและวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกัน จนเกิดเป็นข่าวระหองระแหงให้ปรากฏเป็นระยะๆ
โดยเฉพาะปัญหาการชักหัวคิวที่มวลชนคนเสื้อแดงพื้นฐานรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบอย่างรุนแรงเนื่องจากสื่อมวลชนได้นำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ให้รู้อย่างต่อเนื่องว่า จากอัตราค่าหัววันละ 1,000 บาท ที่พวกแก่นแกนได้รับมานั้น ตัวเงินกลับถึงมือมวลชนเพียงแค่ 200-300 บาทเท่านั้น
ทั้งบางครั้งเกิดเหตุร้ายหรือตกเป็นจำเลยในคดีก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย หลายคนถูกปล่อยเกาะให้เผชิญยถากรรมตามลำพัง ดังเช่นกรณีของนางดาตอร์ปิโด เป็นต้น
การชักหัวคิวรายใหญ่ที่สุดคือกรณีก่อเหตุจลาจลหน้าบ้านประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นที่รู้กันว่างานนี้มีการอมเงินค่าใช้จ่ายกันถึง 100 ล้านบาท และขณะนี้ยังมีการไล่ล่าตามทวงถามค่าจ้างกันไม่เลิก และทำให้บทบาทของแกนนำบางคนในครั้งนั้นต้องลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นการเมืองเปลี่ยนขั้ว ทำให้นักการเมืองจำนวนหนึ่งมีสภาพเป็นไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย ก็ได้ส่งผลต่อแนวรบมวลชนคนเสื้อแดงด้วย และความผิดพลาดในการช่วงชิงอำนาจรัฐในห้วงการจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ทำให้เกิดการแตกร้าวอย่างรุนแรงระหว่างแกนนำระดับชั้น “เจ๊” ทั้งสามสาย
มวลชนคนเสื้อแดงที่มีสภาพไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสาย ที่มีขุมกำลังมากที่สุดคือมวลชนคนเสื้อแดงในสายอีสาน ซึ่งโยงใยยึดโยงกับกลุ่มเพื่อนเนวินและถือว่ากลุ่มตนเป็นมวลชนคนเสื้อแดงเจ้าเก่า เป็นโกฮับแท้ ไม่ใช่เป็นแค่โกเหลียง
แม้ขวัญชัย ไพรพนา ตัวละครเสื้อแดงที่โดดเด่นโลดแล่นอยู่ในสมรภูมิงานมวลชนในห้วงเวลาที่ผ่านมา แท้จริงแล้วก็คือคู่หูคู่ฮาของอุทัย แสนแก้ว น้องร่วมอุทรของธีรชัย แสนแก้ว แห่งกลุ่มเพื่อนเนวินนั่นเอง
การเคลื่อนไหวแดงชนแดงของขวัญชัย ไพรพนา ในห้วงเวลาขณะนี้แท้จริงก็คือยุทธวิธีที่ล้ำลึก มุ่งชี้เป้าทำลายฐานของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่กับฟากอำนาจเก่า ซึ่งแต่ละแต้มแต่ละก้าวแต่ละจังหวะที่ขยับตัวขับเคลื่อนนั้นล้วนส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น
การที่มวลชนคนเสื้อแดงสายอีสานกลายเป็นไผ่แยกกอ แม่น้ำแยกสายเช่นนี้จึงทำให้กำลังมวลชนคนเสื้อแดงอ่อนตัวลงอย่างถึงราก เพราะไม่เพียงแค่มีเครือข่ายในภาคอีสานเท่านั้น หากยังมีในภาคเหนือบางส่วน และในพื้นที่กรุงเทพฯ บางส่วนด้วย
ในส่วนมวลชนคนเสื้อแดงที่ยังคงทำงานให้กับกลุ่มอำนาจเก่าก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้มีแค่สายเดียวหรือเป็นเอกภาพแต่อย่างใด หากยังแบ่งได้เป็นอีกสามกลุ่ม ขึ้นสังกัดต่อสามเจ๊ ซึ่งล้วนเป็นเจ๊ชั้น “ระดับฮูหยิน” ทั้งสิ้น
เจ๊หนึ่งเป็นถึงประมุขวังสำคัญของอำนาจเก่า ซึ่งกุมหน่วยงานระดับทฤษฎีและคนเก่งคนกล้าคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งไว้ แต่ไร้ฐานมวลชนของตนเอง
คนสำคัญในระดับทฤษฎีและกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นตัวปิดลับ คงมีแต่ตัวเปิดให้เห็นเป็นบางคน เช่น นายนพดล ปัทมะ หรือนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
ถึงกระนั้นแกนนำระดับชั้นลับก็ถูกจับตาเพ่งเล็งจนกระทั่งบางคนถึงพยายามกบดานแต่ก็ต้องกลมนต์ จำเป็นต้องเปิดตัวออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหากันบ้างแล้ว
เจ๊หนึ่งก็เป็นถึงประมุขวังสำคัญเช่นเดียวกัน มีมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่ภาคเหนือ และมีทัศนะสายเหยี่ยว ซึ่งขณะนี้กำลังขับเคี่ยวชิงการนำในพรรค จนก่อเกิดเป็นกระแสความขัดแย้งขับไล่หัวหน้าพรรค ซึ่งสังกัดอยู่ในสายเจ๊แรก จนกระทั่งเกิดเป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ในขณะนี้ และยังคงต้องขับเคี่ยวกันอยู่ต่อไป
เจ๊สุดท้ายไม่ถึงกับเป็นเจ๊หัวหน้าวังแต่ก็เป็นเจ๊ระดับหัวหน้าสำนักใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งห้วงเวลาที่ผ่านมาก็ปรับสีแปรธาตุผูกสัมพันธ์กับกระแสอำนาจสำคัญของบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง จนถูกตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อรังเกียจ และในที่สุดก็ถูกตัดจากความไว้วางใจจนแทบสิ้นเชิง จนต้องเหหัวเรือออกไปสังสรรค์เสวนาทำมาหากินอยู่กับบางกลุ่มในพรรคเพื่อแผ่นดิน
เพราะปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว จึงทำให้นายนพดล ปัทมะ ในสายอีกเจ๊หนึ่งช่วงชิงตำแหน่งโฆษกประจำตัวของนักการเมืองคนสำคัญในสายนี้ไปได้ และได้เปิดตัวทำหน้าที่โฆษกส่วนตัวคนคนนั้นไปบ้างแล้ว
มวลชนคนเสื้อแดงในสายเจ๊เจ้าสำนักในเมืองหลวงนั้นมีฐานใหญ่อยู่ที่ดอนเมือง คลองเตย นครปฐม บางบอน ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่าเมื่อเจ๊เจ้าสำนักหันไปจับมือกับกลุ่มการเมืองในพรรคเพื่อแผ่นดินเช่นนี้แล้ว ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในสายเจ๊เจ้าสำนักนี้จะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป
ดูไปแล้วมวลชนคนเสื้อแดงสายเจ๊ทางเหนือกับสายเจ๊เจ้าสำนักใหญ่ในกรุงเทพฯ กำลังตกอยู่ในอาการที่สั่นคลอนอย่างยิ่ง ในขณะที่สายเจ๊คนสำคัญยังมีความมั่นคงและน่าจับตาสังเกตมากที่สุด
เพราะเป็นสายที่ประกาศตนแล้วว่าแนวการเคลื่อนไหวคือการสร้าง “รัฐไทยใหม่” ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด กระทั่งถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเท่านั้น
“รัฐไทยใหม่” ที่ประกาศไปนั้น จะเป็นรัฐแบบไหน จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ และจะเป็นแบบเดียวกับรัฐไทยใหม่แห่งปฏิญญาฟินแลนด์หรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดต่อไป.