นาทีนี้บอกได้คำเดียวว่าการสัปยุทธครั้งสำคัญกับ “ระบอบทักษิณ” กำลังเดินมาจนใกล้ถึงฉากสุดท้ายเต็มที ขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นธาตุแท้ หรือตัวตนของคนพวกนี้ได้ชัดเจน ชนิดที่เรียกว่า “ล่อนจ้อน” กันแล้ว
เหมือนกับหนังไทยยุคเก่าที่ตอนแรกคนดูนึกว่าเป็นพระเอก แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจับได้ว่านี่มันผู้ร้ายที่สร้างภาพหลอกล่อให้เข้าใจผิด และในที่สุดถ้าไม่ถูกชาวบ้านขับไล่ ก็จะหักหลังแล้วฆ่ากันเองอะไรประมาณนี้
เพราะยิ่งทอดเวลานานออกไปเท่าใดคนในสังคมยิ่งรู้ทัน การโฆษณาชวนเชื่อ หรือมุกเก่าๆก็ใช้ไม่ได้ผล แต่เมื่อเดิมพันมันสูงก็ต้องเดินหน้าลุยถั่วกันไปเรื่อย แต่ก็อย่างว่า เมื่อยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะรางหรือ ฉิบหายป่นปี้เข้าไปทุกที
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมอย่างปักหลักพักค้างของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมานานกว่า 5 เดือน และเดินหน้าแฉโพย ระบอบทักษิณ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังสามารถกดดันให้กลไกทางกฎหมาย อำนาจรัฐ ต้องดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ แต่ถูกละเลย ถูกครอบงำ ให้กลับมาเดินหน้าทำงานอย่างได้ผล
จากคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอาญา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และคำตัดสินขององค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในหลายคดียิ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ พ.ต.ทักษิณ และเครือข่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นคดีโกงภาษีหุ้นชินวัตรฯ ที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกศาลอาญาประเดิมตัดสินจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และแสบสันต์ไปกว่านั้นก็คือในคำพิพากษาได้อบรมสั่งสอนให้ได้อายแทบแทรกแผ่นดินก็คือ “คนที่มีสถานะทางสังคมสูง เป็นภริยาของผู้บริหารประเทศแต่กลับไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี” และยังมีเนื้อหาสำคัญก็คือจำเลยมีทรัพย์สินมากมายแต่เงินภาษีแค่ไม่เท่าไหร่กลับหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสีย
คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษกที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และในคำพิพากษาก็ได้อบรมบ่มนิสัยอีกรอบ ทำนองทำตัวไม่สมกับที่สังคมไว้วางใจเป็นผู้บริหารประเทศ
ยังมีอีกหลายคดีที่ทยอยค้างคาอยู่ในศาลอีกเพียบ เช่น คดีทุจริตหวยบนดิน กล้ายาง เงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า 4 พันล้านบาท เป็นต้น และยังไม่นับหมายจับอีกไม่ต่ำกว่าอีก 4-5 คดี
นอกจากนี้บรรดาเครือข่ายทั้งหลายต่างก็ร่วงผลอยกันเป็นพรวน ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดรุ่นแรกอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ความผิดกรณีทำรายการชิมไปบ่นไป
ล่าสุดมาถึงยุค “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีชะตากรรมทรามไม่แพ้กัน และต้องรับผลพวงมาจากรัฐบาลก่อน ทั้งในฐานะที่ร่วมอยู่ในขบวนการเครือญาติ หรือร่วมในคณะรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น กำลังเผชิญวิบากไล่หลังเข้ามาทุกที
คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้มติครม.ที่เห็นชอบรับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ผิดกฎหมาย กำลังถูกคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ตั้งอนุกรรมการสอบสวนเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี กรณีถือหุ้นบริษัทล็อกอินโฟร์ เกิน 5 เปอร์เซ็นต์
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อครั้งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณีค่าธรรมเนียมศาลธัญญบุรี 70 ล้านบาท
แถมล่าสุดยังโดนถล่มเรื่องคลิป “คนหน้าเหมือนสมชาย” ควงสาวไม่ซ้ำหน้าเข้าโรงแรมม่านรูดในเวลาราชการ ท้าทายจริยธรรมเข้าไปอีก
เครดิตที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วก็ยิ่งติดลบต่ำกว่าศูนย์ หน้ากากถูกกระชากออกมาจนพวกที่หลงใหลได้ปลื้มต้องช็อกไปตามๆกัน
ปรากฎการณ์ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวมาทั้งหมด ล้วนส่งผลกระทบในทางลบต่อระบอบทักษิณ โดยเฉพาะต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ล่าสุดที่หลายฝ่ายสรุปตรงกันว่า จะทำให้ระบอบทักษิณสั่นคลอนและพังทลายลงในที่สุดก็คือ กรณีเครือข่าย “กลุ่มเสื้อแดง” ในสารพัดชื่อ ที่มีแกนนำหลายคนขึ้นเวทีสนามหลวงแล้วกระทำการบังอาจจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่ปรากฎมาก่อน และต่อมาเมื่อถูกกดดันจากสังคม โดยเฉพาะจากกลุ่มพันธมิตรฯส่งเสียงโวยวายทำให้เจ้าหน้าที่ต้องออกหมายจับกันหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงศ์ ดาตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร ฯลฯ บางคนได้รับการประกันตัว บางคนก็หลบหนีเตลิดเปิดเปิง
ขณะเดียวกันยังมีเว็บไซต์ นิตยสาร ใบปลิว วิทยุชุมชนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เมื่อสืบสาวต้นตอก็ล้วนมาจากกลุ่มเดียวกัน
คนเหล่านี้เมื่อเชื่อมโยงลึกลงไปอีกล้วนเคลื่อนไหวสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยคนที่ไม่เคยรู้ความจริงก็หูตาสว่าง โดยเฉพาะบรรดารากหญ้าที่อ่อนไหวในเรื่องแบบนี้ก็ยอมรับไม่ได้ ถอยห่างออกมา ประกอบกับไม่รู้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เกิดฟิตอะไรขึ้นมา ออกคำสั่งฐานะรองผู้อำนายการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ให้ทุกหน่วยขึ้นตรงคุมเข้มและจับตากลุ่มที่จาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พร้อมทั้งทำหนังสือไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินคดีโดยเด็ดขาดประเภทเจอที่ไหนจับที่นั่น หูตาเหลือกกันไปหมด
แม้เป็นปฏิกิริยา ความเคลื่อนไหวที่มาช้า แต่ก็ถือว่าได้ผลชะงัด หยุดกึกกันเป็นแถว
อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เลยเถิด ถูกต้อนเข้ามุมมาถึงขั้นนี้แล้วมันก็ต้องดิ้นรน เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่ามันเดิมพันสูง หมายถึงคุก และทรัพย์สินกำลังจะถูกริบเข้าหลวงมันก็ต้องทำทุกวิถีทาง
ดังนั้นในวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน และช่วงวันสุกดิบก่อนหลัง ถ้าพิจารณาตามสถานการณ์แล้วเป้าหมายสำคัญก็คือ การระดมพลแสดงพลังแสนยานุภาพโชว์พลังให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น โดยเฉพาะพุ่งไปที่ “ชนชั้นสูง”เป็นหลัก
อย่าลืมว่างานนี้เปิดหน้า เห็นตัวตนแล้ว และต้องทุ่มทุนสร้างกันเต็มที่
แต่เมื่อสถานการณ์มันเริ่มเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเมื่อก่อน กุมสภาพไม่ได้ส่วนใหญ่ต้องสั่งผ่านนายหน้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาต้องมีรายการ “แปลงสาร” อมหัวคิว ผลงานไม่ค่อยคุ้มราคา แถมสมุนลิ่วล้อเริ่มถอยฉาก เพราะกลัวติดร่างแหไปด้วย
เหลือแต่ระดับฮาร์ดคอร์ ลูกคู่ของแท้ถึงไหนถึงกัน และนาทีนี้ไม่รู้ว่า “นายใหญ่” จะ “โฟนอิน” ข้ามทวีปเข้ามาในรายการ “สามเกลอ” ถ้ามีก็ต้องรอดูว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะทุกสายตาจับจ้องกันตาไม่กระพริบ เพราะถ้าเปิดโอกาสให้นักโทษหนีคุกต่อสายใช้สื่อของรัฐเข้ามาพูดจาจาบจ้วง “ชนชั้นสูง” หมิ่นศาล หรือปลุกระดมให้วุ่นวาย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงงานนี้นอกจากเราจะได้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของเขาแล้ว ยังต้องมีคนที่รับผิดชอบเต็มๆแน่นอน ไล่ไปตั้งแต่นายกรัฐมนตรีตรีลงไปกันกราวรูดแน่ !!
เหมือนกับหนังไทยยุคเก่าที่ตอนแรกคนดูนึกว่าเป็นพระเอก แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มจับได้ว่านี่มันผู้ร้ายที่สร้างภาพหลอกล่อให้เข้าใจผิด และในที่สุดถ้าไม่ถูกชาวบ้านขับไล่ ก็จะหักหลังแล้วฆ่ากันเองอะไรประมาณนี้
เพราะยิ่งทอดเวลานานออกไปเท่าใดคนในสังคมยิ่งรู้ทัน การโฆษณาชวนเชื่อ หรือมุกเก่าๆก็ใช้ไม่ได้ผล แต่เมื่อเดิมพันมันสูงก็ต้องเดินหน้าลุยถั่วกันไปเรื่อย แต่ก็อย่างว่า เมื่อยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะรางหรือ ฉิบหายป่นปี้เข้าไปทุกที
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมอย่างปักหลักพักค้างของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมานานกว่า 5 เดือน และเดินหน้าแฉโพย ระบอบทักษิณ อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังสามารถกดดันให้กลไกทางกฎหมาย อำนาจรัฐ ต้องดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ แต่ถูกละเลย ถูกครอบงำ ให้กลับมาเดินหน้าทำงานอย่างได้ผล
จากคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอาญา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และคำตัดสินขององค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในหลายคดียิ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ พ.ต.ทักษิณ และเครือข่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นคดีโกงภาษีหุ้นชินวัตรฯ ที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกศาลอาญาประเดิมตัดสินจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และแสบสันต์ไปกว่านั้นก็คือในคำพิพากษาได้อบรมสั่งสอนให้ได้อายแทบแทรกแผ่นดินก็คือ “คนที่มีสถานะทางสังคมสูง เป็นภริยาของผู้บริหารประเทศแต่กลับไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี” และยังมีเนื้อหาสำคัญก็คือจำเลยมีทรัพย์สินมากมายแต่เงินภาษีแค่ไม่เท่าไหร่กลับหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสีย
คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาภิเษกที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และในคำพิพากษาก็ได้อบรมบ่มนิสัยอีกรอบ ทำนองทำตัวไม่สมกับที่สังคมไว้วางใจเป็นผู้บริหารประเทศ
ยังมีอีกหลายคดีที่ทยอยค้างคาอยู่ในศาลอีกเพียบ เช่น คดีทุจริตหวยบนดิน กล้ายาง เงินกู้เอ็กซิมแบงก์ให้พม่า 4 พันล้านบาท เป็นต้น และยังไม่นับหมายจับอีกไม่ต่ำกว่าอีก 4-5 คดี
นอกจากนี้บรรดาเครือข่ายทั้งหลายต่างก็ร่วงผลอยกันเป็นพรวน ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดรุ่นแรกอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ความผิดกรณีทำรายการชิมไปบ่นไป
ล่าสุดมาถึงยุค “น้องเขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีชะตากรรมทรามไม่แพ้กัน และต้องรับผลพวงมาจากรัฐบาลก่อน ทั้งในฐานะที่ร่วมอยู่ในขบวนการเครือญาติ หรือร่วมในคณะรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น กำลังเผชิญวิบากไล่หลังเข้ามาทุกที
คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้มติครม.ที่เห็นชอบรับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ผิดกฎหมาย กำลังถูกคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ตั้งอนุกรรมการสอบสวนเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี กรณีถือหุ้นบริษัทล็อกอินโฟร์ เกิน 5 เปอร์เซ็นต์
นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อครั้งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณีค่าธรรมเนียมศาลธัญญบุรี 70 ล้านบาท
แถมล่าสุดยังโดนถล่มเรื่องคลิป “คนหน้าเหมือนสมชาย” ควงสาวไม่ซ้ำหน้าเข้าโรงแรมม่านรูดในเวลาราชการ ท้าทายจริยธรรมเข้าไปอีก
เครดิตที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วก็ยิ่งติดลบต่ำกว่าศูนย์ หน้ากากถูกกระชากออกมาจนพวกที่หลงใหลได้ปลื้มต้องช็อกไปตามๆกัน
ปรากฎการณ์ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวมาทั้งหมด ล้วนส่งผลกระทบในทางลบต่อระบอบทักษิณ โดยเฉพาะต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ล่าสุดที่หลายฝ่ายสรุปตรงกันว่า จะทำให้ระบอบทักษิณสั่นคลอนและพังทลายลงในที่สุดก็คือ กรณีเครือข่าย “กลุ่มเสื้อแดง” ในสารพัดชื่อ ที่มีแกนนำหลายคนขึ้นเวทีสนามหลวงแล้วกระทำการบังอาจจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่ปรากฎมาก่อน และต่อมาเมื่อถูกกดดันจากสังคม โดยเฉพาะจากกลุ่มพันธมิตรฯส่งเสียงโวยวายทำให้เจ้าหน้าที่ต้องออกหมายจับกันหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงศ์ ดาตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร ฯลฯ บางคนได้รับการประกันตัว บางคนก็หลบหนีเตลิดเปิดเปิง
ขณะเดียวกันยังมีเว็บไซต์ นิตยสาร ใบปลิว วิทยุชุมชนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เมื่อสืบสาวต้นตอก็ล้วนมาจากกลุ่มเดียวกัน
คนเหล่านี้เมื่อเชื่อมโยงลึกลงไปอีกล้วนเคลื่อนไหวสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น
เมื่อความจริงถูกเปิดเผยคนที่ไม่เคยรู้ความจริงก็หูตาสว่าง โดยเฉพาะบรรดารากหญ้าที่อ่อนไหวในเรื่องแบบนี้ก็ยอมรับไม่ได้ ถอยห่างออกมา ประกอบกับไม่รู้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เกิดฟิตอะไรขึ้นมา ออกคำสั่งฐานะรองผู้อำนายการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ให้ทุกหน่วยขึ้นตรงคุมเข้มและจับตากลุ่มที่จาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พร้อมทั้งทำหนังสือไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินคดีโดยเด็ดขาดประเภทเจอที่ไหนจับที่นั่น หูตาเหลือกกันไปหมด
แม้เป็นปฏิกิริยา ความเคลื่อนไหวที่มาช้า แต่ก็ถือว่าได้ผลชะงัด หยุดกึกกันเป็นแถว
อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เลยเถิด ถูกต้อนเข้ามุมมาถึงขั้นนี้แล้วมันก็ต้องดิ้นรน เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่ามันเดิมพันสูง หมายถึงคุก และทรัพย์สินกำลังจะถูกริบเข้าหลวงมันก็ต้องทำทุกวิถีทาง
ดังนั้นในวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน และช่วงวันสุกดิบก่อนหลัง ถ้าพิจารณาตามสถานการณ์แล้วเป้าหมายสำคัญก็คือ การระดมพลแสดงพลังแสนยานุภาพโชว์พลังให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น โดยเฉพาะพุ่งไปที่ “ชนชั้นสูง”เป็นหลัก
อย่าลืมว่างานนี้เปิดหน้า เห็นตัวตนแล้ว และต้องทุ่มทุนสร้างกันเต็มที่
แต่เมื่อสถานการณ์มันเริ่มเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเมื่อก่อน กุมสภาพไม่ได้ส่วนใหญ่ต้องสั่งผ่านนายหน้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาต้องมีรายการ “แปลงสาร” อมหัวคิว ผลงานไม่ค่อยคุ้มราคา แถมสมุนลิ่วล้อเริ่มถอยฉาก เพราะกลัวติดร่างแหไปด้วย
เหลือแต่ระดับฮาร์ดคอร์ ลูกคู่ของแท้ถึงไหนถึงกัน และนาทีนี้ไม่รู้ว่า “นายใหญ่” จะ “โฟนอิน” ข้ามทวีปเข้ามาในรายการ “สามเกลอ” ถ้ามีก็ต้องรอดูว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะทุกสายตาจับจ้องกันตาไม่กระพริบ เพราะถ้าเปิดโอกาสให้นักโทษหนีคุกต่อสายใช้สื่อของรัฐเข้ามาพูดจาจาบจ้วง “ชนชั้นสูง” หมิ่นศาล หรือปลุกระดมให้วุ่นวาย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงงานนี้นอกจากเราจะได้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของเขาแล้ว ยังต้องมีคนที่รับผิดชอบเต็มๆแน่นอน ไล่ไปตั้งแต่นายกรัฐมนตรีตรีลงไปกันกราวรูดแน่ !!