xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ชะตาแม้ว! ศาลเข้มรับมือลิ่วล้อพล่านกดดัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมืองพิพากษา"ทักษิณ-พจมาน"ทุจริตซื้อที่ดิน บ่ายสองวันนี้ ศาลแจ้งระเบียบ 9 ข้อ คุมเข้มความปลอดภัย ชี้ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล "ชูศักดิ์" ชี้ นปช.เตรียมกดดันศาล เป็นเรื่องปกติ "อภิสิทธิ์"ห่วงสถานการณ์รุนแรง "แม้ว" ยังไม่ยอม ส่งทนายร้องศาลขอขัง "สนธิ" อ้างทำผิดเงื่อนไข ขณะที่แก๊ง นปช.ป่วนรายวัน ให้กำลังใจตำรวจ ด้านแกนนำ "สุชาติ นาคบางไทร" หนีหมายจับหมิ่นเบื้องสูง “ศรีเมือง” ตีบทแตก ลั่นไม่อยากให้ครูเข้ากรุง หลังลือหึ่งคนในรัฐบาลหนุนให้เคลื่อนไหวผสมโรงกดดันศาลพิพากษาแม้ว

วันนี้ (21 ต.ค.) เวลา 14.00 น.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.4 , 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 ขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับคดีนี้อัยการสูงสุดโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2550 และศาลมีคำสั่งรับฟ้องเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2550 และศาลฎีกาฯ เริ่มดำเนินกระบวนไต่สวนพยานโจทก์นัดแรก วันที่ 8 ก.ค. 2551 อัยการโจทก์นำพยานขึ้นเบิกความทั้งสิ้นจำนวน 20 ปาก ใช้เวลานำสืบ 5 นัด และไต่สวนพยานจำเลยครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ส.ค. โดยทนายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 20 ปาก ใช้เวลานำสืบ 5 นัด จนกระทั่งศาลไต่สวนพยานจำเลยเสร็จสิ้นและนัดฟังคำพิพากษาครั้งแรกในวันที่ 17 ก.ย. แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่เดินทางมา ศาลจึงให้ออกหมายจับทั้งสองอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3 และเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 ต.ค. เวลา 14.00 น.

ศาลคุมเข้มความปลอดภัย

ต่อมาเวลาประมาณ 16.30 น.แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ได้ทำหนังสือถึงสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการเข้าฟังคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษกว่า ตามที่ศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีที่สนใจของประชาชนและอาจมีประชาชนมาฟังการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นจำนวนมาก ศาลฎีกาฯจึงได้มีระเบียบศาลฎีกาฯว่าด้วยการรักษาความเรียบร้อยในศาลหรือบริเวณศาลและการเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2544 ซึ่งวางข้อกำหนดการเข้ามาในศาลหรือบริเวณศาลเพื่อรักษาความเรียบร้อยไว้ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

เรื่องการเข้ามาในศาล ข้อ 4 บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาในศาลหรือบริเวณศาลหรือห้องพิจารณาคดี ต้องแต่งกายให้สุภาพและประพฤติตนให้เรียบร้อยห้ามส่งเสียงดัง เสพสุราและของมึนเมาอย่างอื่นจนเป็นเหตุประพฤติวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้ หรือกระทำการอื่นใดอันก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อยในศาลหรือบริเวณศาล ข้อ 5 ห้ามนำอาวุธทุกชนิดเข้ามาในบริเวณศาล ถ้ามีอาวุธติดตัวมาจะต้องเก็บหรือฝากไว้ที่ก่อนเสียก่อนที่จะเข้ามาในศาล เว้นแต่เจ้าพนักงานตำรวจที่ได้รับอนุญาตจากศาล ข้อ 6 บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ข้าราชการตุลาการหรือเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ เมื่อมาติดต่อราชการและหมดภารกิจที่ต้องปฏิบัติแล้วให้ออกไปจากศาลหรือบริเวณศาล

เรื่องการเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาล ข้อ 8 ผู้ที่ประสงค์จะเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาลต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวข้าราชการหรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแลกบัตรเข้าฟังการพิจารณาคดีที่แผนกประชาสัมพันธ์ของศาล ข้อ 9 ห้ามไม่ให้ผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีของศาลแสดงกิริยาไม่เรียบร้อยหรือกระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนหรือขัดขวางการพิจารณาคดีของศาล ทั้งต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ศาลโดยเคร่งครัดด้วย

โดยแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปที่จะเข้าฟังการพิจารณาพิพากษาคดีให้ทราบโดยทั่วกันและให้ถือปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวโดยเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนอาจมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมาย

ชูศักดิ์ให้ท้าย นปช.กดดันศาล

นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลฏีกาฯนัดพิพากษาคดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดา ว่าขอให้ทุกฝ่ายเคารพ คำตัดสินของศาล ส่วนที่กลุ่ม นปช. ประกาศจะไปชุมนุมหน้าศาลฎีกาเพื่อกดดันศาลนั้น ตนถือว่าการจะมีคนให้กำลังใจใคร ถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่อย่าทำอะไรที่นำไปสู่ความรุนแรง และไม่เชื่อว่าคำตัดสินของศาล จะเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความรุนแรง หรือนำไปสู่ทฤษฎีการเมืองใหม่ดังที่พันธมิตรประชาธิปไตยระบุ

อภิสิทธิ์ห่วงสถานการณ์รุนแรง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดในวันนี้ ว่าน่าเป็นห่วงมาก และมีความเสี่ยงสูง และถ้ายิ่งไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ จากรัฐบาล มิหนำซ้ำบางทีรัฐบาลก็เหมือนกับให้ท้ายด้วย ก็อาจจะยิ่งเป็นปัญหา

ต่อข้อถามว่ากรณีนายตำรวจนอกราชการ และนายทหารในราชการ ออกมาเคลื่อนไหว คิดว่ารัฐบาลควรจะปรามหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คนที่อยู่ข้างนอกไม่เป็นไร ถ้าใช้สิทธิ์เสรีภาพในกรอบของกฎหมาย แต่ในส่วนของคนที่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ต้องช่วยกันแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่ตัวนายกฯ ด้วยเพราะเป็นผู้ที่รู้เห็นกับหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และไม่มีความพยายามที่จะระงับยับยั้ง

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่เวทีปราศรัยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)จะหมิ่นเหม่ต่อเบื้องสูง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าใครทำผิด ก็ต้องดำเนินคดีไป ขณะนี้ยังไม่มีอะไรบ่งบอกว่า เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการ แต่ถ้าไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันว่า การยุบสภา ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด และสากลยอมรับ ถ้ายุบสภาเร็วการที่ประชาชนทั้งประเทศจะกลับไปตัดสินใจในการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับ แต่ถ้าช้าไป ตนไม่ทราบ เพราะว่าความรุนแรงหรืออารมณ์ต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้น

เมื่อถามว่า กรณีทีนายเสนาะ เทียนทองหัวหน้าพรรคประชาราช ระบุว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเกิดการนองเลือด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่านายเสนาะ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ น่าจะบอกกับนายกฯ และแสดงท่าที่จุดยืนของพรรคประชาราชเหมือนกันว่า จะปล่อยให้สภาพบ้านเมืองลุกลามไปถึงจุดนั้นหรือไม่

ทนายแม้วร้องศาลขังสนธิ

ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เวลา 11.00 น. นายวัชระ แสงประทุม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกและกักขังนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

นายวัชระ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ เป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาทและคดีนั้นได้มีการไต่สวนฉุกเฉินห้ามไม่ให้จำเลยพูดให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำสั่งไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ค.51 แต่เมื่อวันที่ 14-15 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งห้ามชั่วคราวของศาลแพ่ง โดยนายสนธิ ได้กล่าวปราศรัยให้ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เงินว่าจ้างให้ล้มล้างสถาบันพระมาหากษัตริย์และยังกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ประเทศไทยและได้ขอลี้ภัยในต่างประเทศแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมทนายความได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สน.ดุสิต

นายวัชระ กล่าวว่า จึงมายื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งกรณีที่จำเลยไปให้ข่าวโดยขัดขืนคำสั่งศาล และตอนนี้ทีมทนายกำลังจะฟ้องกรณีหมิ่นประมาท ในคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายอีกประมาณ 300-500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่จำเลยได้พูดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับความเสียหาย เช่น กรณีกล่าวหาว่ามีการจ่ายเงินให้กับทหาร ทั้งนี้ ยืนยันว่าการฟ้องศาลดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิเพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณตามกฎหมาย

พัชรวาทปัดตอบ “ปฏิวัติเงียบ”

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวกรณีที่กองทัพ และ ผบ.ตร.ไปออกรายการโทรทัศน์ที่ช่อง 3 ว่า มีใครบังคับหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มีใครบังคับ ถามว่ากรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รอง อ.ตร. บอกว่าจะเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลคืน ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็น

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ถูกมองว่าการไปออกรายการโทรทัศน์พร้อมผู้นำเหล่าทัพเป็นการปฏิวัติเงียบหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า “ผมไม่เข้าใจว่าหมายความว่าไง เป็นการไปตอบคำถามและชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้น” จากนั้นได้รีบขึ้นลิฟต์ไปยังสำนักงานโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์อีก

นปช.ให้กำลังใจตำรวจ

วันเดียวกันเวลา 11.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายชินวัตร หาบุญพาด แกนนำแนวร่วมประชาธิไตยแห่งชาติ (นปช.รุ่น 2) พร้อมแนวร่วมกว่า 100 คน นำดอกกุหลาบมามอบให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งยื่นหนังสือเรียกร้องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เร่งรัดดำเนินคดีต่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยมี พ.ต.อ.สุทธินาท สุดยอด รองเลขานุการตำรวจแห่งชาติ (รอง ลก.ตร.) เป็นผู้แทนรับมอบ

นายสมยศ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเร่งรัดดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงโดยนำหลักฐานออกตีแผ่ให้สังคมรับรู้ถึงพฤติกรรมของพันธมิตรฯ พร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อแกนนำพันธมิตรฯ และผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดกฎหมายอาญาและต่อรัฐธรรมนูญปี 2550

เหิ่มขู่ทหารห้ามปฎิวัติ

นายสมยศ กล่าวต่อว่า หากผู้นำเหล่าทัพหรือทหารกลุ่มใดก่อการรัฐประหาร ตำรวจต้องออกมาต่อต้าน ต้องทำหน้าที่ปกป้องระบอบประชาธิปไตยโดยการเข้าจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับกลุ่มผู้ก่อการรัฐประหารในฐานะกบฏ ซึ่งประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะยืนหยัดอยู่ข้างตำรวจเพื่อทำหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตย พร้อมกันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ในการจับกุมกลุ่มพันธมิตรฯผู้กระทำผิดกฎหมาย ด้วยการเพิ่มเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และเลื่อนขั้นให้เหมาะสม

ป่วนไม่เลิกแจ้งจับ ป.ป.ช.

จากนั้นเวลา 13.30 น. ที่ กองปราบปราม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 30 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ไพรินทร์ แจ่มจำรัส พนักงานสอบสวน (สบ3) กก.1 บก.ป.เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และพวก รวม 9 คน ในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145

นายสมยศ กล่าวว่า ขอให้ ป.ป.ช.ยุติการปฏิบัติหน้าที่ พิจารณาสำนวนคำไต่สวน เอกสาร คำวินิจฉัย หรือคำสั่งใด ๆ เนื่องจากมีที่มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะดำรงตำแหน่งได้นั้นต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ เสียก่อน แต่คณะ กรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้เข้าเฝ้ารับการโปรดเกล้าฯ แต่อย่างใด

สุชาติหนีหมายจับหมิ่นเบื้องสูง

พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวนสอบสวน สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า หลังจากศาลได้อนุมัติหมายจับ นายสุชาติ นาคบางไทร แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวปราศรัยที่เวที นปช.ท้องสนามหลวง เมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไปแล้วนั้น

โดยในวันที่ 17 ต.ค. พนักงานสอบสวนก็ได้เดินทางไปยังบ้านพักนายสุชาติ นาคบางไทร แถวดอนเมือง เพื่อทำการจับกุมตามหมายจับ แต่ไม่พบตัวนายสุชาติแต่อย่างใด เพราะเจ้าตัวได้หลบหนีไปก่อนเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ดังนั้น ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้เร่งติดตามตัวนายสุชาติมาดำเนินคดีโดยเร็ว ซึ่งคดีดังกล่าวมีอายุความ 15 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นปช.และนปก.ที่เคยถูกออกหมายจับกรณีอภิปรายที่ท้องสนามหลวงพูดจาจาบจ้างหมิ่นเบื้องสูง และติดคุกอยู่จนถึงขณะนี้ในคดีดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้แก่ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล “ดา ตอร์ปิโด” สมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า และนายชูชีพ ชีวสุทธิ์ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภายหลังกล่าวพาดพิงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกอากาศผ่านทางวิทยุชุมชน และผ่านทางเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต

ส่วน นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตแกนนำ นปก.ถูกออกหมายจับกรณีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และอยู่ระหว่างการมาให้ปากคำพนักงานสอบสวน สำหรับคดีนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตแกนนำ นปก. หมิ่นเบื้องสูง ขณะนี้เรื่องรอให้อัยการสั่งฟ้องในชั้นศาล

“ศรีเมือง” ตีบทแตก ลั่นไม่อยากให้ครูเข้ากรุง

จากที่มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า ได้มีการเคลื่อนไหวระดมข้าราชการครู ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะนำข้าราชการครูที่ส่งประเมินผลงานและยังไม่ผ่านเขตละ ประมาณ 100 คน มาชุมนุมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าวันนี้ ( 21 ต.ค.) เพื่อกดดันให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทบทวนวิธีการและผลการประเมินใหม่ โดยมีกระแสข่าวด้วยว่า การชุมนุมครั้งนี้ฝ่ายการเมืองให้การสนับสนุนเนื่องจากได้เตรียมระดมมวลชนจำนวนมากเพื่อที่จะเคลื่อนไปกดดันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ที่กำหนดพิพากษาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

นายศรีเมือง เจริญศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ครูต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ส่วนเรื่องวิทยฐานะเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ให้มีการชะลอเกณฑ์ประเมินใหม่แต่เพื่อไม่ให้ครูเสียสิทธิก็ให้ใช้เกณฑ์เดิมไปก่อน และนำเกณฑ์ใหม่มาทบทวนอีกครั้งโดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ศธ.ไม่ได้ละเลยปัญหา หรือความเดือดร้อนของครูแต่อย่างใด

“ผมมีโอกาสไปพบปะครูในต่างจังหวัด ผมก็ได้ขอร้องครู พยายามจะบอกว่าไม่ต้องลงมาที่กรุงเทพฯ เพราะว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ครูก็มีปัญหาด้านการเงินอยู่แล้ว ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะมาทำไม ขอยืนยันไม่ว่าจะมาหรือไม่มา ผมก็จะแก้ไขปัญหาให้ครูทุกคนแน่นอน ผมจะรักษาสิทธิของครูเหมือนที่ผมรักษาสิทธิของตัวเอง”

ต่อข้อถามว่ามีกระแสข่าวว่าฝ่ายการเมืองไฟเขียวให้ครูมารวมตัวกัน และหากสำเร็จครูกลุ่มนี้จะได้เลื่อนวิทยฐานะ นายศรีเมือง กล่าวว่า คงไม่มีแบบนั้น เพราะ ก.ค.ศ.มีเกณฑ์ในการพิจารณาอยู่แล้ว คงไม่ได้ปรับหรือเลื่อนอะไรง่าย ๆ ต้องทำตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ด้านคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า คาดว่าที่ครูมารวมตัวกันคงจะเป็นประเด็นที่เคยเสนอต่อ รมว.ศธ. ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันอยู่แล้ว เรื่องวิทยฐานะทาง ก.ค.ศ.มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล อย่างไรก็ตาม จะให้นายเสน่ห์ ขาวโต รองเลขาธิการ กพฐ. และนายพิษณุ ตุลสุข ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาบุคคลและนิติการ ไปพบเพื่อรับฟังข้อเสนอ มุมมองของครูว่าเขาคิดอย่างเพื่อนำมาปรับให้เกิดความเป็นธรรม.
กำลังโหลดความคิดเห็น