“สุขุมพันธุ์ลั่นแจก 4 พันล.ตาม รบ.”
สังคมใด ก็เปรียบเหมือนครอบครัวนั้น
คน กทม. และ กทม.ก็เปรียบเหมือน “ครอบครัว กทม.” เฉกเช่นเดียวกัน
ปัญหา คือ...“จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครคือคน กทม.???”
ถ้าคิดว่ามันง่าย มันก็อาจจะง่าย แต่ถ้าคิดว่ามันยาก มันก็อาจจะไม่ง่าย
สมมติเพื่อให้ง่าย ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสี่คน รวมครอบครัวนี้มี 6 คน ทุกคนบอกได้ว่า “ใครบ้างเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้”
ถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครบ้างเป็น “คน กทม.” สิ่งเดียวที่ “ทุกคนต้องยอมรับ” คือ... “รายชื่อตามทะเบียนบ้านที่ปรากฏอยู่ใน กทม.”...ทั้งๆ ที่มีกฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 นั่นก็คือ... “มีนิติรัฐ”...กำหนดบังคับอยู่แล้ว แต่ถามว่า คนไทยทุกคนทุกท่าน “ยึดนิติรัฐ” หรือเปล่า ยกตัวอย่าง
มาตรา 30 ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายที่อยู่ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งดังต่อไปนี้
(1) เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน ให้แจ้งการย้ายออกภายใน 15 วันนับแต่วันที่ผู้อยู่ในบ้านย้ายออก
(2) เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้าน ให้แจ้งการย้ายเข้าภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายเข้าอยู่ในบ้าน
มาตรา 33 เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกิน 180 วัน และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายใน 30 วันนับแต่วันครบ 180 วันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่และให้นายทะเบียน ผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
มาตรา 47 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 30 และมาตรา 33 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ถามว่า ถ้าคนไทยทุกคนทุกท่านปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาและหรือการแก้ไขปัญหาก็อาจจะง่ายเข้า ตรงจุด รวดเร็ว มีหลักเกณฑ์ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีคำอธิบาย และบางทีสามารถตรวจพิสูจน์เพื่อให้ทุกคนยอมรับหรือไม่มีใครกล้าโต้แย้งด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็อาจเป็นได้...
แล้วคนไทยทุกคนทุกท่าน จะไม่คิดที่จะเริ่มต้นปฏิวัติหรือปฏิรูปตนเองก่อนได้ไหม ก่อนที่จะโยนให้ “คนอื่น” เปลี่ยนแปลง
เพราะถ้ามีข้อมูลของคนไทยและประเทศไทยที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันมากที่สุดเท่าไร ก็จะเป็นประโยชน์มากเท่านั้น...
ผมจึงขอถือโอกาสนี้ได้เรียกร้องให้ผู้ที่มีอำนาจและหรือคนไทยทุกคนทุกท่าน
“ได้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปีทุกคนทุกปี”
ไม่ว่าจะอายุแรกเกิดและหรืออายุมากใกล้ตายก็ตาม โดยผู้ที่ยังไม่มีบัตรประชาชน มอบหมายให้ผู้ที่มีอำนาจแทนตามกฎหมายดำเนินการให้ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องมอบหมายและหรือเป็นหน้าที่ของผู้ที่กฎหมายสั่งให้ดำเนินการแทน
เพราะฉะนั้น ในแต่ละปีจะมีข้อมูลของคนไทยและประเทศไทย ที่เป็นปัจจุบันในแต่ละปี......คือ
1. คนไทยมีจำนวนกี่คน และแต่ละคนมีถิ่นที่อยู่อาศัยที่ไหน
2. เงินได้ที่แต่ละคนได้รับแต่ละปีเท่าไร... “ผมขอเน้นว่า ต้องกรอกเงินได้ทุกประเภทให้หมดครบถ้วน โดยมีช่องพิเศษให้กรอก กรณีเป็นเงินได้ที่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องนำมาเสียภาษี (จริงๆ แล้ว ไม่ควรมี เพราะการมีข้อยกเว้น “อะไรก็ตาม” นั่นคือ ต้นกำเนิดของระบบอภิสิทธิ์ ระบบอุปถัมภ์ ระบบศาลเตี้ย)...ก็จะรู้ว่า ใครยากจน ใครไม่ยากจน และก็จะมีข้อมูลบอกได้ว่า ในบ้านนั้น ในครอบครัวนั้น ยากจนหรือไม่ยากจน จริงแท้แค่ไหน
และเมื่อถึงคราวจำเป็นต้อง “ประชานิยม” ก็จะได้ทำด้วยความ “ชอบธรรม”...ผมขอย้ำนะครับว่า อย่างไรเสีย การสอนวิธีการให้จับปลาได้ ย่อมดีกว่าสำคัญกว่าและยั่งยืนกว่า การนำปลาไปให้...
3. คนไทยทุกคนต้องยอมรับใน “ข้อด้อย” ของระบอบประชาธิปไตย คือ ต้องใช้เวลา ไม่อาจรวดเร็วทันใจเช่นระบอบเผด็จการได้ และอำนาจที่แท้จริง (ไม่ว่าอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ) เป็นของคนไทยทุกคน ดังนั้นหากฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ จะคิด จะพูด จะทำ อะไรในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติเอาไว้ การกลับไปขอความเห็นคนไทยทุกคน ก็สามารถทำได้ไม่ยาก...นั่นคือ... “การเพิ่มช่องข้อความในแบบเสียภาษีในแต่ละปี”...ก็จะได้รู้... “การลงประชามติ”...ในเรื่องต่างๆ อีกมากมาย ขอย้ำนะครับว่า... “ในเรื่องที่สมควร”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนไทยและประเทศไทยเป็นเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ไม่เป็นไร ที่ผ่านมาก็อาจจะผ่านไป นับตั้งแต่นี้ต่อไปคนไทยทุกคนทุกท่านต้อง “ปฏิวัติปฏิรูป” ตนเองใหม่ (ซึ่งต้องรวมถึงผมด้วย)
หวังว่า ถั่วคงไม่สุก งาคงไม่ไหม้ หมดเสียก่อน
คำ 6 คำ ผมขอย้ำอีกครั้ง คือ “สิทธิ” “เสรีภาพ” “ความเสมอภาค” “อำนาจ” “หน้าที่” “ความรับผิดชอบ” การที่จะเพิ่ม การที่จะลดให้กับใคร เป็นเรื่องที่ต้องมีหลักเกณฑ์ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีคำอธิบาย และถ้าสามารถตรวจพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็จะยิ่งดี เพราะถ้าหาไม่แล้ว ก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งระบบอภิสิทธิ์ ระบบอุปถัมภ์ ระบบศาลเตี้ย ดังกล่าวแล้วข้างต้น
และเมื่อมีคำว่า... “ขั้นพื้นฐาน”...มาต่อท้ายคำ 6 คำนั้นย่อมหมายถึงว่า สิทธิขั้นพื้นฐาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคขั้นพื้นฐาน อำนาจขั้นพื้นฐาน หน้าที่ขั้นพื้นฐาน ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนทุกท่าน...... “ต้องเท่ากัน ต้องทัดเทียมกัน ต้องเสมอกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะกระทำมิได้”
ปัญหา คือว่า สิทธิขั้นพื้นฐาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคขั้นพื้นฐาน อำนาจขั้นพื้นฐาน หน้าที่ขั้นพื้นฐาน ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน ของคนไทยทุกคนทุกท่าน คือ อะไร และมีอะไรบ้าง......ช่วยกันคิดช่วยกันทำ บางทีคนไทยและประเทศไทยอาจจะดีขึ้น สงบขึ้น เจริญก้าวหน้าขึ้น ก็อาจเป็นได้......แล้วถ้ามีโอกาสจะขอนำเสนอครับ
ด้วยความเคารพในคนไทยทุกคนทุกท่าน
policemajor@hotmail.com
สังคมใด ก็เปรียบเหมือนครอบครัวนั้น
คน กทม. และ กทม.ก็เปรียบเหมือน “ครอบครัว กทม.” เฉกเช่นเดียวกัน
ปัญหา คือ...“จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครคือคน กทม.???”
ถ้าคิดว่ามันง่าย มันก็อาจจะง่าย แต่ถ้าคิดว่ามันยาก มันก็อาจจะไม่ง่าย
สมมติเพื่อให้ง่าย ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสี่คน รวมครอบครัวนี้มี 6 คน ทุกคนบอกได้ว่า “ใครบ้างเป็นสมาชิกของครอบครัวนี้”
ถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครบ้างเป็น “คน กทม.” สิ่งเดียวที่ “ทุกคนต้องยอมรับ” คือ... “รายชื่อตามทะเบียนบ้านที่ปรากฏอยู่ใน กทม.”...ทั้งๆ ที่มีกฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 นั่นก็คือ... “มีนิติรัฐ”...กำหนดบังคับอยู่แล้ว แต่ถามว่า คนไทยทุกคนทุกท่าน “ยึดนิติรัฐ” หรือเปล่า ยกตัวอย่าง
มาตรา 30 ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายที่อยู่ต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งดังต่อไปนี้
(1) เมื่อผู้อยู่ในบ้านย้ายที่อยู่ออกจากบ้าน ให้แจ้งการย้ายออกภายใน 15 วันนับแต่วันที่ผู้อยู่ในบ้านย้ายออก
(2) เมื่อมีผู้ย้ายที่อยู่เข้าอยู่ในบ้าน ให้แจ้งการย้ายเข้าภายใน 15 วันนับแต่วันที่ย้ายเข้าอยู่ในบ้าน
มาตรา 33 เมื่อผู้อยู่ในบ้านใดออกจากบ้านที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่นเกิน 180 วัน และเจ้าบ้านไม่ทราบว่าผู้นั้นไปอยู่ที่ใด ให้เจ้าบ้านแจ้งการย้ายออกต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งภายใน 30 วันนับแต่วันครบ 180 วันโดยระบุว่าไม่ทราบที่อยู่และให้นายทะเบียน ผู้รับแจ้งเพิ่มชื่อและรายการผู้นั้นในทะเบียนบ้านกลาง
มาตรา 47 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 30 และมาตรา 33 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ถามว่า ถ้าคนไทยทุกคนทุกท่านปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาและหรือการแก้ไขปัญหาก็อาจจะง่ายเข้า ตรงจุด รวดเร็ว มีหลักเกณฑ์ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีคำอธิบาย และบางทีสามารถตรวจพิสูจน์เพื่อให้ทุกคนยอมรับหรือไม่มีใครกล้าโต้แย้งด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็อาจเป็นได้...
แล้วคนไทยทุกคนทุกท่าน จะไม่คิดที่จะเริ่มต้นปฏิวัติหรือปฏิรูปตนเองก่อนได้ไหม ก่อนที่จะโยนให้ “คนอื่น” เปลี่ยนแปลง
เพราะถ้ามีข้อมูลของคนไทยและประเทศไทยที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันมากที่สุดเท่าไร ก็จะเป็นประโยชน์มากเท่านั้น...
ผมจึงขอถือโอกาสนี้ได้เรียกร้องให้ผู้ที่มีอำนาจและหรือคนไทยทุกคนทุกท่าน
“ได้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในแต่ละปีทุกคนทุกปี”
ไม่ว่าจะอายุแรกเกิดและหรืออายุมากใกล้ตายก็ตาม โดยผู้ที่ยังไม่มีบัตรประชาชน มอบหมายให้ผู้ที่มีอำนาจแทนตามกฎหมายดำเนินการให้ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องมอบหมายและหรือเป็นหน้าที่ของผู้ที่กฎหมายสั่งให้ดำเนินการแทน
เพราะฉะนั้น ในแต่ละปีจะมีข้อมูลของคนไทยและประเทศไทย ที่เป็นปัจจุบันในแต่ละปี......คือ
1. คนไทยมีจำนวนกี่คน และแต่ละคนมีถิ่นที่อยู่อาศัยที่ไหน
2. เงินได้ที่แต่ละคนได้รับแต่ละปีเท่าไร... “ผมขอเน้นว่า ต้องกรอกเงินได้ทุกประเภทให้หมดครบถ้วน โดยมีช่องพิเศษให้กรอก กรณีเป็นเงินได้ที่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องนำมาเสียภาษี (จริงๆ แล้ว ไม่ควรมี เพราะการมีข้อยกเว้น “อะไรก็ตาม” นั่นคือ ต้นกำเนิดของระบบอภิสิทธิ์ ระบบอุปถัมภ์ ระบบศาลเตี้ย)...ก็จะรู้ว่า ใครยากจน ใครไม่ยากจน และก็จะมีข้อมูลบอกได้ว่า ในบ้านนั้น ในครอบครัวนั้น ยากจนหรือไม่ยากจน จริงแท้แค่ไหน
และเมื่อถึงคราวจำเป็นต้อง “ประชานิยม” ก็จะได้ทำด้วยความ “ชอบธรรม”...ผมขอย้ำนะครับว่า อย่างไรเสีย การสอนวิธีการให้จับปลาได้ ย่อมดีกว่าสำคัญกว่าและยั่งยืนกว่า การนำปลาไปให้...
3. คนไทยทุกคนต้องยอมรับใน “ข้อด้อย” ของระบอบประชาธิปไตย คือ ต้องใช้เวลา ไม่อาจรวดเร็วทันใจเช่นระบอบเผด็จการได้ และอำนาจที่แท้จริง (ไม่ว่าอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ) เป็นของคนไทยทุกคน ดังนั้นหากฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ จะคิด จะพูด จะทำ อะไรในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติเอาไว้ การกลับไปขอความเห็นคนไทยทุกคน ก็สามารถทำได้ไม่ยาก...นั่นคือ... “การเพิ่มช่องข้อความในแบบเสียภาษีในแต่ละปี”...ก็จะได้รู้... “การลงประชามติ”...ในเรื่องต่างๆ อีกมากมาย ขอย้ำนะครับว่า... “ในเรื่องที่สมควร”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนไทยและประเทศไทยเป็นเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ไม่เป็นไร ที่ผ่านมาก็อาจจะผ่านไป นับตั้งแต่นี้ต่อไปคนไทยทุกคนทุกท่านต้อง “ปฏิวัติปฏิรูป” ตนเองใหม่ (ซึ่งต้องรวมถึงผมด้วย)
หวังว่า ถั่วคงไม่สุก งาคงไม่ไหม้ หมดเสียก่อน
คำ 6 คำ ผมขอย้ำอีกครั้ง คือ “สิทธิ” “เสรีภาพ” “ความเสมอภาค” “อำนาจ” “หน้าที่” “ความรับผิดชอบ” การที่จะเพิ่ม การที่จะลดให้กับใคร เป็นเรื่องที่ต้องมีหลักเกณฑ์ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีคำอธิบาย และถ้าสามารถตรวจพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็จะยิ่งดี เพราะถ้าหาไม่แล้ว ก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งระบบอภิสิทธิ์ ระบบอุปถัมภ์ ระบบศาลเตี้ย ดังกล่าวแล้วข้างต้น
และเมื่อมีคำว่า... “ขั้นพื้นฐาน”...มาต่อท้ายคำ 6 คำนั้นย่อมหมายถึงว่า สิทธิขั้นพื้นฐาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคขั้นพื้นฐาน อำนาจขั้นพื้นฐาน หน้าที่ขั้นพื้นฐาน ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนทุกท่าน...... “ต้องเท่ากัน ต้องทัดเทียมกัน ต้องเสมอกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะกระทำมิได้”
ปัญหา คือว่า สิทธิขั้นพื้นฐาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคขั้นพื้นฐาน อำนาจขั้นพื้นฐาน หน้าที่ขั้นพื้นฐาน ความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน ของคนไทยทุกคนทุกท่าน คือ อะไร และมีอะไรบ้าง......ช่วยกันคิดช่วยกันทำ บางทีคนไทยและประเทศไทยอาจจะดีขึ้น สงบขึ้น เจริญก้าวหน้าขึ้น ก็อาจเป็นได้......แล้วถ้ามีโอกาสจะขอนำเสนอครับ
ด้วยความเคารพในคนไทยทุกคนทุกท่าน
policemajor@hotmail.com