นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงผลการประชุมวางกรอบการเมืองใหม่ว่า ที่ประชุมได้นิยามการเมืองใหม่ ว่าเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง มุ่งเทิดทูนสถาบัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และสร้างความเป็นธรรมอย่างแท้จริง การเข้าสู่การเมืองใหม่ ต้องมีการปฏิรูปการเข้าสู่อำนาจ โดยที่ประชุมเห็นว่า ส.ส. จะต้องมาจากการเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แบ่งเป็นการเลือกตั้งโดยตรง และการเลือกตั้งจากตัวแทนสาขาอาชีพ
ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า นักการเมืองจะต้องไม่ใช่อาชีพที่เข้ามาแสวงประโยชน์หรืออำนาจ นักการเมืองต้องมีจริยธรรม ต้องลงนามในสัตยาบันจริยธรรม ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง นอกจากนี้การเมืองใหม่จะต้องเพิ่มอำนาจภาคประชาชน ทั้งการมีส่วนร่วม และการเรียกคืนอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม
นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การเมืองเก่าล้มเหลว มาจากการได้มาซึ่งอำนาจ ที่ขัดต่อจริยธรรมและกฎหมาย การเลือกตั้งที่มีระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองและนายทุน ที่ไม่ยึดหลักนิติธรรม ประกอบกับนักการเมืองที่ยอมให้นายทุนสามารถซื้อได้ และประชาชนขาดการมีส่วนร่วม โดยถึงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ได้อย่างจำกัด เมื่อถามว่าได้คุยกันถึงสัดส่วนการเลือกตั้งจากสาขาอาชีพหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้คุยถึงขั้นนั้น เป็นเพียงการกำหนดกรอบกว้าง ๆ และจะประชุมครั้งต่อไป วันที่ 27 กันยายน เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ เช่นผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย คนจนเมือง และตัวแทนเอ็นจีโอเข้าร่วม
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า การเลือกตั้งแบบเดิม มุ่งไปที่บทบาทของพื้นที่ ซึ่งมีความหลากหลาย และในท้องถิ่นขาดข้อมูลข่าวสาร จึงสามารถถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์ได้โดยง่าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ต้องเปลี่ยนแปลง
ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวว่า นักการเมืองจะต้องไม่ใช่อาชีพที่เข้ามาแสวงประโยชน์หรืออำนาจ นักการเมืองต้องมีจริยธรรม ต้องลงนามในสัตยาบันจริยธรรม ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง นอกจากนี้การเมืองใหม่จะต้องเพิ่มอำนาจภาคประชาชน ทั้งการมีส่วนร่วม และการเรียกคืนอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม
นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การเมืองเก่าล้มเหลว มาจากการได้มาซึ่งอำนาจ ที่ขัดต่อจริยธรรมและกฎหมาย การเลือกตั้งที่มีระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองและนายทุน ที่ไม่ยึดหลักนิติธรรม ประกอบกับนักการเมืองที่ยอมให้นายทุนสามารถซื้อได้ และประชาชนขาดการมีส่วนร่วม โดยถึงสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ได้อย่างจำกัด เมื่อถามว่าได้คุยกันถึงสัดส่วนการเลือกตั้งจากสาขาอาชีพหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้คุยถึงขั้นนั้น เป็นเพียงการกำหนดกรอบกว้าง ๆ และจะประชุมครั้งต่อไป วันที่ 27 กันยายน เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ เช่นผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย คนจนเมือง และตัวแทนเอ็นจีโอเข้าร่วม
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า การเลือกตั้งแบบเดิม มุ่งไปที่บทบาทของพื้นที่ ซึ่งมีความหลากหลาย และในท้องถิ่นขาดข้อมูลข่าวสาร จึงสามารถถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์ได้โดยง่าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ต้องเปลี่ยนแปลง