ไม่น่าเชื่อว่ารัฐมนตรีอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งมักจะกล่าวหาคนอื่นว่าแปลคำพูดของเขาว่าชอบบิดเบือน
แต่ตัวแกเองกลับบิดเบือนข้อเขียนของตัวเองที่แปลมาจากคำเขียนทั้งโดยตรงและโดยสำนวนการแปลได้อย่างที่ชาวบ้านต้องเรียกว่า “หน้าด้าน” เลยละครับ
ดีแต่ว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ นั้นแกเรียนอยู่อังกฤษมานาน จนภาษาอังกฤษเข้าฝัก ได้เห็นวิธีแปลภาษาอังกฤษของนายจักรภพแล้วก็ตกใจมากว่า นี่แกไปจบมาได้อย่างไร จะว่าภาษาไม่ดีก็คงว่าไม่ได้
มีอย่างเดียวคือ “จงใจ” ที่จะบิดเบือนเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลอื่น
และพบว่ามีการ “อำพราง” การแปลแบบที่ว่านี้ไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง
ซึ่งไม่ได้ช่วยให้พ้นข้อหา “หมิ่นเหม่” ต่อความกร้าวต่อสถาบันแต่ประการใด แถมมีช่องโหว่เพิ่มเติมเป็นโบนัสเรื่องความจงรักภักดีของอดีตนายกแม้วว่า แกน่ะมีความจงรักภักดีไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียด้วย !!!
ถ้อยความในเนื้อหาของปาฐกถาที่นายจักรภพไปแสดงวาทะที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศนั้น ว่าด้วยเรื่องประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์โดยตะแกร่ายยาวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาย้อนตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานีมาอยุธยาจนรัตนโกสินทร์ จวบเข้ามายังยุคสมัยปัจจุบันครับท่าน...
สรุปว่าระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนอยู่คู่สังคมไทยมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
และท้ายสุดแกกร้าวว่าจะต้องทำลายหรือทำให้ระบบนี้พังทลายแบบถอนราก ขุดเหง้าทิ้งให้ได้ในไม่ช้า
คำว่า “อุปถัมภ์” ที่ว่านี้ ในภาษาอังกฤษคือ Patronage แกใช้คำนี้มาก ไม่ต่ำกว่า 24 แห่ง มีนัยยะ 2 อย่างคือ แรกนั้นคือระบบที่รับความแตกต่างทางสังคมผู้ใหญ่กับผู้น้อย โดยทั้งคู่เกื้อกูลให้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันและกัน
นัยยะที่ 2 เป็นความหมายเฉพาะที่คุณจักรภพสร้างขึ้นไม่มีรูปแต่เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นรูปธรรมได้โดยคุณจักรภพเองก็บอกว่าเป็นการเกื้อกูลด้วยความจงรักภักดี ที่คุณจักรภพว่ามีในไทย ฝ่ายเกื้อกูลคือพระมหากษัตริย์ไทย
และไม่ต้องยกตัวอย่างอะไร ดังเห็นจากมีองค์กร, สมาคมต่างๆ ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์จำนวนมาก คือราชาบวกอุปถัมภ์นั่นแหละครับ
ระบบที่คนไทยเชื่อว่าดีที่สุด คือประชาธิปไตยที่มีการชี้นำหรือ Guided Democracy คือที่มีในหลวงทรงชี้นำ แต่คุณจักรภพก็เห็นว่าเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงกับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ทันสมัย
ดังนั้นไม่แปลกนักที่จักรภพใช้คำว่า “อุปถัมภ์” ฟุ่มเฟือย เพราะบอกโดยนัยๆ ว่า ระบบอุปถัมภ์ไม่อาจอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยได้เลย
ว่าเข้านั่นนะ เจ๊
แถมบอกว่าทุกวันนี้ บ้านเมืองวิกฤตก็เพราะมีการปะทะระหว่าง 2 ระบบ คืออุปถัมภ์กับประชาธิปไตย คือระหว่างสถาบันหลักกับประชาธิปไตยนั่นคือ วาระหรือนัยยะซ่อนไว้ของเจ๊แกละ
เสร็จสรรพแล้ว แกก็แสดงความชื่นชมที่ทักษิณเป็นคนทำลายระบบอุปถัมภ์ที่แกว่าฝังรากอยู่มายาวนานในสังคมไทย
น่าคิดอีกที่หนึ่ง คือจักรภพ พูดถึงกษัตริย์ไทยคือพ่อขุนรามคำแหง โดยไม่เรียกว่า King Ramkhamhaeng แต่ไพล่ไปเรียกว่า “Great Father Ramkhamhaeng อย่างเฉยๆ อาจเทียบพ่อขุนกับ Father ก็ได้ แต่คำนี้หมายถึง King ครับ! ดังนั้นจะไม่เรียกว่า King ไม่ได้เลย
มีที่บิดเบือนอีกหลายที่อยากให้อ่านตามหน้า นสพ.ฉบับอื่นๆ ที่คุณอภิสิทธิ์แกแจกแจงไว้ชัดเจนแล้ว
ยิ่งอ่านยิ่งส่อเจตนาว่า เจ๊แก “เจ๊ง” ในฐานะโมฆะบุรุษในสังคมไทยไปทุกวัน
แกตะเบงอยู่ในตำแหน่งหาพระแสงอะไรไม่ทราบ
ใครหากล้วยให้แกสักหวี เอาไปยื่นให้แกก่อนแกลางาน 7 วัน ไล่ให้เข้าป่าไปสักทีเถอะครับ!
แต่ตัวแกเองกลับบิดเบือนข้อเขียนของตัวเองที่แปลมาจากคำเขียนทั้งโดยตรงและโดยสำนวนการแปลได้อย่างที่ชาวบ้านต้องเรียกว่า “หน้าด้าน” เลยละครับ
ดีแต่ว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุณอภิสิทธิ์ นั้นแกเรียนอยู่อังกฤษมานาน จนภาษาอังกฤษเข้าฝัก ได้เห็นวิธีแปลภาษาอังกฤษของนายจักรภพแล้วก็ตกใจมากว่า นี่แกไปจบมาได้อย่างไร จะว่าภาษาไม่ดีก็คงว่าไม่ได้
มีอย่างเดียวคือ “จงใจ” ที่จะบิดเบือนเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลอื่น
และพบว่ามีการ “อำพราง” การแปลแบบที่ว่านี้ไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง
ซึ่งไม่ได้ช่วยให้พ้นข้อหา “หมิ่นเหม่” ต่อความกร้าวต่อสถาบันแต่ประการใด แถมมีช่องโหว่เพิ่มเติมเป็นโบนัสเรื่องความจงรักภักดีของอดีตนายกแม้วว่า แกน่ะมีความจงรักภักดีไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียด้วย !!!
ถ้อยความในเนื้อหาของปาฐกถาที่นายจักรภพไปแสดงวาทะที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศนั้น ว่าด้วยเรื่องประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์โดยตะแกร่ายยาวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาย้อนตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานีมาอยุธยาจนรัตนโกสินทร์ จวบเข้ามายังยุคสมัยปัจจุบันครับท่าน...
สรุปว่าระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนอยู่คู่สังคมไทยมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
และท้ายสุดแกกร้าวว่าจะต้องทำลายหรือทำให้ระบบนี้พังทลายแบบถอนราก ขุดเหง้าทิ้งให้ได้ในไม่ช้า
คำว่า “อุปถัมภ์” ที่ว่านี้ ในภาษาอังกฤษคือ Patronage แกใช้คำนี้มาก ไม่ต่ำกว่า 24 แห่ง มีนัยยะ 2 อย่างคือ แรกนั้นคือระบบที่รับความแตกต่างทางสังคมผู้ใหญ่กับผู้น้อย โดยทั้งคู่เกื้อกูลให้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันและกัน
นัยยะที่ 2 เป็นความหมายเฉพาะที่คุณจักรภพสร้างขึ้นไม่มีรูปแต่เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นรูปธรรมได้โดยคุณจักรภพเองก็บอกว่าเป็นการเกื้อกูลด้วยความจงรักภักดี ที่คุณจักรภพว่ามีในไทย ฝ่ายเกื้อกูลคือพระมหากษัตริย์ไทย
และไม่ต้องยกตัวอย่างอะไร ดังเห็นจากมีองค์กร, สมาคมต่างๆ ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์จำนวนมาก คือราชาบวกอุปถัมภ์นั่นแหละครับ
ระบบที่คนไทยเชื่อว่าดีที่สุด คือประชาธิปไตยที่มีการชี้นำหรือ Guided Democracy คือที่มีในหลวงทรงชี้นำ แต่คุณจักรภพก็เห็นว่าเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงกับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ทันสมัย
ดังนั้นไม่แปลกนักที่จักรภพใช้คำว่า “อุปถัมภ์” ฟุ่มเฟือย เพราะบอกโดยนัยๆ ว่า ระบบอุปถัมภ์ไม่อาจอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยได้เลย
ว่าเข้านั่นนะ เจ๊
แถมบอกว่าทุกวันนี้ บ้านเมืองวิกฤตก็เพราะมีการปะทะระหว่าง 2 ระบบ คืออุปถัมภ์กับประชาธิปไตย คือระหว่างสถาบันหลักกับประชาธิปไตยนั่นคือ วาระหรือนัยยะซ่อนไว้ของเจ๊แกละ
เสร็จสรรพแล้ว แกก็แสดงความชื่นชมที่ทักษิณเป็นคนทำลายระบบอุปถัมภ์ที่แกว่าฝังรากอยู่มายาวนานในสังคมไทย
น่าคิดอีกที่หนึ่ง คือจักรภพ พูดถึงกษัตริย์ไทยคือพ่อขุนรามคำแหง โดยไม่เรียกว่า King Ramkhamhaeng แต่ไพล่ไปเรียกว่า “Great Father Ramkhamhaeng อย่างเฉยๆ อาจเทียบพ่อขุนกับ Father ก็ได้ แต่คำนี้หมายถึง King ครับ! ดังนั้นจะไม่เรียกว่า King ไม่ได้เลย
มีที่บิดเบือนอีกหลายที่อยากให้อ่านตามหน้า นสพ.ฉบับอื่นๆ ที่คุณอภิสิทธิ์แกแจกแจงไว้ชัดเจนแล้ว
ยิ่งอ่านยิ่งส่อเจตนาว่า เจ๊แก “เจ๊ง” ในฐานะโมฆะบุรุษในสังคมไทยไปทุกวัน
แกตะเบงอยู่ในตำแหน่งหาพระแสงอะไรไม่ทราบ
ใครหากล้วยให้แกสักหวี เอาไปยื่นให้แกก่อนแกลางาน 7 วัน ไล่ให้เข้าป่าไปสักทีเถอะครับ!