xs
xsm
sm
md
lg

ตร.เสื้อแดงขย่มบัลลังก์รัฐบี้ปปช.อ้างฆ่าคนไม่ผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - รัฐตำรวจเสื้อแดงเผยธาตุแท้ ตะแบงล่ารายชื่อถอด ป.ป.ช. อ้างฆ่าประชาชน 7 ตุลาเลือด "ไม่ผิด" เพราะทำตามหน้าที่ เกณฑ์ตำรวจชั้นผู้น้อยพร้อมเปิดซีดี "ตำรวจฆ่าประชาชน" ช่อง ASTV เปรียบเทียบกับสกู๊ปช่อง 9 ชี้นำตำรวจชั้นผู้น้อยให้คล้อยตาม แฉเบื้องหลังมีอดีตบิ๊กตำรวจในระบอบทักษิณร่วมขับเคลื่อน งานนี้ลามถึงบัลลังก์รัฐบาลมาร์คสั่นคลอน "ประทิน" จวกไม่เหมาะทำสถาบันตำรวจเสื่อมเสีย ขณะที่กรรมการ ป.ป.ช.ย้ำไม่หวั่นไหว

วานนี้ (19 ม.ค.) เมื่อเวลา 08.00 น. ที่สโมสรตำรวจ (ตร.) พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ (รอง อ.ตร.) นายกสมาคมตำรวจ ได้จัดงานสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "องค์กรตามรัฐธรรมนูญกับการทำหน้าที่ของตำรวจ" โดยมีพล.ต.อ.สุพาสน์ จีระพันธุ์ อดีตนายกสมาคมตำรวจและอดีตก.ตร. ดร.พนา ทองมีอาคม คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ นายพนม ปีย์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเนเจอร์ไลฟ์ จำกัด พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเดโช อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ร่วมอภิปราย

***ตั้งโต๊ะลงชื่อถอดถอน ป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่เวลา 08.00 น. ได้มีข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งประชาชนทั่วไป คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ(กต.ตร.) อาสาสมัครตำรวจบ้าน ทยอยเดินทางเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมากประมาณ 2,000 คน โดยบางส่วนก็มากันเป็นกลุ่มนั่งรถตู้เข้ามา ทยอยมาลงทะเบียนร่วมฟังการอภิปราย มีทั้งกลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง กลุ่มเสื้อแดง จนแน่นห้องประชุม จนที่นั่งด้านในห้องไม่พอ ต้องออกมายืนด้านนอกห้อง ซึ่งทางทีมงานได้จัดจอโทรทัศน์วงจรปิดไว้ให้ชมจากด้านนอก นอกจากนี้ยังมีพล.ต.อ.สล้าง บุญนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผบช.ภ.6 เข้าร่วมฟังการอภิปรายในครั้งนี้ด้วย โดยบริเวณโต๊ะลงทะเบียนได้มีการเตรียมแบบฟอร์มให้ผู้ที่มาร่วมสัมมนาและต้องการลงชื่อถอดถอนปปช.ไว้เพื่อให้กรอกแบบฟอร์ม พร้อมแนบสำเนาบัตรข้าราชการตำรวจ และสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งมีผู้รวบรวมเก็บไว้ที่โต๊ะลงทะเบียน
พล.ต.อ.วิสุทธิ์ เปิดเผยก่อนการเริ่มสัมมนาว่า การสัมมนาครั้งนี้ สืบเนื่องจากวันที่ 7 ต.ค. 51 ทำให้ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคม เป็นแพะทางการเมือง จนตำรวจเสียขวัญกำลังใจในการทำงาน แม้ขณะนี้ประชาชนจะเริ่มเข้าใจตำรวจมากขึ้น แต่การตรวจสอบการทำงานของตำรวจยังคงมีอยู่ ซึ่งทางสมาคมตำรวจได้ติดตามข่าวมาตลอด จึงอยากทราบความรู้สึกของตำรวจทั้งหมด และในวันนี้จึงได้เปิดโอกาสให้นายตำรวจทุกคนได้แสดงความรู้สึก

***"วิสุทธิ์" ยังปฏิเสธล่าชื่อถอดถอน
ส่วนกรณีข่าวการจัดสัมมนาเพื่อที่จะมีการล่ารายชื่อถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้ง 9 คนนั้น พล.ต.อ.วิสุทธิ์ ยอมรับว่า รู้ว่ามีตำรวจบางคนจัดทำรายชื่อมาให้ในวันนี้ แต่ตนยังไม่เห็น และยังไม่ได้รับรายชื่อดังกล่าว ซึ่งก่อนจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ต้องฟังมติจากการจัดสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งหากมีการดำเนินการคนที่นำไปดำเนินการต้องเป็นจุดเป้าหมายที่หลายฝ่ายมอง โดยส่วนตัวมองว่า ถ้าทำให้วงการตำรวจดีขึ้น ตนก็ยินดีเป็นตัวแทนดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่า การจัดงานจะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับป.ป.ช. เนื่องจากทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง คงไม่มีการกระทบกระทั่งกัน

***นำซีดี"ตร.ฆ่าประชาชน"มาเปรียบเทียบ
ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น. การสัมมนาดังกล่าวได้เริ่มขึ้น โดยมีการเปิดวิดีโอการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่กลุ่มพันธมิตรทำขึ้นในชื่อ"ตำรวจฆ่าประชาชน" จากนั้นก็เป็นสกู๊ปข่าวเหตุการณ์สลายการชุมชุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ให้นายตำรวจทั้งหมดได้ชมก่อนที่จะเริ่มสัมมนา โดยระบุว่า ซีดีจากสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เสนอข่าวเกินจริง ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงตามนั้น จากนั้น พล.ต.อ.สุพาสน์ เริ่มกล่าวอภิปราบเป็นคนแรก ถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 โดยระบุตอนหนึ่งว่า " องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มี 3 องค์กร คือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชน และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริจแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งป.ป.ช.มีอำนาจมาก สามารถชี้เป็นชี้ตายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ตำรวจก็ต้องทำงานโดยพยายามไม่ให้ตกเป็นจำเลยของสังคม อย่างเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม การสลายการชุมนุมไม่มีกฎหมายป.วิอาญาเขียนไว้ ตำรวจก็สงสัยว่าจะทำอย่างไรในการสลายการชุมนุม" ขณะที่ดร.พนา และนายพนม รวมทั้งพล.ต.อ.สุวรรณ ก็กล่าวอภิปรายไปในทิศทางเดียวกันในลักษณะว่า ตำรวจไม่ได้กระทำผิดกับเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด แต่ได้ทำไปตามหน้าที่ที่กฏหมายกำหนดให้

***"ผู้การมานิตย์"โผล่ป้องพวกเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่เปิดใช้แสดงความคิดเห็น พล.ต.ต.มานิตย์ วงษ์สมบูรณ์ ซึ่งร่วมฟังการสัมมนาด้วย ขึ้นแสดงความคิดเห็นว่า รู้สึกห่วงใยเพื่อนตำรวจนครบาลที่จะถูกป.ป.ช.ชี้มูลในเร็ววันนี้ ว่าอาจต้องโทษร้ายแรงถึงขึ้นติดคุก เพราะแค่ตน ซึ่งถือว่าทำผิดเล็กน้อยยังต้องออกจากราชการ แล้วกรณีวันที่ 7 ตุลาคม ที่มีคนขาขาด คนตาย จะต้องถูกชี้มูลกันขนาดไหน

***ตำรวจ 191 ขนกำลังไปร่วมลงชื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น.พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบก.ตปพ. ได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษประมาณ 300 นายมาตั้งแถวบริเวณด้านหน้าห้องประชุม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดทยอยลงรายชื่อร่วมรับฟังการสัมมนา และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ลงรายชื่อเพื่อถอดถอน ป.ป.ช. หรือไม่ พล.ต.ต.ศรีวรา กล่าวว่า ตำรวจมาลงรายชื่อเข้าร่วมสัมมนาเฉย ๆ แต่ถ้าจะมีตำรวจคนไหนต้องการลงรายชื่อถอดถอนก็เป็นสิทธิทำได้ตามรัฐธรรมนูญซึ่งไม่เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชา ซึ่งที่ผ่านมามีตำรวจกว่า 2,000 นายในสังกัด ที่ไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้แสดงความคิดเห็นว่าตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรมและเตรียมเอกสารเพื่อลงชื่อถอดถอน ป.ป.ช. ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะใกล้เวลาปิดการสัมมนาแล้ว ยังมีตัวแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่า เป็นซองบรรจุรายชื่อตำรวจที่ลงชื่อถอดถอน ป.ป.ช. มายื่นให้เจ้าหน้าที่ประจำหน้างานที่ตั้งโต๊ะไว้ว่าเป็นจุดลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจะลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาก็น่าจะทำตั้งแต่ก่อนการเข้าร่วมงานช่วงเช้า แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงทยอยมาลงลายมือชื่อเรื่อย ๆ และบอกว่ามาลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟังสัมมนาทั้งที่การสัมมนาจะจบลงแล้ว
ต่อมาพล.ต.อ.วิสุทธิ์ กล่าวภายหลังการสัมมนาว่า ต้องรวบรวมข้อมูลหลังการสัมมนาในครั้งนี้ไปศึกษาวิเคราะห์ก่อน ถ้ามีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมก็ยอมเจ็บตัว แต่ยังไม่มีใครมาส่งให้ ส่วนการที่จะขอให้มีคนกลางมาทำความเข้าใจร่วมกันในส่วนนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้า ป.ป.ช. พร้อมก็ยินดีเพราะทางเราก็พร้อมเพราะมีความบริสุทธิ์ใจอย่างเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 51 ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมายก็ทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ถ้าตำรวจฆ่าประชาชนร่างไม่มีชีวิตคงเกลื่อนไปหมดเลือดก็จะนองลานพระบรมรูปทรงม้า แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทั้งที่มีคนมากขนาดนั้นการปะทะกันใกล้ชิดขนาดนั้นถือว่าตำรวจใช้ความอดทนมากที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจที่มาร่วมในวันนี้เป็นไปตามเป้าหรือไม่ พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้ตังเป้าอะไร เตรียมไว้ 1,000 คนก็จัดที่นั่งเท่านั้น ทั้งที่มีอยู่ด้านนอกรวมแล้วเกือบ 2,000คน ส่วนการที่มีตำรวจเตรียมเอกสารมายื่นถอดถอน ป.ป.ช.นั้น คงเป็นเพียงการดูเหตุการณ์ แต่ไม่มีความรุนแรง แต่ส่วนตัวก็แนะนำว่าเอาไว้ก่อน ถ้ามีความตั้งใจจริง มีเหตุมีผลผมก็ทำให้ ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่เพียงนำชื่อมาให้เฉยๆ

***สั่งกำลังพลที่ร่วมลงชื่อรูดซิปปาก
ผู้สื่อข่าวรายว่า ได้พยายามสอบถามนายตำรวจที่มาร่วลงชื่อในงานสัมมนาดังกล่าวหลายนาย แต่ปรากฏว่า ไม่มีตำรวจรายใด ยอมเปิดเผยถึงการมารวมลงชื่อในครั้งนี้แม้แต่รายเดียว ขณะที่นางพรวิภา เรืองนก อาสาสมัครตำรวจบ้าน สภ.ราชาเทวะ ที่มาร่วมงานสัมมนากล่าวว่า ที่มาร่วมงานเนื่องจากได้รับข้อมูลมาจากสารวัตร ที่สภ.ราชาเทวะ ทราบเพียงเป็นการสัมมนาทางวิชาการ แต่ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่โดยส่วนตัวมองว่า การทำงานตำรวจเป็นการช่วยเหลือประชาชน การถูกโจมตีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เนื่องจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. มีการปะทะกันตำรวจทำหน้ารักษากฎหมาย ส่วนจะมีการยื่นถอดถอน ป.ป.ช. หรือไม่ตนไม่ทราบและไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ด้านนางกัญนภา บุญหลง กลุ่ม นปช. ที่ใส่เสื้อแดงมาร่วมฟังสัมมนากล่าวว่า ทราบข่าวจากวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ 92.75 จึงตั้งใจมายื่นรายชื่อเพื่อถอดถอน ป.ป.ช. โดยมากันหลายคนและจะพยายามหารายชื่อให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตำรวจ

***เปิดแบบฟอร์มกล่าวโทษ ป.ป.ช.
สำหรับการล่ารายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.)ทั้ง 9 คน นั้น มีเนื้อหาดังนี้ คือ เรื่อง "ขอให้ถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช. ออกจากตำแหน่ง" ถึง "นายกสมาคมตำรวจ" ระบุเขียนที่"สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร" เดือน "มกราคม 2552 " มีเนื้อหาดังนี้
ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ในฐานะองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย อันก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจและองค์กรตำรวจในภาพรวม ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้ง ทำให้ไม่มั่นใจในความสุจิริต วินิจฉัยชี้ขาดตรวจสอบการทำงานของตำรวจ ทำให้กระทบการทำงานของตำรวจ ขวัญและกำลังใจ ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของตำรวจ และการบังคับใช้กฎหมาย
ข้อที่ 1 ป.ป.ช.เลือกปฏิบัติ เร่งพิจารณาเรื่องที่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย มีการชี้มูลว่าตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทั้งที่มีเรื่องคั่งค้างอยู่อีกมาก เช่นการตรวจสอบบ้านหลังละ 40 ล้าน ของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เกี่ยวกับการร่ำรวยผิดปกติ ควรเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง
ข้อที่ 2 การแถลงข่าวของ ป.ป.ช. ที่มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงขึ้นมาตรวจสอบ เหตุสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลา โดยนำพยานหลักฐานจากสื่อมวลชนมาแถลงข่าว กล่าวหา พล.ต.อ.พัชวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธร้ายแรงเกินกว่าเหตุ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากและถึงแก่ความตายจำนวน 2 คน เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่กล่าวหา ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่ามีส่วนร่วมในการสั่งการดังกล่าว
"ป.ป.ช. มิได้ไต่สวนข้อเท็จจริงตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด และเป็นการชี้นำให้สังคมเห็นไปในแนวทางว่าการที่มีผู้บาดเจ็บและถึงแก่ความตายนั้น เป็นผลของการกระทำที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และการกระทำของตำรวจนั้นเป็นการใช้อาวุธร้ายแรงและใช้ความรุนแรง"
มิได้คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบของตำรวจในสถานการณ์ดังกล่าวว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่พอสมควรแก่เหตุหรือเป็นการกระทำที่เกินเลยไปกว่ากรณีแห่งความจำเป็นหรือกรณีแห่งการที่จะต้องกระทำหรือไม่
ข้อที่ 3 คุณสมบัติของ ป.ป.ช. มีการนำประเด็นที่นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้รับจ้างเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยศรีปทุม คุณสมบัติอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ไม่ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้าง ของบุคคลใด จึงย่อมเป็นผลให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.
อีกทั้งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 22 กันยายน 2549 มิได้กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับยกเว้นขั้นตอนการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด แม้จะได้มีประกาศ คปค.ฉบับที่ 31 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 ให้ถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 19 ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ก็หามีผลให้การออกประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มิชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว
ป.ป.ช. จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือมีพฤติการณ์ที่เป็นการเสื่อมเสียแห่งเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งอย่างร้ายแรง
"ข้าพเจ้ากับพวกจึงขอใช้สิทธิ์เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา (ผ่านสมาคมตำรวจ) เพื่อนำเสนอเรื่องต่อวุฒิสภาพิจารณามีมติให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. พ้นจากตำแหน่ง ตามในมาตรา 248 ตามบทบัญญติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ดังมีรายชื่อข้างท้ายนี้"

***บิ๊ก ตร.แม้วร่วมขย่มบัลลังก์รัฐบาล
มีรายงานว่า การจัดสัมมนาของสมาคมตำรวจในครั้งนี้ มีนายตำรวจ 2 กลุ่ม ที่อยู่เบื้องหลังการไฟเขียวให้การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์และเรียบร้อย ประกอบด้วยกลุ่มนายตำรวจระดับสูงภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน ที่ฝักใฝ่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถลงมาดำเนินการ หรือสั่งการได้ด้วยตนเอง จึงอาศัยสมาคมตำรวจเป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้ป.ป.ช.ดำเนินการชี้มูลความผิดนายตำรวจทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ซึ่งเบื้องต้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้มูลความผิดและส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ดำเนินการไปแล้ว และด้วยการไฟเขียวจากนายตำรวจระดับสูงภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงทำให้มีกำลังตำรวจสังกัดหน่วยต่างๆ เข้าร่วมลงชื่อถอดถอนป.ป.ช.จำนวนมากในครั้งนี้ ด้วยจุดประสงค์ทีค่จะไม่ให้นายตำรวจเหล่านั้น ถูกให้ออกจากราชการ และอาจถูกดำเนินคดีอาญาซ้ำด้วย
รายงานข่าวระบุด้วยว่า นายตำรวจอีกกลุ่ม ที่สนับสนุนการจัดการสัมมนาในครั้งนี้ เป็นกลุ่มนายตำรวจนอกราชการ ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญและออกมาดำเนินการอย่างเปิดเผยคือพล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ ร่วมกับอดีตนายตำรวจที่เคยเรืองอำนาจในสมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.(ส.) อดีตรองผบ.ตร.พล.ต.อ.(อ.) อดีตผบช.ก. พล.ต.ท.(ช.) เป็นต้น ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังการสัมมนาครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ นอกจากจะช่วยนายตำรวจรุ่นน้องที่จะถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ยังจะชี้ให้ตำรวจจำนวนมากเห็นว่า ตำรวจถูกรังแก เป็นการให้กำลังพลกดดัน และต่อต้านรัฐบาลไปในตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีการดำเนินการในรูปแบบต่างๆ เพื่อหวังผลไม่ให้ป.ป.ช.สามารถชี้มูลความผิดกับนายตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสั่งการในเหตุการ 7 ตุลาเลือดได้ อาทิ การให้ทนายความไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายตำรวจที่เกี่ยวข้องต่อศาลอาญา เพื่อต้องการให้ป.ป.ช.หยุดปฏิบัติหน้าที่ การดำเนินการฟ้องร้องคณะกรรมการป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือแม้แต่การจัดสัมมนาดังกล่าวขึ้น เพื่อล่ารายชื่อตำรวจในการถอดถอนป.ป.ช. โดยก่อนหน้านี้ นายกสมาคมตำรวจออกมาปฏิเสธโดยตลอดว่า ไม่มีการล่ารายชื่อดังกล่าว แต่ในที่สุด การสัมมนาในครั้งนี้ ก็สั่งให้ตำรวจในหลายสังกัด ไปลงชื่อเพื่อยื่นถอดถอนป.ป.ช.ดังกล่าว

***ประทินจวกไม่เหมาะ-ทำ ตร.เสื่อมเสีย
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าวว่าการกระทำของตำรวจครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและทำให้สถาบันตำรวจเสื่อมเสีย จึงอยากเรียกร้องให้ตำรวจที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้พิจารณาความเหมาะสมด้วยเพื่อรักษาสถาบันตำรวจให้เป็นที่พึ่งของประชาชรอย่างแท้จริง โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยเพราะในเมื่อป.ป.ช.ทำหน้าที่ของตัวเอง ตามกฎหมายเนื่องจากมีผู้ร้อง ร้องเข้ามา ป.ป.ช.จึงมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
"ใครมีหน้าที่อะไรก้ควรทำหน้าที่ของตัวเองไม่ใช้มาทำเรื่องไม่เหมาะสมเช่นนี้ อย่าลืมว่าตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย เมื่อเห็นใครทำความผิดกฎหมายต้องตรวจสอบไม่ต่างอะไรกับป.ป.ช.ที่เมื่อประชาชนมาร้องทุกข์ก็จะต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงเช่นกันจึงอยากให้หลายฝ่ายเกี่ยวข้องพิจารณาด้วย"พล.ต.อ.ประทินกล่าว

***ป.ป.ช.ไม่หวั่นไหว ตร.ถอดถอน
นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนเหตุการณ์สลายม็อบวันที่ 7 ต.ค.2551 กล่าวว่า เป็นสิทธิของตำรวจที่สามารถยื่นได้ ขึ้นอยู่กับวุฒิสภาจะลงความเห็นว่าอย่างไร แต่ยืนยันว่า การทำหน้าที่ของป.ป.ช.ในคดีนี้ไม่มีการเร่งรัดตามที่ถูกกล่าวหา แต่เห็นว่า เป็นคดีสำคัญ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนจึงนำขึ้นมาพิจารณาก่อน ไม่มีวาระซ่อนเร้น และการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ก็ยังไม่มีการชี้มูลความผิด อย่าไปวิตกอะไรล่วงหน้า คณะกรรมการป.ป.ช.จะไม่ตัดสินคดีจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือยึดกระแสสังคม แต่จะตัดสินตามหลักนิติธรรม และกฎหมาย
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เจ้าของสำนวนในคดีเหตุสลายการชุมนุม 7 ต.ค. กล่าวว่า การประชุมป.ป.ช.ในวันที่ 20 ม.ค.คงไม่มีการหารือเรื่องที่ตำรวจยื่นถอดถอนป.ป.ช.เป็นพิเศษ และส่วนตัวคงไม่ขอออกความเห็นเกี่ยวกับกรณีของตำรวจแล้ว เพราะถือว่าที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ดำเนินการไต่สวนคดีดังกล่าวตามหน้าที่ของกฎหมาย และป.ป.ช. ก็ไม่ได้ทำอย่างรีบเร่งผิดปกติ เนื่องจากการตรวจสอบจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับหลักฐาน ซึ่งในคดีนี้ที่ผ่านมามีประชาชนจำนวนได้ยื่นหลักฐานมาให้ป.ป.ช. จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน
น.ส. สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีการเข้าชื่อถอดถอนว่า ดูแล้วไม่มีเหตุผลสมควร เพราะการทำงานของป.ป.ช.ทำตามหน้าที่ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ ซึ่งกรณีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเหตุการณ์สลายม็อบหน้ารัฐสภา วันที่ 7 ต.ค.2551 ไม่มีการเร่งพิจารณาไต่สวน ส่วนใหญ่ป.ป.ช.จะพิจารณาคดีต่างๆตามลำดับดำเนินการ แต่คดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึกของประชาชน ป.ป.ช.สามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณาก่อนได้
ส่วนที่ฝ่ายตำรวจมองว่าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ของป.ป.ช.เป็นการชี้นำสังคมให้เข้าใจผิดว่า ตำรวจมีส่วนร่วมในการสลายม็อบจนมีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น คงเป็นการเข้าใจผิดของตำรวจ เพราะการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย เมื่อมีการกล่าวหา ก็ต้องตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ไม่ได้หมายความว่า การตั้งคณะอนุกรรมการจะต้องมีความผิด และถูกลงโทษเสมอไป ที่ผ่านมามีหลายคดีที่ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แต่ก็ไม่พบความผิด ยืนยันป.ป.ช.ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะดำเนินการอย่างมีเหตุผล ไม่ได้เร่งรีบ
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการการป.ป..ช. กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ และทางป.ป.ช.ก็พร้อมที่จะให้ทุกฝ่ายตรวจสอบตามกระบวนการอยู่แล้ว เชื่อว่าการถูกยื่นถอดถอนครั้งนี้ไม่ใช่เกมการเมือง หรือการเข้าไปตรวจสอบการทุจริตของป.ป.ช. แต่เป็นความคิดเห็นที่ต่างกัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น