ASTVผู้จัดการรายวัน - นายกฯ ประเดิมออกจอ NBT เล่นบทครูมาร์คสอนนักเรียนเลกเชอร์ เล่าเรื่องเก่า อ้อนขอใช้เงินภาษีไปกระตุ้นเศรษฐกิจสานนโยบายอภิประชานิยม เปรียบไฟกำลังไหม้บ้านอย่าประหยัดน้ำ ลั่นจำเป็นต้องเอาเงินไปใส่มือประชาชน พร้อมสร้างโครงการสาธารณูปโภคและสนับสนุนธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม หากทำสำเร็จ ก.ค.นี้เศรษฐกิจไทยโงหัวแน่นอน อ้อนกลุ่มเพื่อนเนวิน โครงการแหล่งน้ำ-ถนนไร้ฝุ่นให้รองบประมาณรอบใหม่
วานนี้ (18 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นการออกอากาศสดครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 หรือ NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เศรษฐกิจเป็นปัญหา เริ่มตั้งแต่มีวิกฤตทางการเงินในสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบหลายต่อหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย พอต่างประเทศมีปัญหา เขาไม่มีเงิน เราก็ขายสินค้าเขาไม่ได้ สิ่งที่ตามมาคือ เขาเริ่มไม่มีเงินที่จะมาเที่ยวในประเทศไทย เมื่อเป็นเช่นนั้นธุรกิจก็เริ่มที่จะฝืดเคืองในประเทศของเรา ผู้ส่งออกก็พบว่าคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) หายไป โรงแรมที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยว จะเป็นทางธุรกิจ หรือมาท่องเที่ยวทั่วๆ ไปเพื่อความสนุกสนาน ก็พบว่าลูกค้าเริ่มหายไป การส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน นอกจากจะไม่โตแล้ว เทียบกับปีก่อนลดลง ถึง 17% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ เช่นเดียวกันตัวเลขของนักท่องเที่ยว ทำให้ทุกคนมีความวิตกกังวล ขณะเดียวกันเริ่มมีโรงงานต่างๆ เลิกจ้าง ปลดคนงาน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม พอธุรกิจฝืดเคือง คนมีรายได้น้อยลง คนก็ใช้จ่ายน้อยลง ธุรกิจมีความย่ำแย่ขึ้นไปอีก เป็นภาวะที่มีความน่าวิตกกังวล เป็นความเดือดร้อน
ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี ราคาน้ำมันก็ลดลง ผูกโยงกับราคาพืชผล โดยราคาน้ำมันเทียบไปแล้วกับประมาณกลางปีที่แล้ว ลงมาเหลือครึ่งต่อครึ่ง ราคาอาหาร ราคาพืชผลในตลาดโลกก็ลดลง แทบจะเรียกว่าครึ่งต่อครึ่งเช่นเดียวกัน เกษตรกรปลูกข้าว ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพด ยางพาราหรือปาล์ม ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า นี่คือวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงต้องทำงานกันตั้งแต่วันแรก ทำงานอย่างรวดเร็ว หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ก็เรียกประชุม ครม.เป็นครั้งแรกทันที เพื่อที่จะเร่งงานบางอย่างออกมา เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับอาเซียน จะได้เสนอต่อสภาฯ เพื่อเป็นเจ้าภาพได้ในปลายเดือนหน้า
ยังมีเรื่องเกษตรกรข้าวโพดไปจำนำ ข้าวโพด ปรากฏว่าหน่วยงานบอกโควตาเต็มแล้ว ปิดถนนกัน ประท้วงกัน เกิดปัญหามากมาย วันนั้นจำได้ค่ำวันที่ 30 ธ.ค.เลยอนุมัติขยายโควตาในเรื่องของข้าวโพด รวมไปถึงมีปัญหาเรื่องน้ำนมดิบที่ออกมามาก ต้องมีการอนุมัติเป็นการ พิเศษ เอานมมาทำให้เป็นนมถุง และมีการไปแจกในช่วงปีใหม่ พี่น้องประชาชน ที่เดินทางในหลายจังหวัดอาจจะจำได้ มีการแจกนมถุงด้วย ก็ช่วยพี่น้องเกษตรกรด้วย และช่วยเหลือสุขภาพของพี่น้องที่เดินทางไปเที่ยว และคิดว่าในที่สุดก็สามารถแก้ปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง แต่พอเปิดทำการมาวันที่ 5 ม.ค.ตนและทีมเศรษฐกิจ ก็เดินหน้าเลย ไปพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้นโยบายการเงิน การคลังต่างๆ มีความสอดคล้องต้องกัน แล้วก็เริ่มทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ
"แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจนี้คือแผนที่เราจำเป็นจะต้องมีการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เป็นแผนที่จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากที่ได้มีการจัดงบประมาณไปแล้ว และเป็นแผนที่จะต้องมีมาตรการอื่นๆ ที่ออกมาขณะนี้ ครม.ได้อนุมัติกรอบแผน ฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังมีการเสนองบประมาณเป็นกฎหมาย งบประมาณกลางปีเพื่อที่จะให้มีเงินใหม่ ออกมา และเราก็คาดว่าจะเสนองบประมาณกลางปีนี้ได้ปลายเดือน ม.ค. อยากจะเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า จริงๆ แล้ว เราใช้เวลาหรือมีเวลาทำงานเราใช้ 8 วันทำงาน" นายกรัฐมนตรีชี้แจง
***คาดกรกฏาคมเศรษฐกิจดีขึ้น
นายอภิสิทธิกล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือวันนี้เราต้องช่วยกัน เราต้องมองว่าประชากร 65 ล้านคน เป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร ถ้าเราสามารถทำให้เศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนได้ ด้วยการที่จะซื้อของในประเทศ จับจ่ายใช้สอยกันในประเทศ คิดว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจ ถ้าเราสามารถผ่านช่วงที่น่าจะเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดได้ โดยเศรษฐกิจโลกก็ต้องคลี่คลายลงด้วย คาดว่าครึ่งปีหลังของปีนี้ อาจจะประมาณเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน เราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำในภาวะอย่างนี้คือ ช่วยค่าใช้จ่ายที่เป็นความจำเป็นของประชาชน ค่าครองชีพ ในบริการที่มีความจำเป็น ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนไปซื้อของจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น
"พูดง่าย ๆ อยากจะเอาเงินไปใส่มือพี่น้องประชาชนเลย เพื่อที่จะได้สามารถฟันฝ่าตรงนี้และกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอย และต้องมีการสร้างงาน มีการทำโครงการสาธารณูปโภค มีการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมการบริการ รวมทั้งการท่องเที่ยวและจะต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ และดูแลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในระบบธุรกิจ มีการเสริมสภาพคล่อง" นายกฯ กล่าวและว่า รัฐบาลไม่ได้มีเงินของตัวเอง แต่เงินก็คือมาจากประชาชนทั้งนั้น เป็นเงินภาษี รัฐบาลมีหน้าที่ดูว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ มีหลักมีเกณฑ์ไหม ต้องไม่ให้รั่วไหลและต้องดูแลว่าการเงินการคลังของประเทศไม่ได้รับผลกระทบ ไม่เสียวินัย บางช่วงรัฐบาลต้องยอมที่จะขาดทุนหรือขาดดุล เพื่อให้มีกำไรในวันข้างหน้ากลับมาชดเชย แต่ว่ารัฐบาลต้องระวังว่า ไม่ใช้จ่ายเกินตัวตลอดไป
"หลายคนพอฟังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ บอกทำไมให้น้อยไป ทำไมไม่ให้มากกว่านี้ ทำไมไม่ให้หรือไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ด้วย อยากจะเรียนว่า งบประมาณของรัฐบาลมีข้อกำหนดอยู่ว่า ห้ามขาดดุลเกินเท่าไร ห้ามกู้เงินในประเทศเกินเท่าไร อยากจะเรียนว่าที่เราจัดงบประมาณเพิ่มเติม แสนกว่าล้าน ในช่วงกลางปีนี้ ขยับเข้าไปใกล้เพดานตรงนี้แล้ว ผมไม่อยากจะให้เกินเพดาน แต่จะทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกันเวลาเราไปแทรกแซง ในเรื่องของพืชผล เวลาเราไปขอความร่วมมือจากธนาคารของรัฐ จะเป็นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)จะเป็นหน่วยงานอื่นๆ รัฐบาลเข้าไปค้ำประกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ หรือหนี้ของรัฐบาลเหมือนกัน เขาก็จะมีกรอบด้วยว่าหนี้สาธารณะแต่ละปีห้ามเกินเท่าไรเช่นเดียวกัน" นายกฯ กล่าว
สำหรับนโยบายแก้ปัญหา รัฐบาลแบ่ง 3 ส่วนหลักๆ ส่วนที่ 1 คือ เพิ่มรายได้ ส่วนที่ 2 คือ ลดรายจ่าย และส่วนที่ 3 จะมีโครงการที่เป็นลักษณะของการสร้างงานหรือมีการกระจายรายได้ต่อไป โดยกลุ่มที่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มแรกคือเกษตรกร ซึ่งประสบกับปัญหาเรื่องพืชผลราคาตกต่ำ และเป็นกลุ่มคนที่มีความยากจนที่สุด ถัดมาคือกลุ่มท้องถิ่น ชุมชน ชนบท คือพี่น้องคนที่มักจะมีรายได้น้อย และรอความช่วยเหลือ กลุ่มต่อมาคือคนว่างงานหรือมองไปข้างหน้า บรรดานิสิตนักศึกษาที่กำลังจบการศึกษามา ถัดมาจะมีกลุ่มคนทำงาน แต่ไม่ได้อยู่ในระบบ ถัดมาแม้แต่คนมีงานทำแต่เงินเดือนไม่สูง คนเหล่านี้บางทีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ แต่ว่ามีปัญหาเพราะว่ามีความจำเป็น มีภาระเช่นเดียวกัน และรายได้ประจำ ซึ่งส่วนใหญ่คนมีรายได้ประจำแล้ว ทำงานเต็มเวลา ก็ไม่มีเวลาที่จะไปหารายได้ทางอื่น คนเหล่านี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกัน เป็นต้น
***ครูมาร์คฉายภาพแก้ปัญหา
นายกฯ เริ่มจากกลุ่มเกษตรกรโดยระบุว่า รัฐบาลที่แล้วได้มีโครงการแทรกแซงพืชผลอยู่ 3 ตัว คือ ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพด โดยใช้ระบบการจำนำ แล้วได้มีการอนุมัติวงเงินไว้ 1.1 แสนล้านบาท ผ่านธนาคาร ถึงวันนี้เงินใช้เกือบหมดแล้ว แต่ไม่พอ จึงต้องมีการขยายวงเงิน ตนรับรองว่าจะไม่ปล่อยให้การทำโครงการเหล่านี้นำไปสู่ ปัญหาการทุจริต เช่น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและจับการสวมสิทธิ มีการเอาข้าวโพดมาจากต่างประเทศ มาจำนำ มาเอาความช่วยเหลือจากรัฐบาล ส่วนนี้ต้องมีการแก้ไข
สำหรับยางพารากับปาล์ม ซึ่งยังไม่ได้มีการอนุมัติเงิน ตรงนี้ก็จะมีโครงการยางพารา ตั้งใจว่าจะดึงยางพาราจำนวนหนึ่งออกจากตลาด ตนได้มอบหมายให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับประเทศจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยสั่งซื้อยางพาราไว้ล่วงหน้า พอเศรษฐกิจมีปัญหาทำท่าว่าอาจจะไม่ซื้อ
"ขณะนี้ยางพาราราคากระเตื้องขึ้นมา ตอนนี้ 40 กว่าบาทแล้ว อาจจะ 45-46 บาท ในบางพื้นที่ เทียบกับในช่วงปลายปีที่แล้ว อยู่ประมาณ 30 บาท หรือบางพื้นที่ 20 กว่าบาท เท่านั้นเอง ส่วนปาล์มก็เช่นเดียวกันก็จะมีการอนุมัติเงินเพื่อที่จะเข้ามาดูแล และทราบว่าขณะนี้ราคาปาล์มก็ดีขึ้นมา น่าจะเกิน 30 บาทแล้ว อยากจะเรียนว่าคงจะเพิ่มเงินเข้าไป ประมาณการคร่าวๆ ขณะนี้ประมาณ 30,000 ล้านบาท"
นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันในงบประมาณกลางปี จะมีการจัดทำโครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกหน้า เรียนว่าเราคงจะต้องคิดหาวิธีที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นระบบมากขึ้น ได้สั่งการไปแล้วว่าต่อไป 1. เรื่องของภัยธรรมชาติ ควรจะมีระบบประกัน เพราะปัจจุบันที่เราทำงานกันอยู่ รัฐบาลซึ่งอนุมัติเงินช่วยเหลือน้ำท่วมพื้นที่ซึ่งท่วมมาตั้งหลายเดือนแล้ว กว่าจะไปชดเชยอะไรก็ไม่ทันการ และระบบการประกันราคาพืชผลกำลังมีการเร่งศึกษากันอยู่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถมีหลักประกันที่ดีพอสมควร มาตรการนี้มั่นใจว่าจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรฟันฝ่าช่วงที่ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำไปได้
ในส่วนของท้องถิ่นและชุมชน ก่อนหน้านี้มีโครงการเอสเอ็มแอลมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง สิ่งที่อยากจะเรียนคือว่าหมู่บ้านใด ซึ่งเคยได้รับการจัดสรรเงินเอสเอ็มแอลจำนวนเท่าไร ก็จะได้เพิ่มไปอีกเท่าตัว ส่วนหมู่บ้านใดที่ยังไม่ได้อยู่ ก็จะจัดสรรให้เป็น 2 เท่า คือเท่ากันทั้งหมด คือใครเคยได้ก็เติมเข้าไปอีกเท่าหนึ่ง ใครที่ยังไม่ได้เลยก็ได้ทั้ง 2 ส่วนพร้อมกันไปเลย วงเงินตรงนี้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ต้องการที่จะให้นำไปสู่การใช้จ่าย ต้องเป็นการใช้จ่ายที่นำไปสู่ประโยชน์ที่แท้จริงตามแนวทางของกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
ส่วนการเตรียมรับมือกับคนที่จะว่างงานต้องรับมือกับคนว่างงานประมาณสัก 5 แสน คนเป็นอย่างน้อย สิ่งที่เราจะทำคือว่ามีการทำกรรมการขึ้นมาพิเศษ อยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีจะมีเงินอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาท แล้วจะมาช่วยทำหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการว่างงาน เริ่มตั้งแต่การฝึกอบรมคนที่ยังทำงานอยู่ แต่ดูแล้วเริ่มมีความเสี่ยงว่าอาจจะถูกเลิกจ้าง ก็เอาเงินเข้าไปช่วยให้ทางนายจ้าง เขามาช่วยสมทบดูว่าจะฝึกอบรมคนเหล่านี้ไม่ให้ต้องถูกเลิกจ้างได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอันนี้ดีที่สุดคือไม่อยากให้ตกงานเลยตั้งแต่แรก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะต้องมีคนตกงานเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น อีกส่วนหนึ่งก็คือจะมาทำเรื่องของการฝึกอบรม ให้มีทักษะ มีความพร้อม แล้วมีโอกาสมีงานทำต่อไป
"ผมยกตัวอย่าง สำหรับเด็กที่จะจบใหม่ ไม่มีงานทำ เราตั้งใจว่าจะฝึกอบรมในเรื่องของงานธุรการ แล้วส่งไปตามโรงเรียนเลย ส่งไปตามโรงเรียนมีงานทำแน่นอน เพราะอะไรครับ ตอนนี้ครูทั้งประเทศบ่นอยู่ว่าต้องการทำงานเรื่องธุรการ งานเรื่องเอกสาร งานบริหารมากมาย เวลาที่ให้กับลูกหลานเรา เวลาในการสอนหนังสือน้อย นี่ก็ถือว่ายิงนก 2 ตัวเลย คือเราสร้างงานให้กับเด็กที่จบใหม่ และเราก็ลดภาระของครู ตามแนวคิดของผมในเรื่องของการคืนครูให้กับนักเรียน คนที่สนใจชอบเรื่องเทคโนโลยี เรื่องคอมพิวเตอร์นะครับ เด็กจบใหม่อีกจำนวนหนึ่ง ตั้งใจว่าเราจะให้เขามาทำข้อมูลมากมายเลยครับ ทำเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์หรือมาช่วยดูแลเรื่องของอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆมาช่วยทางตำรวจก็ได้ ในการที่จะติดตามตรวจสอบกำกับดูในเรื่องของเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม” นายกฯ ยกตัวอย่าง
***ย้ำจ่าย 2 พันเข้ากระเป๋าเจ๊งสุด
ส่วนคนที่มีเงินเดือนประจำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ซึ่งจริงๆแล้วมีข้อเรียกร้อง มาตลอด สมัยก่อนคือถ้าเป็นข้าราชการก็ขอขึ้นเงินเดือน และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็อยากได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคนในประกันสังคมก็บ่นมาตลอดว่า เวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจฝืดเคือง ถูกหักเงินเดือนไปแล้ว เดือนละหลายร้อยบาท ก็มีความรู้สึกว่ามันคุ้มหรือเปล่ากับที่ถูกหักไป
"ผมก็เรียนว่าจริงๆ ใจผมแน่นอนอยากให้ทุกคนมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่อย่างที่บอกในตอนต้นคือว่า เราไม่ได้มีงบประมาณไม่จำกัดเลย เราจำเป็นที่จะต้องมาดูให้อยู่ในระดับที่เป็นไปได้ ที่มีความเหมาะสม เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำคืออย่างนี้ครับ ไม่ว่าจะอยู่ในประกันสังคม จะเป็นข้าราชการหรือจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเงินเดือนต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท พูดง่ายๆ คือว่าเราจะให้เงินไปเลยคนละ 2 พันบาท เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ผมเรียนว่าหลายประเทศทำรูปแบบนี้ในขณะนี้ครับ เพราะว่าเทียบเคียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้ว วิธีนี้เร็วที่สุด"นายกฯ กล่าว
ทางด้าน ผู้สูงอายุนายกฯ กล่าวว่า เดิมมีเบี้ยยังชีพ 500 บาท น้อยมาก ครั้งนี้เราตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปนี้ใครอายุเกิน 60 ปี ควรที่จะมีสิทธิ เพราะฉะนั้น เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ ซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี ยกเว้นคนที่มีหลักประกันอยู่แล้ว คือมีบำเหน็จบำนาญจากราชการอย่างนี้ ถ้าไม่มีหลักประกันตรงนี้ใครมาขึ้นทะเบียนได้ทุกคน 500 บาทต่อเดือน
ส่วนเด็กนักเรียนและลูกหลานของเรา นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่บอกเป็นภาระทุกครั้งเดือนพ.ค. นโยบายเรียนฟรี ความจริงเป็นสิ่งที่กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เปิดเทอมหน้า รับรองได้ว่านโยบายเรียนฟรีเกิดขึ้น 15 ปีคืออนุบาล-ม.ปลาย มีการไปดูสำรวจว่าจะต้องชดเชยเงินให้โรงเรียนเท่าไรที่จะไม่มาเก็บค่าใช้จ่าย แล้วจะสนับสนุนทั้งในเรื่องของอุปกรณ์การเรียน ทั้งในเรื่องของเครื่องแบบ ทั้งในเรื่องของตำรา ซึ่งตรงนี้จะช่วยทำบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง และเป็นการยืนยันสิทธิของเด็กที่เป็นลูกหลานของเรา
***โวช่วยภาคธุรกิจอังคารยิ่งชัด
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นายกฯ กล่าวย้ำว่า กำลังประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ธปท.ขณะนี้ก็ลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างที่จะมาก และขณะเดียวกันได้มอบให้กระทรวงการคลังช่วยดูในเรื่องของการค้ำประกันสินเชื่อให้ ทั้งผู้ส่งออกทั้งเอสเอ็มอี เหตุผลคือตอนนี้มีเงินในระบบ ดอกเบี้ยก็ต่ำ แต่ปัญหาคือธนาคาร สถาบันการเงิน ไม่ค่อยกล้าปล่อยกู้ ทางแก้คือว่าเราจะต้องเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องความเสี่ยง ก็จะทำเรื่องกลไกการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับกลุ่มนี้
ส่วนการท่องเที่ยว นอกจากงบประมาณที่มีอยู่ในงบประมาณกลางปีที่เราจัดสรรแล้ว มาตรการที่จะช่วยเหลือในการสร้างความเชื่อมั่นหรือลดภาระของนักท่องเที่ยว เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมเรื่องวีซ่า การลดค่าธรรมเนียมในการมาจอดเครื่องบิน อะไรต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่คาดว่าวันอังคารนี้จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการในเรื่องของการลดภาระค่าครองชีพ ตนขอเรียนว่ารัฐบาลชุดนี้ก็จะเดินหน้าต่อ สิ่งที่เราจะเดินหน้าต่อในส่วนนี้จะมีในเรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ เพียงแต่ขอปรับเกณฑ์นิดหน่อย เพราะว่าไปตรวจสอบตัวเลขแล้ว เรียนตรงๆ คือว่ามาตรการช่วยเหลือเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ 6 เดือนก่อนหน้านี้ เป็นภาระกับรัฐบาลค่อนมากข้าง และดูแล้วก็คือว่าไปช่วยเหลือคนบางกลุ่ม ซึ่งความจริงน่าจะช่วยตัวเองได้ คือใช้น้ำใช้ไฟมากพอสมควร แต่บังเอิญไปตั้งเกณฑ์ไว้สูง อาจจะปรับเกณฑ์ลดลงมาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการประหยัดในเรื่องการใช้น้ำใช้ไฟ แต่ถ้ายังอยู่ในเกณฑ์ตรงนี้ก็จะได้ฟรีต่อไป รถเมล์ รถไฟ ฟรี ที่เคยทำไว้ก็ทำต่อ หรือเรื่องแก๊สหุงต้ม ได้ยืนยันเป็นมติไปแล้วว่าขณะนี้จะตรึงราคาไม่ให้ขึ้น
***เปรียบดับไฟอย่าเสียดายน้ำ
"เป็นมาตรการที่อยากจะเรียนว่าเราทำให้กับคนทั้งประเทศ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจฟันฝ่าความยากลำบากไปได้ ผมทราบดีว่าบรรดาผู้ที่ติดตามเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ก็เรียนว่าผมเคารพความคิดเห็นทุกความคิดเห็น แต่ว่าได้คิดอย่างค่อนข้างรอบคอบชัดเจนว่า มาตรการทั้งหมดกำลังจะไปถึงประชาชนทุกกลุ่มจริงๆ แล้ววันนี้เป็นภาวะไม่ปกติครับ ที่บางคนบอกว่าลด แลก แจก แถม มากเกินไปหรือเปล่า ที่บางคนบอกว่าทำไมจะให้เงินกันอย่าง 2,000 บาทให้กันดื้อ ๆ อย่างนี้เลยเหรอ ผมก็ต้องบอกครับ มันเหมือนกับตอนนี้เราอยู่ในบ้าน ไฟกำลังไหม้เข้ามา เสียดายน้ำไม่ได้นะครับตอนนี้ ยังไงต้องดับไฟให้ได้ก่อน แล้วก็เดินหน้าไป อย่างที่เราตั้งใจจะทำ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
***โครงการเพื่อนเนวินรอเฟส 2
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงโครงการของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ด้วยว่า หลายโครงการที่รัฐบาลอยากทำมากแต่ทำได้น้อย คือ โครงการแหล่งน้ำ โครงการถนนไร้ฝุ่น ซึ่ามีในงบประมาณครั้งล่าสุดน้อยเพราะไม่สามารถทำมากกว่านี้
นายกรัฐมนตรีอ้างว่า เมื่อประเมินดูแล้วพบว่าโครงการเหล่านี้เวลาจะทำ ถ้าเราทำพร้อมๆ กันมากๆ เอาเข้าจริงๆ กว่าจะไปประมูล จัดซื้อจัดจ้าง กว่าจะมีการจ้างงานจริง จ่ายเงินออกไปจริง ไม่ทันการ ตอนนี้เราต้องผ่านครึ่งปีแรก อย่างที่บอกสถานการณ์จะหนักที่สุดไปให้ได้ ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้
"แน่นอนหลังจากนั้นพอเราเข้าสู่งบประมาณประจำปีซึ่งจะต้องทำ เริ่มต้นเดือนตุลาคมที่จะใช้จ่าย เราก็จะหันมาดูในส่วนอื่นๆ เราคิดเป็นขั้นเป็นตอนไว้คือว่า มาตรการระยะสั้น เรากระตุ้นการใช้จ่าย เราบรรเทาผลกระทบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรายังไม่ได้คิดระยะกลาง ระยะยาว ไม่ใช่เราคิดไว้แล้วครับ แต่มาตรการเหล่านี้จะค่อย ๆ ทยอยออกมา เพราะฉะนั้น จะมีเรื่องของกระตุ้นการลงทุน จะต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โครงการขนาดใหญ่ก็เดินต่อนะครับ พวกรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ แหล่งน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทั่วประเทศ อย่างนี้ก็เดินต่อ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
วานนี้ (18 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นการออกอากาศสดครั้งแรกทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 หรือ NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เศรษฐกิจเป็นปัญหา เริ่มตั้งแต่มีวิกฤตทางการเงินในสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบหลายต่อหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย พอต่างประเทศมีปัญหา เขาไม่มีเงิน เราก็ขายสินค้าเขาไม่ได้ สิ่งที่ตามมาคือ เขาเริ่มไม่มีเงินที่จะมาเที่ยวในประเทศไทย เมื่อเป็นเช่นนั้นธุรกิจก็เริ่มที่จะฝืดเคืองในประเทศของเรา ผู้ส่งออกก็พบว่าคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) หายไป โรงแรมที่เคยต้อนรับนักท่องเที่ยว จะเป็นทางธุรกิจ หรือมาท่องเที่ยวทั่วๆ ไปเพื่อความสนุกสนาน ก็พบว่าลูกค้าเริ่มหายไป การส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน นอกจากจะไม่โตแล้ว เทียบกับปีก่อนลดลง ถึง 17% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ เช่นเดียวกันตัวเลขของนักท่องเที่ยว ทำให้ทุกคนมีความวิตกกังวล ขณะเดียวกันเริ่มมีโรงงานต่างๆ เลิกจ้าง ปลดคนงาน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม พอธุรกิจฝืดเคือง คนมีรายได้น้อยลง คนก็ใช้จ่ายน้อยลง ธุรกิจมีความย่ำแย่ขึ้นไปอีก เป็นภาวะที่มีความน่าวิตกกังวล เป็นความเดือดร้อน
ขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี ราคาน้ำมันก็ลดลง ผูกโยงกับราคาพืชผล โดยราคาน้ำมันเทียบไปแล้วกับประมาณกลางปีที่แล้ว ลงมาเหลือครึ่งต่อครึ่ง ราคาอาหาร ราคาพืชผลในตลาดโลกก็ลดลง แทบจะเรียกว่าครึ่งต่อครึ่งเช่นเดียวกัน เกษตรกรปลูกข้าว ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพด ยางพาราหรือปาล์ม ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า นี่คือวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงต้องทำงานกันตั้งแต่วันแรก ทำงานอย่างรวดเร็ว หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ก็เรียกประชุม ครม.เป็นครั้งแรกทันที เพื่อที่จะเร่งงานบางอย่างออกมา เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับอาเซียน จะได้เสนอต่อสภาฯ เพื่อเป็นเจ้าภาพได้ในปลายเดือนหน้า
ยังมีเรื่องเกษตรกรข้าวโพดไปจำนำ ข้าวโพด ปรากฏว่าหน่วยงานบอกโควตาเต็มแล้ว ปิดถนนกัน ประท้วงกัน เกิดปัญหามากมาย วันนั้นจำได้ค่ำวันที่ 30 ธ.ค.เลยอนุมัติขยายโควตาในเรื่องของข้าวโพด รวมไปถึงมีปัญหาเรื่องน้ำนมดิบที่ออกมามาก ต้องมีการอนุมัติเป็นการ พิเศษ เอานมมาทำให้เป็นนมถุง และมีการไปแจกในช่วงปีใหม่ พี่น้องประชาชน ที่เดินทางในหลายจังหวัดอาจจะจำได้ มีการแจกนมถุงด้วย ก็ช่วยพี่น้องเกษตรกรด้วย และช่วยเหลือสุขภาพของพี่น้องที่เดินทางไปเที่ยว และคิดว่าในที่สุดก็สามารถแก้ปัญหาไปได้ระดับหนึ่ง แต่พอเปิดทำการมาวันที่ 5 ม.ค.ตนและทีมเศรษฐกิจ ก็เดินหน้าเลย ไปพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้นโยบายการเงิน การคลังต่างๆ มีความสอดคล้องต้องกัน แล้วก็เริ่มทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ
"แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจนี้คือแผนที่เราจำเป็นจะต้องมีการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เป็นแผนที่จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจากที่ได้มีการจัดงบประมาณไปแล้ว และเป็นแผนที่จะต้องมีมาตรการอื่นๆ ที่ออกมาขณะนี้ ครม.ได้อนุมัติกรอบแผน ฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังมีการเสนองบประมาณเป็นกฎหมาย งบประมาณกลางปีเพื่อที่จะให้มีเงินใหม่ ออกมา และเราก็คาดว่าจะเสนองบประมาณกลางปีนี้ได้ปลายเดือน ม.ค. อยากจะเรียนกับพี่น้องประชาชนว่า จริงๆ แล้ว เราใช้เวลาหรือมีเวลาทำงานเราใช้ 8 วันทำงาน" นายกรัฐมนตรีชี้แจง
***คาดกรกฏาคมเศรษฐกิจดีขึ้น
นายอภิสิทธิกล่าวว่า ข้อเท็จจริงคือวันนี้เราต้องช่วยกัน เราต้องมองว่าประชากร 65 ล้านคน เป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร ถ้าเราสามารถทำให้เศรษฐกิจในประเทศหมุนเวียนได้ ด้วยการที่จะซื้อของในประเทศ จับจ่ายใช้สอยกันในประเทศ คิดว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจ ถ้าเราสามารถผ่านช่วงที่น่าจะเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดได้ โดยเศรษฐกิจโลกก็ต้องคลี่คลายลงด้วย คาดว่าครึ่งปีหลังของปีนี้ อาจจะประมาณเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน เราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้ สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำในภาวะอย่างนี้คือ ช่วยค่าใช้จ่ายที่เป็นความจำเป็นของประชาชน ค่าครองชีพ ในบริการที่มีความจำเป็น ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนไปซื้อของจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น
"พูดง่าย ๆ อยากจะเอาเงินไปใส่มือพี่น้องประชาชนเลย เพื่อที่จะได้สามารถฟันฝ่าตรงนี้และกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอย และต้องมีการสร้างงาน มีการทำโครงการสาธารณูปโภค มีการสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมการบริการ รวมทั้งการท่องเที่ยวและจะต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ และดูแลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในระบบธุรกิจ มีการเสริมสภาพคล่อง" นายกฯ กล่าวและว่า รัฐบาลไม่ได้มีเงินของตัวเอง แต่เงินก็คือมาจากประชาชนทั้งนั้น เป็นเงินภาษี รัฐบาลมีหน้าที่ดูว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ มีหลักมีเกณฑ์ไหม ต้องไม่ให้รั่วไหลและต้องดูแลว่าการเงินการคลังของประเทศไม่ได้รับผลกระทบ ไม่เสียวินัย บางช่วงรัฐบาลต้องยอมที่จะขาดทุนหรือขาดดุล เพื่อให้มีกำไรในวันข้างหน้ากลับมาชดเชย แต่ว่ารัฐบาลต้องระวังว่า ไม่ใช้จ่ายเกินตัวตลอดไป
"หลายคนพอฟังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ บอกทำไมให้น้อยไป ทำไมไม่ให้มากกว่านี้ ทำไมไม่ให้หรือไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ด้วย อยากจะเรียนว่า งบประมาณของรัฐบาลมีข้อกำหนดอยู่ว่า ห้ามขาดดุลเกินเท่าไร ห้ามกู้เงินในประเทศเกินเท่าไร อยากจะเรียนว่าที่เราจัดงบประมาณเพิ่มเติม แสนกว่าล้าน ในช่วงกลางปีนี้ ขยับเข้าไปใกล้เพดานตรงนี้แล้ว ผมไม่อยากจะให้เกินเพดาน แต่จะทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกันเวลาเราไปแทรกแซง ในเรื่องของพืชผล เวลาเราไปขอความร่วมมือจากธนาคารของรัฐ จะเป็นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)จะเป็นหน่วยงานอื่นๆ รัฐบาลเข้าไปค้ำประกัน ตรงนี้ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ หรือหนี้ของรัฐบาลเหมือนกัน เขาก็จะมีกรอบด้วยว่าหนี้สาธารณะแต่ละปีห้ามเกินเท่าไรเช่นเดียวกัน" นายกฯ กล่าว
สำหรับนโยบายแก้ปัญหา รัฐบาลแบ่ง 3 ส่วนหลักๆ ส่วนที่ 1 คือ เพิ่มรายได้ ส่วนที่ 2 คือ ลดรายจ่าย และส่วนที่ 3 จะมีโครงการที่เป็นลักษณะของการสร้างงานหรือมีการกระจายรายได้ต่อไป โดยกลุ่มที่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มแรกคือเกษตรกร ซึ่งประสบกับปัญหาเรื่องพืชผลราคาตกต่ำ และเป็นกลุ่มคนที่มีความยากจนที่สุด ถัดมาคือกลุ่มท้องถิ่น ชุมชน ชนบท คือพี่น้องคนที่มักจะมีรายได้น้อย และรอความช่วยเหลือ กลุ่มต่อมาคือคนว่างงานหรือมองไปข้างหน้า บรรดานิสิตนักศึกษาที่กำลังจบการศึกษามา ถัดมาจะมีกลุ่มคนทำงาน แต่ไม่ได้อยู่ในระบบ ถัดมาแม้แต่คนมีงานทำแต่เงินเดือนไม่สูง คนเหล่านี้บางทีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ แต่ว่ามีปัญหาเพราะว่ามีความจำเป็น มีภาระเช่นเดียวกัน และรายได้ประจำ ซึ่งส่วนใหญ่คนมีรายได้ประจำแล้ว ทำงานเต็มเวลา ก็ไม่มีเวลาที่จะไปหารายได้ทางอื่น คนเหล่านี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกัน เป็นต้น
***ครูมาร์คฉายภาพแก้ปัญหา
นายกฯ เริ่มจากกลุ่มเกษตรกรโดยระบุว่า รัฐบาลที่แล้วได้มีโครงการแทรกแซงพืชผลอยู่ 3 ตัว คือ ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพด โดยใช้ระบบการจำนำ แล้วได้มีการอนุมัติวงเงินไว้ 1.1 แสนล้านบาท ผ่านธนาคาร ถึงวันนี้เงินใช้เกือบหมดแล้ว แต่ไม่พอ จึงต้องมีการขยายวงเงิน ตนรับรองว่าจะไม่ปล่อยให้การทำโครงการเหล่านี้นำไปสู่ ปัญหาการทุจริต เช่น ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและจับการสวมสิทธิ มีการเอาข้าวโพดมาจากต่างประเทศ มาจำนำ มาเอาความช่วยเหลือจากรัฐบาล ส่วนนี้ต้องมีการแก้ไข
สำหรับยางพารากับปาล์ม ซึ่งยังไม่ได้มีการอนุมัติเงิน ตรงนี้ก็จะมีโครงการยางพารา ตั้งใจว่าจะดึงยางพาราจำนวนหนึ่งออกจากตลาด ตนได้มอบหมายให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับประเทศจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยสั่งซื้อยางพาราไว้ล่วงหน้า พอเศรษฐกิจมีปัญหาทำท่าว่าอาจจะไม่ซื้อ
"ขณะนี้ยางพาราราคากระเตื้องขึ้นมา ตอนนี้ 40 กว่าบาทแล้ว อาจจะ 45-46 บาท ในบางพื้นที่ เทียบกับในช่วงปลายปีที่แล้ว อยู่ประมาณ 30 บาท หรือบางพื้นที่ 20 กว่าบาท เท่านั้นเอง ส่วนปาล์มก็เช่นเดียวกันก็จะมีการอนุมัติเงินเพื่อที่จะเข้ามาดูแล และทราบว่าขณะนี้ราคาปาล์มก็ดีขึ้นมา น่าจะเกิน 30 บาทแล้ว อยากจะเรียนว่าคงจะเพิ่มเงินเข้าไป ประมาณการคร่าวๆ ขณะนี้ประมาณ 30,000 ล้านบาท"
นายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันในงบประมาณกลางปี จะมีการจัดทำโครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป สำหรับฤดูกาลเพาะปลูกหน้า เรียนว่าเราคงจะต้องคิดหาวิธีที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นระบบมากขึ้น ได้สั่งการไปแล้วว่าต่อไป 1. เรื่องของภัยธรรมชาติ ควรจะมีระบบประกัน เพราะปัจจุบันที่เราทำงานกันอยู่ รัฐบาลซึ่งอนุมัติเงินช่วยเหลือน้ำท่วมพื้นที่ซึ่งท่วมมาตั้งหลายเดือนแล้ว กว่าจะไปชดเชยอะไรก็ไม่ทันการ และระบบการประกันราคาพืชผลกำลังมีการเร่งศึกษากันอยู่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้พี่น้องเกษตรกรสามารถมีหลักประกันที่ดีพอสมควร มาตรการนี้มั่นใจว่าจะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรฟันฝ่าช่วงที่ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำไปได้
ในส่วนของท้องถิ่นและชุมชน ก่อนหน้านี้มีโครงการเอสเอ็มแอลมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง สิ่งที่อยากจะเรียนคือว่าหมู่บ้านใด ซึ่งเคยได้รับการจัดสรรเงินเอสเอ็มแอลจำนวนเท่าไร ก็จะได้เพิ่มไปอีกเท่าตัว ส่วนหมู่บ้านใดที่ยังไม่ได้อยู่ ก็จะจัดสรรให้เป็น 2 เท่า คือเท่ากันทั้งหมด คือใครเคยได้ก็เติมเข้าไปอีกเท่าหนึ่ง ใครที่ยังไม่ได้เลยก็ได้ทั้ง 2 ส่วนพร้อมกันไปเลย วงเงินตรงนี้เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ต้องการที่จะให้นำไปสู่การใช้จ่าย ต้องเป็นการใช้จ่ายที่นำไปสู่ประโยชน์ที่แท้จริงตามแนวทางของกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
ส่วนการเตรียมรับมือกับคนที่จะว่างงานต้องรับมือกับคนว่างงานประมาณสัก 5 แสน คนเป็นอย่างน้อย สิ่งที่เราจะทำคือว่ามีการทำกรรมการขึ้นมาพิเศษ อยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีจะมีเงินอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาท แล้วจะมาช่วยทำหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการว่างงาน เริ่มตั้งแต่การฝึกอบรมคนที่ยังทำงานอยู่ แต่ดูแล้วเริ่มมีความเสี่ยงว่าอาจจะถูกเลิกจ้าง ก็เอาเงินเข้าไปช่วยให้ทางนายจ้าง เขามาช่วยสมทบดูว่าจะฝึกอบรมคนเหล่านี้ไม่ให้ต้องถูกเลิกจ้างได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอันนี้ดีที่สุดคือไม่อยากให้ตกงานเลยตั้งแต่แรก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะต้องมีคนตกงานเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น อีกส่วนหนึ่งก็คือจะมาทำเรื่องของการฝึกอบรม ให้มีทักษะ มีความพร้อม แล้วมีโอกาสมีงานทำต่อไป
"ผมยกตัวอย่าง สำหรับเด็กที่จะจบใหม่ ไม่มีงานทำ เราตั้งใจว่าจะฝึกอบรมในเรื่องของงานธุรการ แล้วส่งไปตามโรงเรียนเลย ส่งไปตามโรงเรียนมีงานทำแน่นอน เพราะอะไรครับ ตอนนี้ครูทั้งประเทศบ่นอยู่ว่าต้องการทำงานเรื่องธุรการ งานเรื่องเอกสาร งานบริหารมากมาย เวลาที่ให้กับลูกหลานเรา เวลาในการสอนหนังสือน้อย นี่ก็ถือว่ายิงนก 2 ตัวเลย คือเราสร้างงานให้กับเด็กที่จบใหม่ และเราก็ลดภาระของครู ตามแนวคิดของผมในเรื่องของการคืนครูให้กับนักเรียน คนที่สนใจชอบเรื่องเทคโนโลยี เรื่องคอมพิวเตอร์นะครับ เด็กจบใหม่อีกจำนวนหนึ่ง ตั้งใจว่าเราจะให้เขามาทำข้อมูลมากมายเลยครับ ทำเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์หรือมาช่วยดูแลเรื่องของอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆมาช่วยทางตำรวจก็ได้ ในการที่จะติดตามตรวจสอบกำกับดูในเรื่องของเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม” นายกฯ ยกตัวอย่าง
***ย้ำจ่าย 2 พันเข้ากระเป๋าเจ๊งสุด
ส่วนคนที่มีเงินเดือนประจำ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ซึ่งจริงๆแล้วมีข้อเรียกร้อง มาตลอด สมัยก่อนคือถ้าเป็นข้าราชการก็ขอขึ้นเงินเดือน และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็อยากได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันคนในประกันสังคมก็บ่นมาตลอดว่า เวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี เศรษฐกิจฝืดเคือง ถูกหักเงินเดือนไปแล้ว เดือนละหลายร้อยบาท ก็มีความรู้สึกว่ามันคุ้มหรือเปล่ากับที่ถูกหักไป
"ผมก็เรียนว่าจริงๆ ใจผมแน่นอนอยากให้ทุกคนมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่อย่างที่บอกในตอนต้นคือว่า เราไม่ได้มีงบประมาณไม่จำกัดเลย เราจำเป็นที่จะต้องมาดูให้อยู่ในระดับที่เป็นไปได้ ที่มีความเหมาะสม เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำคืออย่างนี้ครับ ไม่ว่าจะอยู่ในประกันสังคม จะเป็นข้าราชการหรือจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าเงินเดือนต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาท พูดง่ายๆ คือว่าเราจะให้เงินไปเลยคนละ 2 พันบาท เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ผมเรียนว่าหลายประเทศทำรูปแบบนี้ในขณะนี้ครับ เพราะว่าเทียบเคียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้ว วิธีนี้เร็วที่สุด"นายกฯ กล่าว
ทางด้าน ผู้สูงอายุนายกฯ กล่าวว่า เดิมมีเบี้ยยังชีพ 500 บาท น้อยมาก ครั้งนี้เราตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปนี้ใครอายุเกิน 60 ปี ควรที่จะมีสิทธิ เพราะฉะนั้น เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ ซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี ยกเว้นคนที่มีหลักประกันอยู่แล้ว คือมีบำเหน็จบำนาญจากราชการอย่างนี้ ถ้าไม่มีหลักประกันตรงนี้ใครมาขึ้นทะเบียนได้ทุกคน 500 บาทต่อเดือน
ส่วนเด็กนักเรียนและลูกหลานของเรา นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่บอกเป็นภาระทุกครั้งเดือนพ.ค. นโยบายเรียนฟรี ความจริงเป็นสิ่งที่กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เปิดเทอมหน้า รับรองได้ว่านโยบายเรียนฟรีเกิดขึ้น 15 ปีคืออนุบาล-ม.ปลาย มีการไปดูสำรวจว่าจะต้องชดเชยเงินให้โรงเรียนเท่าไรที่จะไม่มาเก็บค่าใช้จ่าย แล้วจะสนับสนุนทั้งในเรื่องของอุปกรณ์การเรียน ทั้งในเรื่องของเครื่องแบบ ทั้งในเรื่องของตำรา ซึ่งตรงนี้จะช่วยทำบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง และเป็นการยืนยันสิทธิของเด็กที่เป็นลูกหลานของเรา
***โวช่วยภาคธุรกิจอังคารยิ่งชัด
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นายกฯ กล่าวย้ำว่า กำลังประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ธปท.ขณะนี้ก็ลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างที่จะมาก และขณะเดียวกันได้มอบให้กระทรวงการคลังช่วยดูในเรื่องของการค้ำประกันสินเชื่อให้ ทั้งผู้ส่งออกทั้งเอสเอ็มอี เหตุผลคือตอนนี้มีเงินในระบบ ดอกเบี้ยก็ต่ำ แต่ปัญหาคือธนาคาร สถาบันการเงิน ไม่ค่อยกล้าปล่อยกู้ ทางแก้คือว่าเราจะต้องเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องความเสี่ยง ก็จะทำเรื่องกลไกการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับกลุ่มนี้
ส่วนการท่องเที่ยว นอกจากงบประมาณที่มีอยู่ในงบประมาณกลางปีที่เราจัดสรรแล้ว มาตรการที่จะช่วยเหลือในการสร้างความเชื่อมั่นหรือลดภาระของนักท่องเที่ยว เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมเรื่องวีซ่า การลดค่าธรรมเนียมในการมาจอดเครื่องบิน อะไรต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่คาดว่าวันอังคารนี้จะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการในเรื่องของการลดภาระค่าครองชีพ ตนขอเรียนว่ารัฐบาลชุดนี้ก็จะเดินหน้าต่อ สิ่งที่เราจะเดินหน้าต่อในส่วนนี้จะมีในเรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ เพียงแต่ขอปรับเกณฑ์นิดหน่อย เพราะว่าไปตรวจสอบตัวเลขแล้ว เรียนตรงๆ คือว่ามาตรการช่วยเหลือเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ 6 เดือนก่อนหน้านี้ เป็นภาระกับรัฐบาลค่อนมากข้าง และดูแล้วก็คือว่าไปช่วยเหลือคนบางกลุ่ม ซึ่งความจริงน่าจะช่วยตัวเองได้ คือใช้น้ำใช้ไฟมากพอสมควร แต่บังเอิญไปตั้งเกณฑ์ไว้สูง อาจจะปรับเกณฑ์ลดลงมาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการประหยัดในเรื่องการใช้น้ำใช้ไฟ แต่ถ้ายังอยู่ในเกณฑ์ตรงนี้ก็จะได้ฟรีต่อไป รถเมล์ รถไฟ ฟรี ที่เคยทำไว้ก็ทำต่อ หรือเรื่องแก๊สหุงต้ม ได้ยืนยันเป็นมติไปแล้วว่าขณะนี้จะตรึงราคาไม่ให้ขึ้น
***เปรียบดับไฟอย่าเสียดายน้ำ
"เป็นมาตรการที่อยากจะเรียนว่าเราทำให้กับคนทั้งประเทศ เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจฟันฝ่าความยากลำบากไปได้ ผมทราบดีว่าบรรดาผู้ที่ติดตามเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ก็เรียนว่าผมเคารพความคิดเห็นทุกความคิดเห็น แต่ว่าได้คิดอย่างค่อนข้างรอบคอบชัดเจนว่า มาตรการทั้งหมดกำลังจะไปถึงประชาชนทุกกลุ่มจริงๆ แล้ววันนี้เป็นภาวะไม่ปกติครับ ที่บางคนบอกว่าลด แลก แจก แถม มากเกินไปหรือเปล่า ที่บางคนบอกว่าทำไมจะให้เงินกันอย่าง 2,000 บาทให้กันดื้อ ๆ อย่างนี้เลยเหรอ ผมก็ต้องบอกครับ มันเหมือนกับตอนนี้เราอยู่ในบ้าน ไฟกำลังไหม้เข้ามา เสียดายน้ำไม่ได้นะครับตอนนี้ ยังไงต้องดับไฟให้ได้ก่อน แล้วก็เดินหน้าไป อย่างที่เราตั้งใจจะทำ" นายอภิสิทธิ์กล่าว
***โครงการเพื่อนเนวินรอเฟส 2
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงโครงการของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ด้วยว่า หลายโครงการที่รัฐบาลอยากทำมากแต่ทำได้น้อย คือ โครงการแหล่งน้ำ โครงการถนนไร้ฝุ่น ซึ่ามีในงบประมาณครั้งล่าสุดน้อยเพราะไม่สามารถทำมากกว่านี้
นายกรัฐมนตรีอ้างว่า เมื่อประเมินดูแล้วพบว่าโครงการเหล่านี้เวลาจะทำ ถ้าเราทำพร้อมๆ กันมากๆ เอาเข้าจริงๆ กว่าจะไปประมูล จัดซื้อจัดจ้าง กว่าจะมีการจ้างงานจริง จ่ายเงินออกไปจริง ไม่ทันการ ตอนนี้เราต้องผ่านครึ่งปีแรก อย่างที่บอกสถานการณ์จะหนักที่สุดไปให้ได้ ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้
"แน่นอนหลังจากนั้นพอเราเข้าสู่งบประมาณประจำปีซึ่งจะต้องทำ เริ่มต้นเดือนตุลาคมที่จะใช้จ่าย เราก็จะหันมาดูในส่วนอื่นๆ เราคิดเป็นขั้นเป็นตอนไว้คือว่า มาตรการระยะสั้น เรากระตุ้นการใช้จ่าย เราบรรเทาผลกระทบ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรายังไม่ได้คิดระยะกลาง ระยะยาว ไม่ใช่เราคิดไว้แล้วครับ แต่มาตรการเหล่านี้จะค่อย ๆ ทยอยออกมา เพราะฉะนั้น จะมีเรื่องของกระตุ้นการลงทุน จะต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โครงการขนาดใหญ่ก็เดินต่อนะครับ พวกรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ แหล่งน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทั่วประเทศ อย่างนี้ก็เดินต่อ" นายอภิสิทธิ์กล่าว