“เราตื่นขึ้นมาเช้าวันที่ 9 ตุลาคม มันถือเป็นวันแห่งการตัดสินใจ เราเข้าห้องน้ำแล้วรอลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อ และแล้วเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดมันก็เกิดจนได้ แถบสีน้ำเงินสองแถบปรากฏชัดอยู่บนแท่งตรวจครรภ์ ตอนนั้นเรารู้สึกยังไงนะเหรอ เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าจะดีใจหรือเสียใจดี” เสียงบอกเล่าของนิก (นามสมมติ) หญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่กลับต้องมาแบกรับชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาโดยที่เขาเองไม่ตั้งใจ
นั่นคือ อีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาคุณแม่วัยทีนที่นับวันก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เรื่องราวของ “นิก” น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ช่วยสื่อสารให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เนื่องเพราะคุณแม่วัยทีนเหล่านี้กำลังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งการที่ตั้งท้องระหว่างเรียนย่อมเกิดผลกระทบตามมากมาย
นิก เล่าว่า เธอเติบโตมากับครอบครัวที่ถือว่าสมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ น้องชาย พร้อมหน้าพร้อมตา เธอจบมาจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังย่านฝั่งธนฯ ชีวิตรักในวัยเรียนก็มีบ้างแต่ก็เป็นรักแบบเด็กๆ ไม่มีอะไรมาก แต่แล้วชีวิตของเธอก็เริ่มมาพลิกผันเมื่อเธอย่างเข้าสู่การเป็นเด็กมหาวิทยาลัย
“เราเริ่มคบกับบิ๊ว (นามสมมติ) ตั้งแต่อยู่ปี 1 ก็รักๆ เลิกๆ มาได้ประมาณ 3 ครั้ง เพราะแฟนเจ้าชู้ แต่พอเขากลับมาเราก็ให้อภัยทุกครั้งไม่รู้ทำไม อาจเป็นเพราะเรารักเขามากก็เป็นได้ พอเข้าช่วงปี 3 ก็มาเช่าห้องอยู่ด้วยกันแล้วก็โกหกแม่ว่ามาอยู่หอกับเพื่อน เพราะมีเรียนเช้า ช่วงนั้นก็มีความสุขดีเขาก็ทำตัวดีขึ้นชีวิตตัวเองตอนนั้นมีความสุขมาก” นิก เล่า
และแล้วความสุขของนิกก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่า มรสุมลูกใหญ่ในชีวิตกำลังจะพัดโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเธอ
“ตอนที่รู้ว่าท้องก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เรียนก็ยังไม่จบ กลัวแม่ก็กลัว กลัวแฟนไม่รับก็กลัว กลัวทุกอย่างเลย สุดท้ายก็เลยบอกแฟน ตอนนั้นเราคิดว่าเขาต้องบอกให้เอาออกแน่เลย เพราะเรายังเด็กกันทั้งคู่ เราเพิ่ง 19 เค้าก็ 18 ถึงเขาจะทำงานแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรสักอย่างแล้วจะเอาอะไรกิน แต่เปล่าเขาบอกให้เอาไว้ยังไงก็ลูกเรา ยังไงเขาก็อยากมาอยู่กับเราแล้ว อย่าเอาเขาออกเลย มันเป็นคำพูดเพียงคำเดียวที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะเอาเด็กไว้”
5 เดือนผ่านไป นิก ก็ยังไม่ได้ฝากท้องด้วยเหตุผลเดียว คือ ไม่มีเงิน ความกังวลใจเริ่มเข้ามาเกาะกินใจทีละเล็กทีละน้อยว่าจะเป็นอะไรกับลูกในท้องหรือเปล่า เพราะไม่ได้กินยาบำรุงครรภ์เลย แล้วยิ่งเครียดหนักเมื่อแม่เริ่มจับได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แม่เริ่มจับพิรุธได้ตั้งแต่ไม่กลับบ้าน โทร.มาก็ไม่รับ เลยให้เพื่อนที่สนิทโทร.ไปบอกให้ ตอนนั้นเพื่อนอยู่ที่บ้านแฟนด้วย พอเพื่อนคุยกับแม่เสร็จ แม่ก็โทร.เข้ามาหาเราเลย ตอนแรกก็ไม่กล้ารับแต่ที่สุดก็ต้องรับ ก็ยอมรับกับแม่ว่าท้อง แล้วก็บอกความจริงทั้งหมด คุยไปร้องไห้ไป แม่ก็ถามว่าฝากท้องยัง กินยาอะไรหรือเปล่าเพราะช่วงนั้นปวดฟันบ่อยก็เลยกินยาแก้ปวดเข้าไปเยอะ แม่ก็บอกว่าวันพรุ่งนี้จะพาไปฝากท้อง เราร้องไห้ทั้งคืนสำนึกผิดว่าทำไมไม่รักดี ทำตัวเหลวแหลกอย่างนี้ และที่เสียใจที่สุด คือ ทำให้แม่เสียใจ” นิก ย้อนถึงวันวาน
“หลังการอัลตราซาวนด์โชคดีที่ลูกไม่เป็นอะไร แข็งแรงดี และกำหนดคลอดกลางเดือนมิถุนายน ทีนี้ก็มาเริ่มกลุ้มใจอีกเพราะใกล้เปิดเทอมแล้ว จะเรียนต่อยังไงดีเพราะปีสุดท้ายแล้วไม่อยากดร็อป ก็เลยปรึกษาเพื่อนที่มหา’ลัย เพื่อนๆ ดีมากช่วยทุกอย่าง ลงทะเบียนให้ แก้ตัวแทนอาจารย์ให้ ทำงานแทนให้ รู้สึกขอบใจเพื่อนมากเลยตอนนั้น”
ทุกวันนี้ นิกใช้ชีวิตอยู่กับลูกชายและแฟน ด้วยชีวิตที่ไม่ค่อยราบเรียบนัก เพราะต้องเลี้ยงลูกด้วย เรียนด้วย ซึ่งนิกก็ยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น เพราะเลือกทางเดินผิด อย่างไรก็ตาม มีสิ่งเดียวที่คอยเป็นกำลังใจให้นิกต่อสู้มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คือ แม่ของเธอและลูก
“อยากเลี้ยงเขาให้เป็นคนดี ไม่อยากให้เขามีชีวิตที่ลำบากเหมือนเรา ทุกสิ่งที่หามาได้ก็เก็บไว้เพื่อเป็นอนาคตให้เขา อยากให้เขามีชีวิตที่ดี มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่แม่อยากให้เรามีแต่เราก็ทำให้แม่ไม่ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะไม่ทำอย่างนี้ ไม่อยากทำให้แม่เสียใจ แต่ในเมื่อเราพลาดไปแล้ว ก็อยากให้แม่อภัยให้กับลูกเลวๆคนนี้ และก็อยากบอกกับแม่ว่า จะไม่ทำให้แม่เสียใจอีก อยากบอกแม่ว่าหนูรักแม่ และ แม่รักหนูนะลูกแม่”
“สุดท้ายอยากบอก น้องๆ เพื่อนๆ ที่อยู่ในวัยเรียนว่า อย่าเอาเป็นแบบอย่าง เพราะพอมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเราก็ต้องลำบากหนักกว่าเดิมด้วยถ้าเรายังไม่พร้อม ที่สำคัญเราจะทำให้คนที่รักเราเสียใจและผิดหวังด้วยอยากฝากให้ทุกคนคิดก่อนที่จะทำ อย่าทำแล้วมานั่งคิดทีหลังว่าเราทำไปทำไมและเพื่ออะไร” นิก กล่าวทิ้งท้าย
ตัวเลขแม่วัยทีนที่สูงขึ้น คือ เหตุผลหลักที่ทำให้โรงพยาบาลรามาธิบดี เกิดไอเดียจัดตั้งคลินิกวัยรุ่นขึ้นมาเพื่อรับให้คำปรึกษาและให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาของวัยรุ่นกับพ่อแม่ คุณครู หรือตัววัยรุ่นเองในด้านต่างๆ เช่น ปัญหาเรื่องโรคเอดส์ ปัญหาการติดยาเสพติด และปัญหาสำคัญที่กำลังลุกลามขึ้นทุกวันคือปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น
พญ.วราพร พันธุมโกมล หรือหมอหนุ่ย อาจารย์ประจำคลินิกวัยรุ่น รพ.รามาธิบดี ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันนี้ปัญหาของวัยรุ่นที่เกิดขึ้นมานั้นมีเยอะมาก อย่างปัญหาการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น วัยรุ่นที่ว่านี้ คือ เด็กที่อายุตั้งแต่ 12-19 ปี พอเวลาที่เด็กมาโรงพยาบาลเพื่อมาฝากครรภ์ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะให้ไปแผนกผู้ใหญ่เพราะเห็นว่าเขาโตแล้ว แต่เมื่อพอไปตามแผนกที่ว่าอีกฝ่ายก็กลับบอกให้ไปแผนกเด็ก เพราะเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“บางทีปัญหาอย่างนี้ก็จะทำให้เด็กสับสน ไร้ที่พึ่ง เพราะไม่มีที่ไหนรองรับ เขาก็อาจเกิดปัญหาอื่นๆ ตามขึ้นมาอีก ทางโรงพยาบาลเลยจัดตั้งคลินิกวัยรุ่นขึ้นมาเพื่อรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นและให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆ โดยที่ตัวผู้ปกครองเองก็ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในตัวเด็กเองด้วย เพราะจริงๆ แล้วปัญหาไม่ได้เกิดมาจากเด็กฝ่ายเดียวแต่ผู้ใหญ่ต่างหากที่มีส่วนทำให้เด็กมีปัญหา”
พญ.วราพร ให้ข้อมูลต่อว่า ต้นเหตุของปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นส่วนใหญ่มาจากการที่ตัวเด็กไม่ได้รับความรู้เรื่อง เพศศึกษาที่ถูกต้อง เพศศึกษา คือ การสอนให้เด็กรู้บทบาทในเพศของตน แต่สังคมไทยคิดว่าเพศศึกษา คือ การสอนให้คนมีเพศสัมพันธ์กัน การศึกษาในประเทศไทยจึงยังล้าหลังอยู่มาก เพราะยังมีเส้นของวัฒนธรรมมาแทรกกลางอยู่ระหว่างความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม วัยรุ่นในปัจจุบันมีเพศสัมพันธ์กันในอายุที่น้อยลงกว่าสมัยก่อน โดยที่ตัวเด็กบางคนก็ยังไม่รู้จักการป้องกันโรคเอดส์ที่อาจจะเกิดตามมาหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร
“เด็กสมัยใหม่จะสนใจเพศตรงข้ามเร็วขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนไปทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศ รวมถึงสื่อต่างๆ ที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้เด็กเลือกรับสื่อในทางที่ผิด แล้วบางทีเขาไม่รู้จะไปปลดปล่อยอย่างไร จึงทำให้เด็กมีเพศสัมพันธ์กันเร็วขึ้นในอายุที่ยังน้อย โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดโรค ทำอย่างไรไม่ให้พลาดท้องขึ้นมา เพราะทั้งคู่ก็ยังเด็กอาจจะรับผิดชอบไม่ไหวก็ทำให้เกิดปัญหาการทำแท้งตามมาอีก ปัญหามันก็ไม่มีทางจบสิ้น” หมอหนุ่ยให้ภาพ
ทั้งนี้ ทางออกที่ดีที่สุดของการแก้ปัญหาคือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ควรจะใส่ใจดูแลบุตรหลานให้มากขึ้น ควรจะให้คำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่เด็กเข้ามาพูดคุยด้วยเหมือนเพื่อน ตัวเด็กเองก็จะกล้าที่จะพูดในทุกเรื่องที่เขามีปัญหาและจะไม่ไปหาทางออกในทางที่ผิด
“ในตัวของเด็กผู้ชายนั้นหากมีอารมณ์ทางเพศก็อยากแนะนำให้เขาหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือแต่ต้องไม่ใช่หนังสือโป๊นะ อันนั้นจะยิ่งกระตุ้นเข้าไปใหญ่ หากทำแล้วยังลดระดับการกระตุ้นของฮอร์โมนไม่ได้ก็อาจจะใช้วิธีช่วยตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปแต่ อย่าหมกมุ่นกับมันจนมากเกิน หรือถ้าลองแล้วยังไม่ได้ผลยังดับอารมณ์ทางเพศไม่ได้ก็แนะนำให้ทำ SMALL SEX คือเซ็กซ์ภายนอกแบบเล้าโลมซึ่งกันและกัน ตัวเด็กเองก็ไม่ต้องเสียตัวด้วย หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงต้องการมีแบบ BIG SEX คือเซ็กซ์สมบูรณ์แบบก็คงต้องให้เขาป้องกันตัวเองด้วยการใส่ถุงยาง หรือการกินยาคุมเพื่อป้องกันการท้อง”
พญ.วราพร อธิบายต่อว่า เด็กผู้หญิงที่มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เพราะเสี่ยงทั้งโรค เสี่ยงทั้งเรื่องท้องและยังเสี่ยงกับการโดนทิ้งอีก ผู้ปกครองควรพูดคุยและให้คำแนะนำในเรื่องของทักษะการปฏิเสธ การอยู่ด้วยกันในที่ลับตาและมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
“ผู้หญิงจะเสียเปรียบผู้ชายอยู่แล้ว พ่อแม่ยิ่งต้องระวังควรพูดคุยกับลูกเหมือนเพื่อนจะทำให้เขาไว้วางใจเรา อย่าดุด่า เพราะจะยิ่งทำให้เขาเกิดความสับสนและหาทางออกทางอื่นที่มันไม่ควร ทางที่ดีพ่อแม่ต้องแนะนำกับลูกว่า หากเขาอยากจะคบใครก็ให้ลองพามาดูที่บ้านให้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ดีกว่า หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆต้องไปไหนกับผู้ชายสองต่อสอง ต้องมีวิธีการสอนลูกให้ปฏิเสธให้เป็น เช่น ผู้ชายขอมีอะไรด้วยเราก็ชมเขาไว้ก่อนว่าเขาเป็นคนดีนะ เราเชื่อใจเขาไว้รอเรียนจบมีงานทำ แต่งงานแล้วค่อยมีก็ยังไม่สาย ถ้ายังไม่ได้ผลก็ให้ผลัดไปก่อนบอกไปเลยว่ามีประจำเดือนเอาไว้วันหลัง หรือบอกว่ารักเราจริงก็ต้องรอเราได้ ถ้าผู้ชายย้อนกลับมาว่ารักเราจริงก็ต้องให้เราได้เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ก็โบกมือลาทางใครทางมันดีกว่า เพราะผู้ชายที่รักเราจริงเขาย่อมให้เกียรติเรา ” หมอหนุ่ยแนะนำทิ้งท้าย
ทั้งนี้ หากผู้ปกครองท่านไหนสนใจอยากจะปรึกษาปัญหากับหมอหนุ่ย และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆของปัญหาวัยรุ่นก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.teenrama.com หรือสายด่วนฮอตไลน์ 24 ชั่วโมงที่เบอร์ 087-0535500 คลินิกวัยรุ่นเปิดบริการเฉพาะวันศุกร์-เสาร์ 13.00-16.00 น.ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี