สธ.เร่งคุมปัญหาเด็กเกิดน้อย ด้อยคุณภาพ แม่เด็กหญิงมีบุตรไม่พร้อมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดแนวโน้มอีก 10 ปี เด็กเกิดใหม่ลดต่ำเฉลี่ยปีละ 7 แสนราย
วันที่ 15 กรกฎาคม ที่โรงแรมรามากาเด้นส์ นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการแถลงข่าวการประชุมวิชาการอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ครั้งที่ 1 “เกิดน้อย ไม่ด้อยคุณภาพ” เนื่องในวันประชากรโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 11 กรกฎาคม ว่า ปัจจุบันโครงสร้างประชากรของไทยได้เปลี่ยนแปลง จากเดิมอัตราเพิ่มประชากรที่เคยสูงกว่าร้อยละ 3 ต่อปี เมื่อ 40 ปีก่อนได้ลดลงเหลือร้อยละ 0.5 ต่อปี และในขณะนี้อัตราการเกิดได้ลดลงเหลือร้อยละ 1.3 คือจำนวนเด็กเกิดแต่ละปีจากเดิมเกินกว่า 1 ล้านคน เหลือเพียง 8 แสนคน และมีแนวโน้มจะลดต่ำลงไปอีก คาดว่าไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าจะมีเด็กเกิดในประเทศไทยเพียงปีละประมาณ 7 แสนคน
นายมานิต กล่าวต่อว่า อัตราการเพิ่มประชากรที่ลดต่ำลงเป็นผลมาจากภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมหญิงไทยหนึ่งคนมีลูกโดยเฉลี่ยมากกว่า 6 คน ปัจจุบันมีลูกเฉลี่ยเพียง 1.5 คนเท่านั้น แต่ด้านการส่งเสริมคุณภาพประชากร ประเทศไทยกลับต้องเผชิญปัญหาเด็กเกิดน้อย แต่ด้อยคุณภาพ สาเหตุหนึ่งเกิดจากปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงปรารถนาและไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยทำให้แต่ละปีมีการเกิดจากเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ยังไม่พร้อมจะเป็นแม่ประมาณ 2,500 ราย และเกิดจากแม่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ประมาณ 84,000 ราย อีกทั้งปัญหาทารกที่คลอดออกมามีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่า 2,500 กรัมมากกว่า 70,000 รายต่อปี และเป็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วติดเชื้อเอดส์จากแม่ 240 รายต่อปี
“ขณะนี้เด็กเกิดน้อยแต่ด้อยคุณภาพ ดังนั้น จะต้องแก้ไขให้เด็กที่เกิดน้อยอยู่แล้วมีคุณภาพมากขึ้น โดยเริ่มพัฒนาคุณภาพประชากรตั้งแต่แรกเกิด มีการเตรียมความพร้อมพ่อแม่ก่อนการตั้งครรภ์ ไม่ใช่แต่งงานตั้งแต่เป็นเด็กหญิง ไม่ทันได้ใช้นางสาว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นนาง ซึ่งกลุ่มนี้พบว่ามีประมาณ 20% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่ลดลงรวมถึงต้องดูแลครรภ์ขณะคลอดและหลังคลอดทั้งแม่และทารก และการเกิดที่มีคุณภาพจะต้องเป็นผลมาจากการตั้งครรภ์ที่สตรีมีความพร้อมและตั้งใจ ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อลดปัญหาด้านอนามัยการเจริญพันธุ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กไทย ตั้งแต่การให้ความรู้แก่กลุ่มวัยรุ่นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์เพื่อให้การเกิดที่มีคุณภาพ เป็นการตั้งครรภ์ของสตรีที่ตั้งใจ และมีความพร้อม ซึ่งปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงปรารถนาในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ต้องเร่งด่วน” นายมานิตกล่าว
นายมานิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าหญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 5 เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียทั้งชนิดรุนแรงและไม่รุนแรง รวมถึงปัญหาการขาดสารไอโอดีน ที่จะมีผลทำให้ระดับสติปัญญา (IQ) ต่ำ ตลอดจนปัญหาทารกถูกแม่ทอดทิ้งไว้ทั้งที่โรงพยาบาล ผู้รับจ้างเลี้ยงหรือในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ประมาณปีละ 800 ราย ซึ่งปัญหาดังกล่าวล้วนมีผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กไทยทั้งสิ้น
พญ.ศิริพร กัญชนะ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การพัฒนาประชากรกับงานอนามัยการเจริญพันธุ์ นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่เห็นได้ชัดเจน เพราะเมื่อประชากรทุกกลุ่มวัยมีสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี ตั้งแต่ทารกที่เกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรค ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตเป็นวัยเด็กที่มีสุขภาวะที่ดี ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ในช่วงวัยรุ่น ไม่อยู่ในสภาพการตั้งครรภ์การคลอด หรือเสี่ยงต่อการแท้งที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้เป็นประชากรกลุ่มวัยทำงานที่มีคุณภาพ เป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศ
“กลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 10-24 ปี ซึ่งมีประมาณร้อยละ 22 ของประชากรทั้งหมดหรือประมาณ 14 ล้านคน จึงเป็นกลุ่มวัยที่ สธ.ให้ความสำคัญและดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตมาโดยตลอด เพื่อลดปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย การติดเชื้อเอชไอวี การตั้งครรภ์ที่ปรารถนาแต่ขาดวุฒิภาวะในการใช้ชีวิตครอบครัว ความไม่พร้อมทางเศรษฐกิจ ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่ปรารถนา นำไปสู่การทำแท้ง และการแท้งที่ไม่ปลอดภัย เพราะข้อมูลการตั้งครรภ์และคลอดบุตรในแม่อายุต่ำกว่า 20 ปีของประเทศไทยระหว่างปี 2547-2551 พบเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18.33 เป็น ร้อยละ 19.24, 19.66 และ 20.33 ตามลำดับ และคาดว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเขตภาคกลางและภาคใต้ตอนบน พบมีการตั้งครรภ์และคลอดบุตรสูงที่สุดร้อยละ 27” พญ.ศิริพร กล่าว
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แนวทางหนึ่งที่จะส่งเสริมคุณภาพการเกิด ทุกรายในประเทศไทยให้มีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี คือ การดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนางานอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2552-2556) 6 ด้าน คือ 1) การเสริมสร้างครอบครัวใหม่และเด็กรุ่นใหม่ให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ 2) การส่งเสริมให้คนไทยทุกเพศ ทุกวัย มีพฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศที่เหมาะสม 3) การพัฒนาระบบบริการอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ 4) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการงานอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศแบบบูรณาการ 5) การพัฒนากฎหมาย กฎและระเบียบเกี่ยวกับงานอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศ และ 6) การพัฒนาและการจัดการองค์ความรู้และเทคโนโลยีอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศ โดยมีคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติที่ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เป็นแกนหลักในการผลักดันการดำเนินงาน
“นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มาตรา 6 ที่บัญญัติให้ “สุขภาพของหญิงในด้านสุขภาพทางเพศและสุขภาพของระบบเจริญพันธุ์ ซึ่งมีความจำเพาะ ซับซ้อน และมีอิทธิพลต่อสุขภาพหญิงตลอดช่วงชีวิตต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม” ใช้เป็นแนวคิดในการวางทิศทางการสร้างนโยบายที่หลากหลาย เพื่อยกระดับสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศของคนไทยให้ดีขึ้น” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว