เขาว่ากันว่า อากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมประเทศไทย และทั่วโลกเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับโลกของเราเสียแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่า พายุหิมะถล่มลาสเวกัสในรอบ 35 ปี แถมมีหิมะตกหนักในอิหร่าน และอาร์เจนตินามากที่สุดในรอบ 25 ปี คงไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของฤดูหนาวที่เราจะมองผ่านเลยไป
เพราะนี่คือ ผลกระทบที่เห็นได้ด้วยตาเจอด้วยตัวเองจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่นักวิทยาศาสตร์พร่ำเตือนกันมาหลายปีแล้ว โลกของเรากำลังร้อนระอุขึ้นจาก “อุตสาหกรรมหนัก” ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนปกคลุมชั้นบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น กระแสน้ำเย็น – น้ำร้อนสลับสับเปลี่ยนวุ่นวาย และน้ำแข็งขั้วโลกกำลังค่อยๆ ละลายกลายเป็นกองทัพน้ำจำนวนมหึมา
อีกไม่นาน...ที่เขาว่ากันว่า น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว และหิมะจะตกในเมืองไทย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องไกลเกินความจริง
ถึงกระนั้นบ้านเรายามนี้ก็มีฤดูหนาวกับเขาเสียที นึกว่าจะมีแต่ร้อนกับร้อนมาก ดังนั้นอากาศดีๆ อย่างนี้ สมควรแก่สวมเสื้อหนาวตัวสวย เดินยิ้มแต้ แล้วออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านจะดีทีเดียวเชียว โดยเฉพาะการขับรถกินลมชมวิว
อาทิตย์ก่อน “พี่จิ๋ม” อดีตผู้บริหารของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่เกษียณอายุการทำงานก่อนถึงวันอันควร เพื่อมาเป็น “พันธมิตรฯ” ห้อรถเปอโยต์สปอร์ตเปิดประทุนรุ่นล่าสุดมารับถึงหน้าบ้านพระอาทิตย์ เพื่อมาชวนไป “กินลมชมวิว” ที่ชานเมือง
“ชานเมือง” ของพี่จิ๋ม คือ สุพรรณบุรี และจุดหมายแรกของการทัศนาจรของผู้หญิงเนื้อแน่นหนาปึ๊กสองคน คือ การไปเยือนมังกรทองยักษ์ใหญ่มหึมาที่พิพิธภัณฑ์สายเลือดมังกร
คะเนว่าที่นี่น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวคนจีนบนแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะคนจีนในแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเขาลงลึกไปในรายละเอียดของคนจีนในเมืองสุพรรณบุรีแต่ครั้งหอบเสื่อผืน-หมอนใบมาขายกาแฟที่ตลาดท่าเรือ และบางจุดลงรายละเอียดชัดเจนแจ่มแจ๋วเจาะเข้าไปในตำนานของ “มังกรเติ้ง”
มองคร่าวๆ โฉบๆ ก็ได้แต่ร้อง “อ๋อ” เล่นกันอย่างนี้นี่เอง...เล่นไม่ยาก...สูตรเดิมของคนเตี้ยผู้ไม่ยอมปากแห้ง
เวลานี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล นำเอาพิพิธภัณฑ์มังกร แห่งสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขายด้วยแห่งหนึ่ง เห็นโฆษณาโปรโมตกันครึกโครมพอๆ กับสวนน้ำบึงฉวากนั่นเชียว
ไปเมืองสุพรรณแล้วก็ให้แต่นึกอิจฉาคนสุพรรณบุรี ที่มีนักการเมืองรักบ้านรักเมืองตอบแทนบุณคุณถิ่นฐานบ้านเกิด โหมพัฒนาเมืองสุพรรณเสียใหญ่โตสมฐานะ ชมเมืองสุพรรณแล้วชื่นใจ เมืองนี้แสนร่มรื่นงดงาม น้ำไหล ไฟสว่าง ถนนกว้าง ทางโล่ง และหอคอยสวย
ช่างเป็นเมืองที่มีคุณค่าที่คุณคู่ควรสมใจบรรหาร-แจ่มใส เสียจริงๆ เทียว
นอกจากนี้พี่จิ๋มยังพาไปสักการะ “หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์” ด้วย ได้เจอพันธมิตรฯ สุพรรณบุรีเพียบเลย พี่น้องของเรากุลีกุจอมาชักชวนไปเที่ยว “ตลาดสามชุก” ซึ่งเป็นตลาดอนุรักษ์ 100 ปี มีคนมาท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์
ตลาดสามชุกเป็นตำนานการต่อสู้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อก่อนที่นี่เป็นตลาดสดทำมาค้าขายกันคึกคัก ท่าเรือสามชุก เป็นท่าเรือสำคัญของเมืองสุพรรณแห่งหนึ่งด้วย คนแถบนี้จึงล้วนแต่มีฐานะ และส่งลูกหลานเรียนหนังสือสูงๆ ทั้งนั้น
นานๆ เข้ากาลเวลาก็พาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเสื่อมโทรมมาสู่สามชุก เมื่อสามชุกสิ้นมนต์ขลังหมดความนิยมลงไป ผู้คนก็พากันแหนงหน่าย หันไปจับจ่ายใช่สอยในห้างสรรพสินค้า และดีพาร์ตเมนต์สโตร์จากต่างแดนมากขึ้น
ทว่าคนสามชุกเป็นนักสู้ พวกเขารวมตัวกันต่อต้านการบุกรุกของห้างค้าปลีกข้ามชาติที่มาจ่อคอหอยที่ปากทางเข้าตลาดสามชุกอย่างไม่ย่นระย่อท้อ
ในที่สุดเกิดการรวมตัวของพันธมิตรฯ สามชุก มีการตั้งคณะกรรมการจากตัวแทนของผู้คนในชุมชน เพื่อประชุมหารือวางแนวทางแก้ไขสถานการณ์ตลาดสามชุกที่พวกเขาเรียกว่า “เงียบจนหูอื้อ”
สุดท้ายมติของที่ประชุมสั่งลุย คนสามชุกจึงสวมหัวใจนักสู้ ประกาศ “ไอ้เสือเอาวา” รบกับมันทุกรูปแบบไม่นับจำนวนม้วน เอาแค่ “ชนะ” ไม่ชนะไม่เลิกรบ
ในที่สุดพวกเขา สรุปความคิด คือ 1. ปรับตลาดสามชุกให้เป็นตลาดอนุรักษ์วัฒนธรรม 2. ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสื่อด้วยตัวเอง และ 3. ไม่มีวันก้มหัวให้นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองที่อยู่เบื้องหลังห้างค้าปลีกข้ามชาติที่มารุกรานคนสามชุกอีกต่อไป...ลุย
คนสามชุกจึงพร้อมใจกันลุกขึ้นมาขัดสีฉวีวรรณ และปัดฝุ่นบ้านเรือนของตัวเอง จากนั้นก็ป่าวประกาศไปตามสื่อมวลชนต่างๆ เชื้อเชิญให้คนเหล่านั้นมาเยือนตลาดสามชุกยุคปรับปรุงใหม่ ที่เน้นบรรยากาศการย้อนอดีตเรือนโบราณของตลาดริมน้ำ และ อาหารรสมือแม่ ของแท้รสชาติดั้งเดิมแห่งเมืองสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขาย
ไม่นานนักหลังข่าวสารความน่ารักอันอบอวลด้วยกลิ่นอายตลาดโบราณออกสู่สายตาประชาชน ผู้คนไม่รู้มาจากไหนก็หลั่งไหลมาเที่ยวตลาด 100 ปี สามชุกกันเนืองแน่น
ในที่สุด “ตลาดสามชุก100 ปี” เกิดใหม่ คนสามชุกเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติ และไม่แยแสที่ถูกทางการทอดทิ้งอีกต่อไป เขาเดินหน้าขายความเก่า ขายเอกลักษณ์ไทยเดิมๆ ที่คนสมัยนี้โหยหา จนในที่สุดร้านรวงต่างๆ ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หยิบจับต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกันไม่ทันทีเดียว
ขายไม่ดีก็เดือดร้อน พอขายดีก็เดือดร้อนอีก คราวนี้ร้อนถึงกับพ่อแก่แม่เฒ่าหลายๆ บ้าน ต้องเรียกลูกๆ หนุ่มสาวกลับจากกรุงเทพฯ มาช่วยกันขายของในวันสุดสัปดาห์ที่แสนยุ่งขิง
ตัวอย่างเช่น ร้านข้าวแกงโบราณ ที่ปากทางตลาด ร้านนี้มีพ่อ แม่ และลูกชายรูปหล่ออีกสองคนช่วยกันตัก ช่วยกันเสิร์ฟ และล้างถ้วยชามลามไหชุลมุน ถามไถ่ได้ความว่า พ่อกะแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่วันหยุดชวนลูกๆ มาขายอาหาร ลูกชายคนโตเป็นวิศวรกรน้ำมัน ส่วนลูกอีกคนทำงานโฆษณาอยู่บริษัทใหญ่โต เงินเดือนของสี่คนพ่อแม่ลูกไม่ต้องพูดถึงอยู่ได้อย่างสบายๆ แต่ที่มาขายข้าวแกงวันหยุด เพราะแม่ชอบ และ อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ข้าวแกงสูตรไทยดั้งเดิมให้นักท่องเที่ยว ทำไปทำมาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เพราะรายได้หักกลบลบต้นทุนเหลือกำไรพอได้นั่งยิ้ม
หรือที่ร้านกาแฟโบราณ ที่ตั้งอยู่หัวมุมกลางตลาดสามชุกก็น่าสนใจ ที่นี่เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ในร้านวางโต๊ะหินอ่อนโบราณนับ 10 ชุด เคาน์เตอร์ชงกาแฟเก่าแก่คร่ำคร่าน่ามอง แสดงออกได้ว่าโต๊ะชุดนี้รับใช้คนชงมาแล้วหลายชั่วอายุคน กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ของร้านนี้หอยฉุยไปแต่ไกล ใครต่อใครก็ต้องแวะเวียนมานั่งกินกาแฟรับลมชมวิวแม่น้ำท่าจีนที่นี่กันทั้งนั้น ที่นี่จึงเป็นร้านเก่ากับคนใหม่
สำหรับร้านนี้อย่าทำเป็นเล่นไป ไม่เพียงกาแฟจะอร่อยเลิศล้ำเกินรำพันเท่านั้น แต่คนชงผัว-เมีย ยังเป็นผู้จัดการธนาคารทั้งคู่ด้วย ส่วนคนคั่วเมล็ดกาแฟหลังร้านที่หน้าตามอมแมมด้วยควันไฟนั่น ก็เป็นน้องชายคนชงที่วันปกติจะทำงานอยู่องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ และวันเสาร์ -อาทิตย์มาช่วยพี่ชาย และพี่สะใภ้คั่วกาแฟ
ความว่า นี่เป็นอาชีพดั้งเดิมของเตี่ยกับแม่ ที่ชงกาแฟเลี้ยงลูกมาด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และอดออมถนอมทรัพย์ จนลูกชายหญิงเรียนหนังสือจบสูงๆ เป็นใหญ่เป็นโตกันถ้วนหน้า
แต่สมาชิกเหล่านี้ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เมื่อสามชุกกำลังขาดใจตาย พวกเขาเอาความรู้มาช่วยบ้านเกิดเมืองนอน และชุบชีวิตคืนชีวาให้ตลาดสามชุกด้วยร้านกาแฟโบราณที่กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยไปทั้งคุ้งน้ำไม่ผิดเพี้ยนจากที่เตี่ยและแม่เคยทำขาย
ตลาดสามชุกมีเสน่ห์และของขายมากมาย ทั้งของกิน ของใช้ ทั้งร้านขายของเก่า ร้านถ่ายรูปโบราณ และพิพิธภัณฑ์ อยากได้อะไรที่เคยตราตรึงใจในอดีต ย้อนรำลึกความฝันความฝังใจในวันวานได้ที่ตลาดสามชุก 100 ปี
คนสามชุกเล่าว่า กว่าที่ตลาด 100 ปีจะเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติได้ก็แทบแดดิ้น ดีเสียว่าลูกหลานคนสามชุกไม่นั่งนิ่งดูดายยอมตายไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สู้ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นสู้ด้วยสติ ด้วยความรู้ และด้วยความอดทน พวกเขาได้พบว่า ชัยชนะของสามชุกที่ได้มาช่างแสนหอมหวาน และบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางหาว
แนวรบของสามชุกไม่เพียงแต่จะพลิกฟื้นคืนความสดใสให้กับตลาดสามชุก และชีวิตคนในตลาดแห่งนี้เท่านั้น แต่การต่อสู้ที่แสนทรหดของพวกเขายังพลิกฟื้นความมั่นใจในการต่อสู้ภาคประชาชนอีกด้วย
จากตลาดสามชุกที่กำลังยืนกำลังตายซาก จนถึงการพลิกโฉมกลับมาฉลุยยิ่งกว่าเดิมนั้น ตลาดสามชุกสู้มาด้วยตัวเอง โดยไม่มีนักการเมืองหน้าไหนปลายตามาเหลียวแลเลยแม้แต่คนเดียว
ไม่มีนักการเมืองยื่นหน้ามาช่วย ก็แปลว่า ไม่มีงบการเมืองยื่นมือมาพยุง ...นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักรบสามชุกจึงกลายมาเป็นนักรบมือตบในวันนี้ และคอนเสิร์ตการเมืองครั้งสำคัญกำลังจะเปิดเวทีที่สามชุก ....เรือน้อยกำลังจะไปเทียบท่าเรือสามชุกแล้วพี่น้องเอ๋ย
เที่ยวตลาดสามชุกได้ทั้งความสนุก และข้อคิด จากประสบการณ์ได้บอกกับเราว่า ที่ใดมีบรรหารที่นั่นย่อมมีงบประมาณ...ใช่หรือไม่ใช่ พี่น้อง
กลับจากตลาดสามชุกแล้วก็ให้ติดใจ เมื่อลมหนาวพัดโบกโบยโชยชื่นใจอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ขับรถกินลมชมวิว ...ล่าสุดขับรถไปงานสวัสดีปีใหม่ที่โรงเรียนผู้นำของลุงจำลอง จ.กาญจนบุรี
ขาไปแวะกราบสวัสดีปีใหม่กับหมอเดชา สุขารมย์ และครอบครัว ที่บ้านพักซึ่งอยู่ถึงก่อนโรงเรียนผู้นำนิดหน่อย
คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเสมอๆ พาพวกเราพี่ๆ น้องๆ จากเวทีพันธมิตรฯ ไปกินข้าวรับลมเย็นๆ ที่แพธาราบุรี ริมแม่น้ำไทรโยค ย่านนั้นเป็นย่านลือชื่อด้าน “แพเธค” มองไปทางไหนก็เจอแต่แพ ...แพ และแพ บางแพเป็นร้านอาหาร บางแพเป็นคาราโอเกะ แต่บางแพเป็นดิสโก้เธค โอ๊ยตาลาย
กินข้าวไปชมวิวไป คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเลยดูหมอไคโรให้พี่อมร อมรรัตนานนท์ ดูไปดูมาเลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ต้อนรับดวงดีที่กำลังมาถึงจาก “อมร” เลยกลายเป็น “อมรเทพ” จากดวง “เจ้าเสน่ห์” กลายเป็นดวง “นักรบผู้ชนะทุกสารทิศ”
คุณหมอเดชาอธิบายว่า ตำราหมอดูไคโรมีที่มาจากประเทศอียิปต์ เขาให้ดูง่ายๆประกอบกันหลายประการ ทั้งวัน เดือน ปี เกิด และชื่อเสียงเรียงนาม โดยนับชื่อ สกุล ได้เท่าไรเอาตัวเลขมารวมกันให้เหลือ 1 หลัก ถ้าได้เลข 1 หรือ 2 คือ ตั้งต้นใหม่เสมอ เลข 3 คือ รุ่งเรือง เลข 4 คือ ตายจาก เลข 5 คือ ความสำเร็จในทุกด้าน เลข 6 คือ เจ้าบทเจ้ากลอนยอดนักรัก เลข 7 คือ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เลข 8 คือ การเดินทางไปสู่ความตายก่อนถึงวัยอันควร และเลข 9 คือ โชติช่วงชัชวาล...เชื่อก็เชื่อ...ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ...แล้วแต่วิจารณญาณ
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เลขเท่าไร นับกันเอาเอง
แต่น่าพิศวงคือ สมาชิกในบ้านบรรหาร ศิลปอาชาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภรรยา และลูกชาย-หญิง ทุกคนมีชื่อรวมนามสกุลตกเลข 5 เหมือนกันหมด
น่าพิศวงไปยิ่งกว่านั้นเมื่อไปคำนวณดูจากรายนามของคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตรจะพบว่า น้องๆ รวมถึงข้าทาสบริวาร คนในคณะรัฐมนตรีของเขา ล้วนแล้วแต่มีชื่อ นามสกุล นับรวมกันได้เลข 4 หมด ยกเว้น “เมียเก่า” ดวงแข็งพลังอำนาจโชคลาภเสริมอดีตผัวดีเลิศ นับแล้วได้เลข 3 มั่งคั่งอลังการ....โถอย่างนี้แล้วยังตัดใจทิ้งได้ลงคอ ไม่น่าเลยเจ็บใจแทนยิ่งนัก
แต่ชะรอยในกงกรรมของทักษิณย่อมมีดีปนบ้างนะ เหมือนกับลูกชิ้นเนื้อแหละ ลองมีลูกชิ้นเนื้อล้วน ก็ย่อมมีลูกชิ้นเอ็นปนด้วย
เพราะคนที่เนรคุณจากเขาไปทุกคนทุกกลุ่ม มีชื่อ นามสกุล นับแล้วรวมกันได้เลข 2 ซึ่งแปลว่า เริ่มต้นใหม่ตลอดศกทั้งนั้นเลย...แต่ขอโทษนะพรรคใหม่ “ภูมิใจไทย” รวมแล้วได้ 9 อ่ะ
กินข้าวเคล้าดูหมอ กับหมอเดชาแล้วสนุกดี ไม่อยากจากกันเลย แต่ก็นั่นละทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา พวกเราลาคุณหมอ และภรรยาแสนสวย “พี่แต๋ว” กลับไปโรงเรียนผู้นำ
โอ๊ยหนาวจับขั้วหัวใจ โรงเรียนกลางขุนเขาช่างหนาวอะไรอย่างนี้หนอ ว่ากระนั้นแล้วก็ชวนผู้คนกว่าห้าหมื่นคนร้องเพลง เหน็บหนาวของพี่ยุพข่านกันดีกว่า
ร้องเพลงไป ฟังปราศรัยของแกนนำกลางโรงเรียนผู้นำไป บางคนนั่งฟัง บางคนนอนดูดาวสวย และทุกคนปักหลักพักค้าง ตื่นมาเช้าวันใหม่มีกำลังวังชา ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง พร้อมสู้กันต่อไป
จนกว่าสายลมรักจะเอื้ออาทร ให้เจ้าจรถึง “การเมืองใหม่”
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่า พายุหิมะถล่มลาสเวกัสในรอบ 35 ปี แถมมีหิมะตกหนักในอิหร่าน และอาร์เจนตินามากที่สุดในรอบ 25 ปี คงไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของฤดูหนาวที่เราจะมองผ่านเลยไป
เพราะนี่คือ ผลกระทบที่เห็นได้ด้วยตาเจอด้วยตัวเองจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่นักวิทยาศาสตร์พร่ำเตือนกันมาหลายปีแล้ว โลกของเรากำลังร้อนระอุขึ้นจาก “อุตสาหกรรมหนัก” ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนปกคลุมชั้นบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น กระแสน้ำเย็น – น้ำร้อนสลับสับเปลี่ยนวุ่นวาย และน้ำแข็งขั้วโลกกำลังค่อยๆ ละลายกลายเป็นกองทัพน้ำจำนวนมหึมา
อีกไม่นาน...ที่เขาว่ากันว่า น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว และหิมะจะตกในเมืองไทย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องไกลเกินความจริง
ถึงกระนั้นบ้านเรายามนี้ก็มีฤดูหนาวกับเขาเสียที นึกว่าจะมีแต่ร้อนกับร้อนมาก ดังนั้นอากาศดีๆ อย่างนี้ สมควรแก่สวมเสื้อหนาวตัวสวย เดินยิ้มแต้ แล้วออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านจะดีทีเดียวเชียว โดยเฉพาะการขับรถกินลมชมวิว
อาทิตย์ก่อน “พี่จิ๋ม” อดีตผู้บริหารของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่เกษียณอายุการทำงานก่อนถึงวันอันควร เพื่อมาเป็น “พันธมิตรฯ” ห้อรถเปอโยต์สปอร์ตเปิดประทุนรุ่นล่าสุดมารับถึงหน้าบ้านพระอาทิตย์ เพื่อมาชวนไป “กินลมชมวิว” ที่ชานเมือง
“ชานเมือง” ของพี่จิ๋ม คือ สุพรรณบุรี และจุดหมายแรกของการทัศนาจรของผู้หญิงเนื้อแน่นหนาปึ๊กสองคน คือ การไปเยือนมังกรทองยักษ์ใหญ่มหึมาที่พิพิธภัณฑ์สายเลือดมังกร
คะเนว่าที่นี่น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวคนจีนบนแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะคนจีนในแถบลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเขาลงลึกไปในรายละเอียดของคนจีนในเมืองสุพรรณบุรีแต่ครั้งหอบเสื่อผืน-หมอนใบมาขายกาแฟที่ตลาดท่าเรือ และบางจุดลงรายละเอียดชัดเจนแจ่มแจ๋วเจาะเข้าไปในตำนานของ “มังกรเติ้ง”
มองคร่าวๆ โฉบๆ ก็ได้แต่ร้อง “อ๋อ” เล่นกันอย่างนี้นี่เอง...เล่นไม่ยาก...สูตรเดิมของคนเตี้ยผู้ไม่ยอมปากแห้ง
เวลานี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล นำเอาพิพิธภัณฑ์มังกร แห่งสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขายด้วยแห่งหนึ่ง เห็นโฆษณาโปรโมตกันครึกโครมพอๆ กับสวนน้ำบึงฉวากนั่นเชียว
ไปเมืองสุพรรณแล้วก็ให้แต่นึกอิจฉาคนสุพรรณบุรี ที่มีนักการเมืองรักบ้านรักเมืองตอบแทนบุณคุณถิ่นฐานบ้านเกิด โหมพัฒนาเมืองสุพรรณเสียใหญ่โตสมฐานะ ชมเมืองสุพรรณแล้วชื่นใจ เมืองนี้แสนร่มรื่นงดงาม น้ำไหล ไฟสว่าง ถนนกว้าง ทางโล่ง และหอคอยสวย
ช่างเป็นเมืองที่มีคุณค่าที่คุณคู่ควรสมใจบรรหาร-แจ่มใส เสียจริงๆ เทียว
นอกจากนี้พี่จิ๋มยังพาไปสักการะ “หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์” ด้วย ได้เจอพันธมิตรฯ สุพรรณบุรีเพียบเลย พี่น้องของเรากุลีกุจอมาชักชวนไปเที่ยว “ตลาดสามชุก” ซึ่งเป็นตลาดอนุรักษ์ 100 ปี มีคนมาท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์
ตลาดสามชุกเป็นตำนานการต่อสู้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อก่อนที่นี่เป็นตลาดสดทำมาค้าขายกันคึกคัก ท่าเรือสามชุก เป็นท่าเรือสำคัญของเมืองสุพรรณแห่งหนึ่งด้วย คนแถบนี้จึงล้วนแต่มีฐานะ และส่งลูกหลานเรียนหนังสือสูงๆ ทั้งนั้น
นานๆ เข้ากาลเวลาก็พาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเสื่อมโทรมมาสู่สามชุก เมื่อสามชุกสิ้นมนต์ขลังหมดความนิยมลงไป ผู้คนก็พากันแหนงหน่าย หันไปจับจ่ายใช่สอยในห้างสรรพสินค้า และดีพาร์ตเมนต์สโตร์จากต่างแดนมากขึ้น
ทว่าคนสามชุกเป็นนักสู้ พวกเขารวมตัวกันต่อต้านการบุกรุกของห้างค้าปลีกข้ามชาติที่มาจ่อคอหอยที่ปากทางเข้าตลาดสามชุกอย่างไม่ย่นระย่อท้อ
ในที่สุดเกิดการรวมตัวของพันธมิตรฯ สามชุก มีการตั้งคณะกรรมการจากตัวแทนของผู้คนในชุมชน เพื่อประชุมหารือวางแนวทางแก้ไขสถานการณ์ตลาดสามชุกที่พวกเขาเรียกว่า “เงียบจนหูอื้อ”
สุดท้ายมติของที่ประชุมสั่งลุย คนสามชุกจึงสวมหัวใจนักสู้ ประกาศ “ไอ้เสือเอาวา” รบกับมันทุกรูปแบบไม่นับจำนวนม้วน เอาแค่ “ชนะ” ไม่ชนะไม่เลิกรบ
ในที่สุดพวกเขา สรุปความคิด คือ 1. ปรับตลาดสามชุกให้เป็นตลาดอนุรักษ์วัฒนธรรม 2. ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสื่อด้วยตัวเอง และ 3. ไม่มีวันก้มหัวให้นักการเมืองโกงบ้านกินเมืองที่อยู่เบื้องหลังห้างค้าปลีกข้ามชาติที่มารุกรานคนสามชุกอีกต่อไป...ลุย
คนสามชุกจึงพร้อมใจกันลุกขึ้นมาขัดสีฉวีวรรณ และปัดฝุ่นบ้านเรือนของตัวเอง จากนั้นก็ป่าวประกาศไปตามสื่อมวลชนต่างๆ เชื้อเชิญให้คนเหล่านั้นมาเยือนตลาดสามชุกยุคปรับปรุงใหม่ ที่เน้นบรรยากาศการย้อนอดีตเรือนโบราณของตลาดริมน้ำ และ อาหารรสมือแม่ ของแท้รสชาติดั้งเดิมแห่งเมืองสุพรรณบุรีมาเป็นจุดขาย
ไม่นานนักหลังข่าวสารความน่ารักอันอบอวลด้วยกลิ่นอายตลาดโบราณออกสู่สายตาประชาชน ผู้คนไม่รู้มาจากไหนก็หลั่งไหลมาเที่ยวตลาด 100 ปี สามชุกกันเนืองแน่น
ในที่สุด “ตลาดสามชุก100 ปี” เกิดใหม่ คนสามชุกเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติ และไม่แยแสที่ถูกทางการทอดทิ้งอีกต่อไป เขาเดินหน้าขายความเก่า ขายเอกลักษณ์ไทยเดิมๆ ที่คนสมัยนี้โหยหา จนในที่สุดร้านรวงต่างๆ ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หยิบจับต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกันไม่ทันทีเดียว
ขายไม่ดีก็เดือดร้อน พอขายดีก็เดือดร้อนอีก คราวนี้ร้อนถึงกับพ่อแก่แม่เฒ่าหลายๆ บ้าน ต้องเรียกลูกๆ หนุ่มสาวกลับจากกรุงเทพฯ มาช่วยกันขายของในวันสุดสัปดาห์ที่แสนยุ่งขิง
ตัวอย่างเช่น ร้านข้าวแกงโบราณ ที่ปากทางตลาด ร้านนี้มีพ่อ แม่ และลูกชายรูปหล่ออีกสองคนช่วยกันตัก ช่วยกันเสิร์ฟ และล้างถ้วยชามลามไหชุลมุน ถามไถ่ได้ความว่า พ่อกะแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่วันหยุดชวนลูกๆ มาขายอาหาร ลูกชายคนโตเป็นวิศวรกรน้ำมัน ส่วนลูกอีกคนทำงานโฆษณาอยู่บริษัทใหญ่โต เงินเดือนของสี่คนพ่อแม่ลูกไม่ต้องพูดถึงอยู่ได้อย่างสบายๆ แต่ที่มาขายข้าวแกงวันหยุด เพราะแม่ชอบ และ อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ข้าวแกงสูตรไทยดั้งเดิมให้นักท่องเที่ยว ทำไปทำมาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เพราะรายได้หักกลบลบต้นทุนเหลือกำไรพอได้นั่งยิ้ม
หรือที่ร้านกาแฟโบราณ ที่ตั้งอยู่หัวมุมกลางตลาดสามชุกก็น่าสนใจ ที่นี่เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น ในร้านวางโต๊ะหินอ่อนโบราณนับ 10 ชุด เคาน์เตอร์ชงกาแฟเก่าแก่คร่ำคร่าน่ามอง แสดงออกได้ว่าโต๊ะชุดนี้รับใช้คนชงมาแล้วหลายชั่วอายุคน กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ของร้านนี้หอยฉุยไปแต่ไกล ใครต่อใครก็ต้องแวะเวียนมานั่งกินกาแฟรับลมชมวิวแม่น้ำท่าจีนที่นี่กันทั้งนั้น ที่นี่จึงเป็นร้านเก่ากับคนใหม่
สำหรับร้านนี้อย่าทำเป็นเล่นไป ไม่เพียงกาแฟจะอร่อยเลิศล้ำเกินรำพันเท่านั้น แต่คนชงผัว-เมีย ยังเป็นผู้จัดการธนาคารทั้งคู่ด้วย ส่วนคนคั่วเมล็ดกาแฟหลังร้านที่หน้าตามอมแมมด้วยควันไฟนั่น ก็เป็นน้องชายคนชงที่วันปกติจะทำงานอยู่องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพฯ และวันเสาร์ -อาทิตย์มาช่วยพี่ชาย และพี่สะใภ้คั่วกาแฟ
ความว่า นี่เป็นอาชีพดั้งเดิมของเตี่ยกับแม่ ที่ชงกาแฟเลี้ยงลูกมาด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และอดออมถนอมทรัพย์ จนลูกชายหญิงเรียนหนังสือจบสูงๆ เป็นใหญ่เป็นโตกันถ้วนหน้า
แต่สมาชิกเหล่านี้ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เมื่อสามชุกกำลังขาดใจตาย พวกเขาเอาความรู้มาช่วยบ้านเกิดเมืองนอน และชุบชีวิตคืนชีวาให้ตลาดสามชุกด้วยร้านกาแฟโบราณที่กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยไปทั้งคุ้งน้ำไม่ผิดเพี้ยนจากที่เตี่ยและแม่เคยทำขาย
ตลาดสามชุกมีเสน่ห์และของขายมากมาย ทั้งของกิน ของใช้ ทั้งร้านขายของเก่า ร้านถ่ายรูปโบราณ และพิพิธภัณฑ์ อยากได้อะไรที่เคยตราตรึงใจในอดีต ย้อนรำลึกความฝันความฝังใจในวันวานได้ที่ตลาดสามชุก 100 ปี
คนสามชุกเล่าว่า กว่าที่ตลาด 100 ปีจะเอาชนะห้างค้าปลีกข้ามชาติได้ก็แทบแดดิ้น ดีเสียว่าลูกหลานคนสามชุกไม่นั่งนิ่งดูดายยอมตายไปทั้งๆ ที่ไม่ได้สู้ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นสู้ด้วยสติ ด้วยความรู้ และด้วยความอดทน พวกเขาได้พบว่า ชัยชนะของสามชุกที่ได้มาช่างแสนหอมหวาน และบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางหาว
แนวรบของสามชุกไม่เพียงแต่จะพลิกฟื้นคืนความสดใสให้กับตลาดสามชุก และชีวิตคนในตลาดแห่งนี้เท่านั้น แต่การต่อสู้ที่แสนทรหดของพวกเขายังพลิกฟื้นความมั่นใจในการต่อสู้ภาคประชาชนอีกด้วย
จากตลาดสามชุกที่กำลังยืนกำลังตายซาก จนถึงการพลิกโฉมกลับมาฉลุยยิ่งกว่าเดิมนั้น ตลาดสามชุกสู้มาด้วยตัวเอง โดยไม่มีนักการเมืองหน้าไหนปลายตามาเหลียวแลเลยแม้แต่คนเดียว
ไม่มีนักการเมืองยื่นหน้ามาช่วย ก็แปลว่า ไม่มีงบการเมืองยื่นมือมาพยุง ...นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักรบสามชุกจึงกลายมาเป็นนักรบมือตบในวันนี้ และคอนเสิร์ตการเมืองครั้งสำคัญกำลังจะเปิดเวทีที่สามชุก ....เรือน้อยกำลังจะไปเทียบท่าเรือสามชุกแล้วพี่น้องเอ๋ย
เที่ยวตลาดสามชุกได้ทั้งความสนุก และข้อคิด จากประสบการณ์ได้บอกกับเราว่า ที่ใดมีบรรหารที่นั่นย่อมมีงบประมาณ...ใช่หรือไม่ใช่ พี่น้อง
กลับจากตลาดสามชุกแล้วก็ให้ติดใจ เมื่อลมหนาวพัดโบกโบยโชยชื่นใจอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ขับรถกินลมชมวิว ...ล่าสุดขับรถไปงานสวัสดีปีใหม่ที่โรงเรียนผู้นำของลุงจำลอง จ.กาญจนบุรี
ขาไปแวะกราบสวัสดีปีใหม่กับหมอเดชา สุขารมย์ และครอบครัว ที่บ้านพักซึ่งอยู่ถึงก่อนโรงเรียนผู้นำนิดหน่อย
คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเสมอๆ พาพวกเราพี่ๆ น้องๆ จากเวทีพันธมิตรฯ ไปกินข้าวรับลมเย็นๆ ที่แพธาราบุรี ริมแม่น้ำไทรโยค ย่านนั้นเป็นย่านลือชื่อด้าน “แพเธค” มองไปทางไหนก็เจอแต่แพ ...แพ และแพ บางแพเป็นร้านอาหาร บางแพเป็นคาราโอเกะ แต่บางแพเป็นดิสโก้เธค โอ๊ยตาลาย
กินข้าวไปชมวิวไป คุณหมอเดชาอารมณ์ดีเลยดูหมอไคโรให้พี่อมร อมรรัตนานนท์ ดูไปดูมาเลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ต้อนรับดวงดีที่กำลังมาถึงจาก “อมร” เลยกลายเป็น “อมรเทพ” จากดวง “เจ้าเสน่ห์” กลายเป็นดวง “นักรบผู้ชนะทุกสารทิศ”
คุณหมอเดชาอธิบายว่า ตำราหมอดูไคโรมีที่มาจากประเทศอียิปต์ เขาให้ดูง่ายๆประกอบกันหลายประการ ทั้งวัน เดือน ปี เกิด และชื่อเสียงเรียงนาม โดยนับชื่อ สกุล ได้เท่าไรเอาตัวเลขมารวมกันให้เหลือ 1 หลัก ถ้าได้เลข 1 หรือ 2 คือ ตั้งต้นใหม่เสมอ เลข 3 คือ รุ่งเรือง เลข 4 คือ ตายจาก เลข 5 คือ ความสำเร็จในทุกด้าน เลข 6 คือ เจ้าบทเจ้ากลอนยอดนักรัก เลข 7 คือ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เลข 8 คือ การเดินทางไปสู่ความตายก่อนถึงวัยอันควร และเลข 9 คือ โชติช่วงชัชวาล...เชื่อก็เชื่อ...ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ...แล้วแต่วิจารณญาณ
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เลขเท่าไร นับกันเอาเอง
แต่น่าพิศวงคือ สมาชิกในบ้านบรรหาร ศิลปอาชาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภรรยา และลูกชาย-หญิง ทุกคนมีชื่อรวมนามสกุลตกเลข 5 เหมือนกันหมด
น่าพิศวงไปยิ่งกว่านั้นเมื่อไปคำนวณดูจากรายนามของคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตรจะพบว่า น้องๆ รวมถึงข้าทาสบริวาร คนในคณะรัฐมนตรีของเขา ล้วนแล้วแต่มีชื่อ นามสกุล นับรวมกันได้เลข 4 หมด ยกเว้น “เมียเก่า” ดวงแข็งพลังอำนาจโชคลาภเสริมอดีตผัวดีเลิศ นับแล้วได้เลข 3 มั่งคั่งอลังการ....โถอย่างนี้แล้วยังตัดใจทิ้งได้ลงคอ ไม่น่าเลยเจ็บใจแทนยิ่งนัก
แต่ชะรอยในกงกรรมของทักษิณย่อมมีดีปนบ้างนะ เหมือนกับลูกชิ้นเนื้อแหละ ลองมีลูกชิ้นเนื้อล้วน ก็ย่อมมีลูกชิ้นเอ็นปนด้วย
เพราะคนที่เนรคุณจากเขาไปทุกคนทุกกลุ่ม มีชื่อ นามสกุล นับแล้วรวมกันได้เลข 2 ซึ่งแปลว่า เริ่มต้นใหม่ตลอดศกทั้งนั้นเลย...แต่ขอโทษนะพรรคใหม่ “ภูมิใจไทย” รวมแล้วได้ 9 อ่ะ
กินข้าวเคล้าดูหมอ กับหมอเดชาแล้วสนุกดี ไม่อยากจากกันเลย แต่ก็นั่นละทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา พวกเราลาคุณหมอ และภรรยาแสนสวย “พี่แต๋ว” กลับไปโรงเรียนผู้นำ
โอ๊ยหนาวจับขั้วหัวใจ โรงเรียนกลางขุนเขาช่างหนาวอะไรอย่างนี้หนอ ว่ากระนั้นแล้วก็ชวนผู้คนกว่าห้าหมื่นคนร้องเพลง เหน็บหนาวของพี่ยุพข่านกันดีกว่า
ร้องเพลงไป ฟังปราศรัยของแกนนำกลางโรงเรียนผู้นำไป บางคนนั่งฟัง บางคนนอนดูดาวสวย และทุกคนปักหลักพักค้าง ตื่นมาเช้าวันใหม่มีกำลังวังชา ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง พร้อมสู้กันต่อไป
จนกว่าสายลมรักจะเอื้ออาทร ให้เจ้าจรถึง “การเมืองใหม่”