ขอต้อนรับกลับเข้าสู่เมืองไทยในปีฉลู วัวดุเป็นบ้า ไปไหว้พระ ไหว้เจ้า ดูหมอกันตามประเพณีนิยมดีกว่า
ปีนี้บรรดากูรูผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเชื่ออิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และความศรัทธา แนะนำว่า ควรตั้งจิตอธิษฐานกราบไหว้ “เจ้าแม่กวนอิม” เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลให้กับตัวเองและผู้อื่น
ซึ่งหมายความว่า จะต้องบำเพ็ญศีล ภาวนา และสักการะเจ้าแม่กวนอิมด้วยใจบริสุทธิ์ พร้อมอุทิศตนช่วยงานบุญงานกุศลจนถึงการช่วยเพื่อนมนุษย์ในทุกๆ ด้านเท่าที่พึงกระทำได้
ที่สำคัญศิษย์เจ้าแม่กวนอิมมีความเชื่อต่อๆ กันมาว่า ต้องงดเว้นการบริโภค “เนื้อวัว” เพื่อเป็นการทำทานเพิ่มบารมีด้วย
เมื่อหลายปีก่อน มีรุ่นพี่คนหนึ่งชวนให้ไปเป็นเพื่อน “ดูหมอ” แถวถนนเจริญนคร หมอดูท่านนี้เป็นสุภาพสตรีวัยกลางคนเชื้อสายจีน บุคลิกสูงโปร่ง ผิวขาว ใบหน้าสวยหวาน ตาเรียว จมูกโด่งได้รูปงดงาม ผมรวบตึงตลอดเวลา เธอผู้นี้มีบุคลิกลักษณะอ่อนช้อย พูดจาไพเราะ เสียงหวาน ใจเย็น และแต่งกายด้วยชุดสีขาวหัวจรดปลายเท้า ใครๆ ที่รู้จักหมอดูท่านนี้มักจะเรียกขานเธอว่า “อาแจ้ ศิษย์เจ้าแม่กวนอิม”
“อาแจ้” หรือพี่สาวมีวิธีการดูหมอไม่เหมือนใคร เพราะเธอจะตรวจดวงชะตาให้เฉพาะกับคนทุกข์ที่เดินทางไปพบเธอถึง “บ้าน” ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ในซอยเจริญนคร 35 เท่านั้น เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะบ้านของอาแจ้จะเปิดต้อนรับแขกตั้งแต่ 4 ทุ่ม เป็นต้นไป และดูดวงได้เพียงวันละ 4 คน ทุกคนต้องโทรศัพท์จองตอน 1 ทุ่มของทุกวันเพื่อขอคิวจากอาแจ้ ใครพลาดคิวต้องไปรอต่อคิวใหม่ บางทีเป็นวัน และบางทีรอกันเป็นเดือน
สุภาพสตรีผู้นี้ถูกเชื่อว่า มีดวงตาสวรรค์ เห็นอดีต รู้อนาคต คำทำนายของเธอเป็นที่กล่าวขานในย่านนั้นตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
อาแจ้ เกิดมาพร้อมกับการถือศีลกินเจตั้งแต่จำความได้ ทำนายดวงชะตาให้ผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เธอแนะหนทางปลดทุกข์ให้คนลำบากได้หลุดพ้นด้วยวิธีการกราบไหว้บำเพ็ญศีลภาวนา สักการะเทวดาฟ้าดิน ขอพรสิ่งศักดิ์ คิดดีทำดี หลายคนที่หลุดพ้นจึงเชื่อกันว่า เธอ คือ มนุษย์เดินดินผู้ได้พรวิเศษจากเจ้าแม่กวนอิม
เรื่องแปลกของอาแจ้ ไม่ได้มีแค่ทำนายแม่นยำราวตาเห็น หรือกระบวนการการเข้าถึงที่แสนยากเข็ญเท่านั้น แต่สนนราคาค่าตรวจดวงชะตาก็นับว่าแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร เพราะหมอดูโด่งดังหลายคนมีค่าดูหมอแพงหูฉี่ชนิดที่คนเคราะห์หามยามร้ายก็หงายหลังตกเก้าอี้มีเคราะห์เพิ่มเข้าไปอีก
แต่สำหรับอาแจ้ ค่าดูหมอของเธอ ถูกแสนถูก...ถูกจนไม่น่าเชื่อ
เพียงแค่ได้คิวจากทางโทรศัพท์ ก็ไปนั่งรออาแจ้ได้ที่บ้านก่อน 4 ทุ่ม เมื่ออาแจ้สวดมนต์เสร็จจะเดินลงมาจากเล่าเต๊ง ชั้น 2 พร้อมกับยิ้มหวานแสนเย็นใจ จากนั้นจะเรียกผู้ทุกข์ใจเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานกลางบ้านทีละคน การทำนายจะเริ่มจาก 4 ทุ่มเป็นต้นไปจนล่วงเข้าสู่วันใหม่ในจำนวนเพียงวันละ 4 คน เท่านั้น
การตรวจดวงจะเริ่มกระบวนการตั้งแต่ผู้ทุกข์ใจทุกคนต้องบอกวัน เดือน ปีเกิด และ หยิบไพ่เก่าๆ จากมืออาแจ้ 1 ใบ ไพ่ใบนี้เก่าจนถลอกมองอะไรแทบไม่รู้เรื่อง เมื่ออาแจ้หงายไพ่แล้ว เธอจะหลับตา ตอนนั้นใจเราจะเต้นตึกตักๆ ผ่านไปไม่นาน อาแจ้จะเปิดเปลือกตาพร้อมคำพยากรณ์ที่พรั่งพรู และวินาทีนั้นเองที่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราจะถูกร้อยเรียงกันเข้าเป็นเรื่องเดียวกันจากผู้ทำนายแปลกหน้าชนิดคาดไม่ถึง
เมื่อการทำนายสิ้นสุดลงอาแจ้จะเปิดโอกาสให้ถามได้เล็กน้อย จากนั้นจะเรียกน้องสาวให้จัดชุดไหว้ตามดวงชะตาและเคราะห์กรรมคนละถุง ในถุงประกอบด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง อาหารแห้ง 4 อย่าง มีวุ้นเส้น และเห็ด 3 ชนิด พร้อมแนบคำสั่งให้ไปไหว้เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง และไปซื้อส้ม 4 ลูก น้ำมัน 1 ขวด ธูป เทียน ตามจำนวนที่กำหนดเอาเองทั้งหมดนี้ให้นำไปไหว้ที่วัดเล่งเน่ยยี่ เยาวราชเท่านั้น
สุดท้ายอาแจ้จะระบุจำนวนครั้งของการไหว้ และครั้งต่อไปให้จัดหาของไหว้ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปกันเองตามอัธยาศัย ที่จัดให้ชุดแรกถือเป็นตัวอย่าง ...เท่านี้เป็นอันสิ้นสุดการดูหมอกับอาแจ้ ไม่คิดตังค์แต่ให้ทำบุญค่าของไหว้ราคา 80-200 บาทเท่านั้น
เงินจำนวนนี้อาแจ้เก็บรวบรวมไว้ แล้วจะนำไปทำบุญตามวัดในท้องถิ่นทุรกันดารทุกปีไม่มี “เม้ม”
การไปดูหมอกับอาแจ้นับว่าประหลาดแล้ว แต่กระบวนการไปกราบไหว้บวงสรวงขอพรกับเทพยดาฟ้าดินยิ่งประหลาดกว่า
เพราะอาแจ้จะกำหนดให้เราไปไหว้ตอนเช้าตรู่ ยิ่งเช้ายิ่งดี ไปถึงก็ซื้อส้ม 4 ลูก น้ำมันพืช 1 ขวด และธูป เทียน เมื่อได้ของครบก็เอากระดาษเงิน กระดาษทองที่อาแจ้จัดไว้ให้มารองของไหว้ นำของไหว้ของอาแจ้มาวางด้านบน พร้อมด้วยส้มและน้ำมัน จุดธูป เทียน กราบเทวดาฟ้าดินที่อาแจ้กำหนด อธิษฐานให้หนำใจ บางดวงต้องไหว้เจ้าแม่กวนอิม แต่บางดวงต้องไหว้เทพเจ้าดวงชะตา
ช่วงเวลาของการกราบไหว้ขอพรนี้ อาแจ้สั่งห้ามพูดจากับใครทั้งนั้น เมื่อธูปหมดไปกว่าครึ่งดอก ให้ดึงกระดาษเงิน กระดาษทองออกมา แล้วถือด้วยมือขวา ปัดแบบพัดตั้งแต่หัวจรดเอว ต้องปัดออกเท่านั้น เป็นการปัดเป่าทุกข์ออกไปจากตัวเรา การปัดนี้ให้นับจำนวนเกินกว่าอายุของเรา 1 ปี เช่น ถ้าเราอายุ 30 ปี ก็ปัด 31 ครั้ง อันนี้ต้องนับตามอายุแบบจีนเท่านั้น
เมื่อปัดเสร็จก็เอาน้ำมันไปรินใส่ในเชิงเทียนประจำศาล อธิษฐานขอให้รุ่งโรจน์ จากนั้นก็เอาของไหว้ทั้งหมดกลับไปกินต่อที่บ้าน แล้วรวบกระดาษปัดทั้งปึกเดินออกจากศาลไปทางเตาเผา แล้วโยนลงไปเผา จากนั้นก็เดินออกทางประตูเตาเผาแล้ววิ่งออกไปอย่าได้หันกลับมามองวัดอีกเป็นอันขาด จำไว้ว่าทั้งกระบวนการห้ามพูดกับใครใดๆทั้งสิ้น
ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนครบตามกำหนดที่อาแจ้แนะนำ ซึ่งธิดาสวรรค์คนนี้บอกว่า การปัดเป่า บวกกับการถือศีลจะช่วยเพิ่มบุญบารมี ทำให้เรามีสุข สดใส ไม่หมองคล้ำ คิดการสิ่งใดปลอดโปร่งราบรื่น และสุดท้ายจะประสบความสำเร็จ
ของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อแต่ละคน และวิจารญาณในการสดับตรับฟัง เพราะเห็นมาอย่างนี้ก็เล่าไปตามที่เห็น และได้ยินมา
หลังจากที่เพื่อนรุ่นพี่พาไปพบกับอาแจ้แล้ว ก็ทำให้เราสองคนมีกิจกรรมดีๆ เพิ่มขึ้นในตอนเช้าตรู่กับการ “ปัด” ที่วัดเล่งเน่ยยี่
วัดจีนโบราณแห่งนี้ในยามเช้าสวยดี ควันธูปน้อย ไหว้เสร็จยังได้ออกมาหาอะไรกินได้เอร็ดอร่อย อิ่มบุญ อิ่มท้อง ชื่นใจ คลายเครียดได้ดี
อาทิตย์นี้ได้มีโอกาสรำลึกถึงอาแจ้ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี เพราะไม่มีธุระปะปังอะไรไปรบกวนให้ช่วยตรวจดูดวงชะตา
แต่มานึกถึงได้อีกทีเมื่อเห็นอาแจ้กับพรรคพวกแต่งกายชุดขาวงดงามมาเป็นนักรบมือตบที่ทำเนียบรัฐบาล ถามไถ่จากเพื่อนฝูงได้ความว่า อาแจ้ใจบุญของเราเป็นพวก “ลูกจีนรักชาติ” ออกมาสู้กับทรราชโกงบ้านกินเมือง และจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดตั้งแต่ปี 2549 และมาเริ่มกันใหม่อีกครั้งตั้งแต่มัฆวานฯ ความว่า ธิดาสวรรค์ของเราเป็นพันธมิตรฯ “ดาวกระจาย” เป็นว่าเล่น เห็นไหม “พันธมิตรฯ” ไม่มีเส้นแบ่งจริงๆ
ได้ยินเรื่องนี้แล้วชื่นใจที่อาแจ้ไม่ลืม “พระบรมโพธิสมภาร” ขององค์มิ่งขวัญผู้เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม
เพื่อนๆ ที่ไปหาไปเยี่ยมอาแจ้ในวันปีใหม่ นำข้อคิดและคำทำนายแสนซาบซึ้งจากอาแจ้มาฝากอดีตนักศึกษาเอกวิชาประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทั้งตรี และโทจาก UCLA ว่า
“คุณสนธิจะพบกับความสุขและชัยชนะในฐานะที่อดีตชาติ คือ นักรบแห่งพระราชา แต่กว่าที่คุณสนธิจะพบกับชัยชนะ คุณสนธิจะต้องเดินฝ่าอาวุธร้าย เปลวไฟ เลือดไหลโทรมกาย และบาดแผลเต็มตัว แต่สุดท้ายชัยชนะของประชาชน คือ ความสำเร็จของคุณสนธิ ซึ่งไม่ใช่ปีนี้แต่จะมาปีหน้า ในปีขาล ในที่สุดคุณสนธิจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เขียนประวัติศาสตร์ด้วยตัวเองให้ประชาชนอ่านและศึกษา”
ฟังแล้วตกหลุมความเชื่อทันที จริงไม่จริงยังไม่รู้ รู้แต่ว่า การมีแสงสว่างรำไรๆ ที่ปลายถ้ำ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลยในยามนี้ ยามที่ประมุขบ้านพระอาทิตย์ตกอยู่ในภาวะ “กลืนเลือด”
นึกถึงอาแจ้ทีไร จะนึกถึง “จอย” แม่หมอจากสิงคโปร์ที่นั่น ได้เจอกันตอนไป “ดอนเมือง” พี่จอยมาหาแล้วอาสาตรวจดวงให้ เธอบอกว่า ชัยชนะของสีเหลืองคือ ชัยชนะของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นชัยชนะของกองทัพคนดีที่ถือธงธรรม ธรรมะจะจัดสรรนำทางแห่งโชคมาสู่ทุกคนที่ร่วมขบวนคนดีกู้ชาติ
นึกถึงพี่จอยก็ไพล่ไปนึกถึง “หมอตาทิพย์แห่งป่าซาง” คนนี้เป็นผู้ชาย เห็นอนาคตจากความฝัน แม่นยำจนน่ากลัว รายนี้เอกอุทางด้านการแก้กรรม “คุณหญิงคนนั้น” เคยให้คนมารอรับถึงสนามบินเพื่อพาไปพักที่บ้าน แล้วบังคับให้ฝันค้นหาอนาคตให้ตัวเองและสามีบ้าอำนาจ
ความฝันอันมืดมิดพรั่งพรูจากปาก เป็นคำทำนายของชายธรรมดาที่เปิดปริศนาชีวิต 4 ข้อว่า 1. จะเรืองยศ เรืองเกียรติ เปี่ยมอำนาจ มากเงินตรา หาใครเทียบเทียม 2. ต่อมาจะหมดยศ ไร้เกียรติ ก้มหน้าลงดิน สิ้นศักดิ์ศรี หมดบารมีเพราะบริวาร และความทะยานอยากแห่งตน ทรัพย์สินที่หามาได้จะหมดลงไปด้วยบริวารเลว ทรัพย์ศฤงคารจะร่อยหรอและเหลือน้อยลงเท่ากับที่เคยเป็นมา 3. จากนั้นจะถูกประชาชนสีเหลืองขับไล่ และหนีหน้า เร้นกายไปตายในต่างแดน และ 4. เป็นปริศนาข้อสุดท้าย ที่ฟ้าดินลงโทษ เป็นเวรกรรมที่แก้ไม่ได้ ใช้ไม่หมด เจ้ากรรมนายเวรมีทั่วไปทั้งแผ่นดิน สิ้นสุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ไร้รังนอน และเอนกายกับผืนดิน มีเพียงเมียและลูกในชุดดำร่ำไห้ เดียวดาย แต่คนทั้งแผ่นดินจะจดจำเจ้าชะตาได้แม่นมั่นนิรันดรไม่ลืมเลือน
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำทำนายประวัติศาสตร์ ซึ่งมีที่มาจากนักประวัติศาสตร์ และเขียนด้วยเลือดของพี่น้องพันธมิตรฯ จนในที่สุดทำให้ “พ่อบุญธรรมของนักร้องคนนั้น” กลายเป็นสิ่งชำรุดในประวัติศาสตร์สีดำของการเมืองไทยไปตราบนิจนิรันดร์
ปีนี้บรรดากูรูผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเชื่ออิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และความศรัทธา แนะนำว่า ควรตั้งจิตอธิษฐานกราบไหว้ “เจ้าแม่กวนอิม” เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลให้กับตัวเองและผู้อื่น
ซึ่งหมายความว่า จะต้องบำเพ็ญศีล ภาวนา และสักการะเจ้าแม่กวนอิมด้วยใจบริสุทธิ์ พร้อมอุทิศตนช่วยงานบุญงานกุศลจนถึงการช่วยเพื่อนมนุษย์ในทุกๆ ด้านเท่าที่พึงกระทำได้
ที่สำคัญศิษย์เจ้าแม่กวนอิมมีความเชื่อต่อๆ กันมาว่า ต้องงดเว้นการบริโภค “เนื้อวัว” เพื่อเป็นการทำทานเพิ่มบารมีด้วย
เมื่อหลายปีก่อน มีรุ่นพี่คนหนึ่งชวนให้ไปเป็นเพื่อน “ดูหมอ” แถวถนนเจริญนคร หมอดูท่านนี้เป็นสุภาพสตรีวัยกลางคนเชื้อสายจีน บุคลิกสูงโปร่ง ผิวขาว ใบหน้าสวยหวาน ตาเรียว จมูกโด่งได้รูปงดงาม ผมรวบตึงตลอดเวลา เธอผู้นี้มีบุคลิกลักษณะอ่อนช้อย พูดจาไพเราะ เสียงหวาน ใจเย็น และแต่งกายด้วยชุดสีขาวหัวจรดปลายเท้า ใครๆ ที่รู้จักหมอดูท่านนี้มักจะเรียกขานเธอว่า “อาแจ้ ศิษย์เจ้าแม่กวนอิม”
“อาแจ้” หรือพี่สาวมีวิธีการดูหมอไม่เหมือนใคร เพราะเธอจะตรวจดวงชะตาให้เฉพาะกับคนทุกข์ที่เดินทางไปพบเธอถึง “บ้าน” ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ในซอยเจริญนคร 35 เท่านั้น เรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะบ้านของอาแจ้จะเปิดต้อนรับแขกตั้งแต่ 4 ทุ่ม เป็นต้นไป และดูดวงได้เพียงวันละ 4 คน ทุกคนต้องโทรศัพท์จองตอน 1 ทุ่มของทุกวันเพื่อขอคิวจากอาแจ้ ใครพลาดคิวต้องไปรอต่อคิวใหม่ บางทีเป็นวัน และบางทีรอกันเป็นเดือน
สุภาพสตรีผู้นี้ถูกเชื่อว่า มีดวงตาสวรรค์ เห็นอดีต รู้อนาคต คำทำนายของเธอเป็นที่กล่าวขานในย่านนั้นตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
อาแจ้ เกิดมาพร้อมกับการถือศีลกินเจตั้งแต่จำความได้ ทำนายดวงชะตาให้ผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เธอแนะหนทางปลดทุกข์ให้คนลำบากได้หลุดพ้นด้วยวิธีการกราบไหว้บำเพ็ญศีลภาวนา สักการะเทวดาฟ้าดิน ขอพรสิ่งศักดิ์ คิดดีทำดี หลายคนที่หลุดพ้นจึงเชื่อกันว่า เธอ คือ มนุษย์เดินดินผู้ได้พรวิเศษจากเจ้าแม่กวนอิม
เรื่องแปลกของอาแจ้ ไม่ได้มีแค่ทำนายแม่นยำราวตาเห็น หรือกระบวนการการเข้าถึงที่แสนยากเข็ญเท่านั้น แต่สนนราคาค่าตรวจดวงชะตาก็นับว่าแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร เพราะหมอดูโด่งดังหลายคนมีค่าดูหมอแพงหูฉี่ชนิดที่คนเคราะห์หามยามร้ายก็หงายหลังตกเก้าอี้มีเคราะห์เพิ่มเข้าไปอีก
แต่สำหรับอาแจ้ ค่าดูหมอของเธอ ถูกแสนถูก...ถูกจนไม่น่าเชื่อ
เพียงแค่ได้คิวจากทางโทรศัพท์ ก็ไปนั่งรออาแจ้ได้ที่บ้านก่อน 4 ทุ่ม เมื่ออาแจ้สวดมนต์เสร็จจะเดินลงมาจากเล่าเต๊ง ชั้น 2 พร้อมกับยิ้มหวานแสนเย็นใจ จากนั้นจะเรียกผู้ทุกข์ใจเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานกลางบ้านทีละคน การทำนายจะเริ่มจาก 4 ทุ่มเป็นต้นไปจนล่วงเข้าสู่วันใหม่ในจำนวนเพียงวันละ 4 คน เท่านั้น
การตรวจดวงจะเริ่มกระบวนการตั้งแต่ผู้ทุกข์ใจทุกคนต้องบอกวัน เดือน ปีเกิด และ หยิบไพ่เก่าๆ จากมืออาแจ้ 1 ใบ ไพ่ใบนี้เก่าจนถลอกมองอะไรแทบไม่รู้เรื่อง เมื่ออาแจ้หงายไพ่แล้ว เธอจะหลับตา ตอนนั้นใจเราจะเต้นตึกตักๆ ผ่านไปไม่นาน อาแจ้จะเปิดเปลือกตาพร้อมคำพยากรณ์ที่พรั่งพรู และวินาทีนั้นเองที่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราจะถูกร้อยเรียงกันเข้าเป็นเรื่องเดียวกันจากผู้ทำนายแปลกหน้าชนิดคาดไม่ถึง
เมื่อการทำนายสิ้นสุดลงอาแจ้จะเปิดโอกาสให้ถามได้เล็กน้อย จากนั้นจะเรียกน้องสาวให้จัดชุดไหว้ตามดวงชะตาและเคราะห์กรรมคนละถุง ในถุงประกอบด้วยกระดาษเงิน กระดาษทอง อาหารแห้ง 4 อย่าง มีวุ้นเส้น และเห็ด 3 ชนิด พร้อมแนบคำสั่งให้ไปไหว้เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง และไปซื้อส้ม 4 ลูก น้ำมัน 1 ขวด ธูป เทียน ตามจำนวนที่กำหนดเอาเองทั้งหมดนี้ให้นำไปไหว้ที่วัดเล่งเน่ยยี่ เยาวราชเท่านั้น
สุดท้ายอาแจ้จะระบุจำนวนครั้งของการไหว้ และครั้งต่อไปให้จัดหาของไหว้ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปกันเองตามอัธยาศัย ที่จัดให้ชุดแรกถือเป็นตัวอย่าง ...เท่านี้เป็นอันสิ้นสุดการดูหมอกับอาแจ้ ไม่คิดตังค์แต่ให้ทำบุญค่าของไหว้ราคา 80-200 บาทเท่านั้น
เงินจำนวนนี้อาแจ้เก็บรวบรวมไว้ แล้วจะนำไปทำบุญตามวัดในท้องถิ่นทุรกันดารทุกปีไม่มี “เม้ม”
การไปดูหมอกับอาแจ้นับว่าประหลาดแล้ว แต่กระบวนการไปกราบไหว้บวงสรวงขอพรกับเทพยดาฟ้าดินยิ่งประหลาดกว่า
เพราะอาแจ้จะกำหนดให้เราไปไหว้ตอนเช้าตรู่ ยิ่งเช้ายิ่งดี ไปถึงก็ซื้อส้ม 4 ลูก น้ำมันพืช 1 ขวด และธูป เทียน เมื่อได้ของครบก็เอากระดาษเงิน กระดาษทองที่อาแจ้จัดไว้ให้มารองของไหว้ นำของไหว้ของอาแจ้มาวางด้านบน พร้อมด้วยส้มและน้ำมัน จุดธูป เทียน กราบเทวดาฟ้าดินที่อาแจ้กำหนด อธิษฐานให้หนำใจ บางดวงต้องไหว้เจ้าแม่กวนอิม แต่บางดวงต้องไหว้เทพเจ้าดวงชะตา
ช่วงเวลาของการกราบไหว้ขอพรนี้ อาแจ้สั่งห้ามพูดจากับใครทั้งนั้น เมื่อธูปหมดไปกว่าครึ่งดอก ให้ดึงกระดาษเงิน กระดาษทองออกมา แล้วถือด้วยมือขวา ปัดแบบพัดตั้งแต่หัวจรดเอว ต้องปัดออกเท่านั้น เป็นการปัดเป่าทุกข์ออกไปจากตัวเรา การปัดนี้ให้นับจำนวนเกินกว่าอายุของเรา 1 ปี เช่น ถ้าเราอายุ 30 ปี ก็ปัด 31 ครั้ง อันนี้ต้องนับตามอายุแบบจีนเท่านั้น
เมื่อปัดเสร็จก็เอาน้ำมันไปรินใส่ในเชิงเทียนประจำศาล อธิษฐานขอให้รุ่งโรจน์ จากนั้นก็เอาของไหว้ทั้งหมดกลับไปกินต่อที่บ้าน แล้วรวบกระดาษปัดทั้งปึกเดินออกจากศาลไปทางเตาเผา แล้วโยนลงไปเผา จากนั้นก็เดินออกทางประตูเตาเผาแล้ววิ่งออกไปอย่าได้หันกลับมามองวัดอีกเป็นอันขาด จำไว้ว่าทั้งกระบวนการห้ามพูดกับใครใดๆทั้งสิ้น
ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนครบตามกำหนดที่อาแจ้แนะนำ ซึ่งธิดาสวรรค์คนนี้บอกว่า การปัดเป่า บวกกับการถือศีลจะช่วยเพิ่มบุญบารมี ทำให้เรามีสุข สดใส ไม่หมองคล้ำ คิดการสิ่งใดปลอดโปร่งราบรื่น และสุดท้ายจะประสบความสำเร็จ
ของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อแต่ละคน และวิจารญาณในการสดับตรับฟัง เพราะเห็นมาอย่างนี้ก็เล่าไปตามที่เห็น และได้ยินมา
หลังจากที่เพื่อนรุ่นพี่พาไปพบกับอาแจ้แล้ว ก็ทำให้เราสองคนมีกิจกรรมดีๆ เพิ่มขึ้นในตอนเช้าตรู่กับการ “ปัด” ที่วัดเล่งเน่ยยี่
วัดจีนโบราณแห่งนี้ในยามเช้าสวยดี ควันธูปน้อย ไหว้เสร็จยังได้ออกมาหาอะไรกินได้เอร็ดอร่อย อิ่มบุญ อิ่มท้อง ชื่นใจ คลายเครียดได้ดี
อาทิตย์นี้ได้มีโอกาสรำลึกถึงอาแจ้ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี เพราะไม่มีธุระปะปังอะไรไปรบกวนให้ช่วยตรวจดูดวงชะตา
แต่มานึกถึงได้อีกทีเมื่อเห็นอาแจ้กับพรรคพวกแต่งกายชุดขาวงดงามมาเป็นนักรบมือตบที่ทำเนียบรัฐบาล ถามไถ่จากเพื่อนฝูงได้ความว่า อาแจ้ใจบุญของเราเป็นพวก “ลูกจีนรักชาติ” ออกมาสู้กับทรราชโกงบ้านกินเมือง และจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดตั้งแต่ปี 2549 และมาเริ่มกันใหม่อีกครั้งตั้งแต่มัฆวานฯ ความว่า ธิดาสวรรค์ของเราเป็นพันธมิตรฯ “ดาวกระจาย” เป็นว่าเล่น เห็นไหม “พันธมิตรฯ” ไม่มีเส้นแบ่งจริงๆ
ได้ยินเรื่องนี้แล้วชื่นใจที่อาแจ้ไม่ลืม “พระบรมโพธิสมภาร” ขององค์มิ่งขวัญผู้เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม
เพื่อนๆ ที่ไปหาไปเยี่ยมอาแจ้ในวันปีใหม่ นำข้อคิดและคำทำนายแสนซาบซึ้งจากอาแจ้มาฝากอดีตนักศึกษาเอกวิชาประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทั้งตรี และโทจาก UCLA ว่า
“คุณสนธิจะพบกับความสุขและชัยชนะในฐานะที่อดีตชาติ คือ นักรบแห่งพระราชา แต่กว่าที่คุณสนธิจะพบกับชัยชนะ คุณสนธิจะต้องเดินฝ่าอาวุธร้าย เปลวไฟ เลือดไหลโทรมกาย และบาดแผลเต็มตัว แต่สุดท้ายชัยชนะของประชาชน คือ ความสำเร็จของคุณสนธิ ซึ่งไม่ใช่ปีนี้แต่จะมาปีหน้า ในปีขาล ในที่สุดคุณสนธิจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เขียนประวัติศาสตร์ด้วยตัวเองให้ประชาชนอ่านและศึกษา”
ฟังแล้วตกหลุมความเชื่อทันที จริงไม่จริงยังไม่รู้ รู้แต่ว่า การมีแสงสว่างรำไรๆ ที่ปลายถ้ำ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลยในยามนี้ ยามที่ประมุขบ้านพระอาทิตย์ตกอยู่ในภาวะ “กลืนเลือด”
นึกถึงอาแจ้ทีไร จะนึกถึง “จอย” แม่หมอจากสิงคโปร์ที่นั่น ได้เจอกันตอนไป “ดอนเมือง” พี่จอยมาหาแล้วอาสาตรวจดวงให้ เธอบอกว่า ชัยชนะของสีเหลืองคือ ชัยชนะของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นชัยชนะของกองทัพคนดีที่ถือธงธรรม ธรรมะจะจัดสรรนำทางแห่งโชคมาสู่ทุกคนที่ร่วมขบวนคนดีกู้ชาติ
นึกถึงพี่จอยก็ไพล่ไปนึกถึง “หมอตาทิพย์แห่งป่าซาง” คนนี้เป็นผู้ชาย เห็นอนาคตจากความฝัน แม่นยำจนน่ากลัว รายนี้เอกอุทางด้านการแก้กรรม “คุณหญิงคนนั้น” เคยให้คนมารอรับถึงสนามบินเพื่อพาไปพักที่บ้าน แล้วบังคับให้ฝันค้นหาอนาคตให้ตัวเองและสามีบ้าอำนาจ
ความฝันอันมืดมิดพรั่งพรูจากปาก เป็นคำทำนายของชายธรรมดาที่เปิดปริศนาชีวิต 4 ข้อว่า 1. จะเรืองยศ เรืองเกียรติ เปี่ยมอำนาจ มากเงินตรา หาใครเทียบเทียม 2. ต่อมาจะหมดยศ ไร้เกียรติ ก้มหน้าลงดิน สิ้นศักดิ์ศรี หมดบารมีเพราะบริวาร และความทะยานอยากแห่งตน ทรัพย์สินที่หามาได้จะหมดลงไปด้วยบริวารเลว ทรัพย์ศฤงคารจะร่อยหรอและเหลือน้อยลงเท่ากับที่เคยเป็นมา 3. จากนั้นจะถูกประชาชนสีเหลืองขับไล่ และหนีหน้า เร้นกายไปตายในต่างแดน และ 4. เป็นปริศนาข้อสุดท้าย ที่ฟ้าดินลงโทษ เป็นเวรกรรมที่แก้ไม่ได้ ใช้ไม่หมด เจ้ากรรมนายเวรมีทั่วไปทั้งแผ่นดิน สิ้นสุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ไร้รังนอน และเอนกายกับผืนดิน มีเพียงเมียและลูกในชุดดำร่ำไห้ เดียวดาย แต่คนทั้งแผ่นดินจะจดจำเจ้าชะตาได้แม่นมั่นนิรันดรไม่ลืมเลือน
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำทำนายประวัติศาสตร์ ซึ่งมีที่มาจากนักประวัติศาสตร์ และเขียนด้วยเลือดของพี่น้องพันธมิตรฯ จนในที่สุดทำให้ “พ่อบุญธรรมของนักร้องคนนั้น” กลายเป็นสิ่งชำรุดในประวัติศาสตร์สีดำของการเมืองไทยไปตราบนิจนิรันดร์