xs
xsm
sm
md
lg

จัดพอร์ตลงทุนให้ฉลุยตลอดปีฉลู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร. พิชิต อัคราทิตย์
คำถาม : คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหม?...ที่ขาดทุนจากการลงทุนในปีที่ผ่านมา
คำตอบที่ 1 : ขาดทุนแบบครึ่งต่อครึ่งเลยครับ
คำตอบที่ 2 : ตอนต้นปี ก็หวังว่าจะได้ผลตอบแทนสูง เลยลงทุนหุ้นไปเต็มที่เลย แต่ดีนะที่ไหวตัวทัน เลยขาดทุนไม่มาก
คำตอบที่ 3 : ขาดทุนแบบนี้ เข็ดเลยครับ ปีนี้ขอเก็บไว้ในแบงก์ดีกว่าครับ เพราะยังไงก็ยังรับประกันเต็มจำนวนอยู่
คำตอบที่ 4 : ลงทุนตราสารหนี้เอาไว้ สิ้นปีที่ผ่านมา รับผลตอบแทนไปแบบเต็มๆ เลยครับ


คำถามและคำตอบเหล่านี้...เชื่อว่าบรรดาท่านนักลงทุนหลายๆ คน อาจจะพอได้ยินกันมาบ้าง หรือไม่บางท่าน ก็อาจจะประสบด้วยตัวเอง ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากใครสามารถรับความเสี่ยงได้ก็ดีไป แต่ใครที่รับความเสี่ยงแบบนี้ไม่ได้ อาจจะเข็ดจนไม่กล้าลงทุนอีกเลยก็เป็นได้

ต้องยอมรับว่าวิกฤตซับไพรม์ ที่ลุกลามไปสู่วิกฤตการเงิน จนกระทบเป็นโดมิโน กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจของโลกในปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก บางคนถึงขั้นหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะลงทุนในทุกรูปแบบ เพราะเกรงว่าหากลงทุนไปแล้ว ผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น หรือเรียกว่า "ขาดทุน" นั่นเอง

เอาเป็นว่า ใครที่ผิดหวังจากปีที่แล้ว ก็ขอให้ลืมทิ้งไป มาเริ่มต้นใหม่ในปีฉลูนี้ดีกว่า ซึ่งการที่สถานการณ์เศรษฐกิจของโลก รวมถึงในประเทศเองกลับมาเฟื่องฟูเหมือนเดิมอีกครั้ง น่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ที่ทุกคนอยากได้...แต่อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้น คงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและเยียวยา เนื่องมาจากความเสียหายดังกล่าว ส่งผลกระทบไปในวงกว้างพอสมควร ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารที่จะนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุน จึงเป็นประเด็นที่สำคัญ ที่น่าจะช่วยให้เราจัดพอร์ตการลงทุนให้ฉลุยในปีฉลูนี้ได้อย่างเหมาะสม

"ตราสารหนี้-กองอสังหาฯ"ลงทุนได้
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนของปี 2552 ว่า หากมองในมุมกว้างเป็นที่ยอมรับกันว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังคงชะลอตัวอยู่ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปและประเทศไทย ซึ่งจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีปรับลดลง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทหลักทรัพย์น้อยลงเช่นกัน ดังนั้นการลงทุนในปีหน้าก็จะไม่ค่อยกระเตื้องเท่าไรนัก

โดยในช่วงครึ่งปีแรก ประมาณไตรมาส 1-2 การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะให้ผลตอบแทนไม่มากนักหรือทำกำไรได้ยากเลยทีเดียว แต่นักลงทุนคงไม่ต้องตั้งตารอนานเพราะในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นอาจจะมีมากขึ้นกว่าตอนนี้ ทั้งหุ้นของต่างประเทศและในต่างประเทศไทยเอง ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงนี้ถือว่าค่อนข้างมีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นในปีหน้านักลงทุนคงจะต้องหันมาพึ่งพาการลงทุนในตราสารหนี้ สาเหตุที่ควรจะมาลงทุนในกองทุนประเภทนี้ เพื่อเป็นการรักษามูลค่าสินทรัพย์ของผู้ลงทุนที่มีอยู่ หมายถึง การมุ่งเน้นที่จะรักษาเงินต้นไม่ให้กระทบหรือขาดทุน เนื่องจากการลงทุน รวมถึงผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอน กองทุนตราสารหนี้ก็ถือว่าเหมาะสมกับความต้องการ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจและพอจะลงทุนได้ นั่นคือ กองทุนที่เข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประเทศไทยนั้นกองทุนประเภทนี้ย์ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ผู้ลงทุนจะต้องพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีความสามารถในการทำรายได้ที่แน่นอน รวมถึงมีหลักประกันที่เชื่อถือได้ และมีการการันตีเรื่องของรายได้ที่จะเข้ามาหมุนเวียนอยู่ในกองทุน ส่วนกองทุนที่ไม่แนะนำให้ไปลงทุนก็น่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์ เนื่องจากผลตอบแทนที่ไม่ค่อยดีในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ปีหน้าถือว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของตราสารอนุพันธ์

สำหรับเศรษฐกิจในปีหน้า ของต่างประเทศและในประเทศไทยเอง ผู้ลงทุนทุกท่าน จะต้องระมัดระวังตัวในการลงทุนมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ในช่วงของครึ่งปีแรกของ 2552 เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนัก แต่ในครึ่งปีหลัง อาจจะมีการพัฒนามากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ ณ เวลานั้นด้วย ว่าการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลของไทยและทุกๆ ประเทศทั่วโลก ทั้ง สหรัฐฯ อเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรปมีวิธีการแก้ไขที่ดีหรือไหม ถ้าหากทุกประเทศรวมทั้งไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ดี แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวก็มีมากขึ้น

"เนื่องจากการลงทุนในปีหน้ามีทางเลือกที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้น กองทุนที่อยากจะแนะนำให้ลงทุนน่าจะเป็นตราสารหนี้ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่มาก และอีกหนึ่งประเภทที่น่าสนใจ คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นกองทุนที่ค่อนข้างมีความมั่นคง ผลตอบแทนที่ได้รับก็น่าจะคุ้มค่า แต่อาจจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าหากนักลงทุนอยากจะลงทุนในหุ้น ก็ควรจะต้องพิจารณาเป็นรายตัวไป ดูว่าหุ้นตัวไหนมีพื้นฐานดีก็อาจจะลงได้ หรือถ้าเป็นการลงทุนในหุ้นระยะยาว 2-3 ปี อาจจะใช้กลยุทธ์การซื้อหุ้นแบ่งเป็นเดือนๆ เดือนละเท่าๆ กันเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แต่ก็ไม่ค่อยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นมากนัก"นายพิชิต กล่าว

ลงทุนแบบพอเพียงไม่สร้างหนี้
นายมณฑล จุนชยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกองทุน บลจ. ธนชาต กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในปี 2009 ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งก่อน เพราะเมื่อครั้งนั้นประเทศเราไม่มีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่ในระบบจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัจจุบันนี้ถึงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดีแต่ว่าเราก็ยังมีเม็ดเงินจำนวนหนึ่งอยู่และสามารถนำไปแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจได้ แต่ว่าถึงจะมีเงินอยู่แล้วตัวของรัฐบาลเองจะต้องแก้ไขให้ถูกจุดให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ ในเรื่องของการลงทุนกับตลาดหุ้นยังมีการเคลื่อนไหวตามความคาดหมายของหลายๆ คน โดยในปีหน้าช่วงไตรมาส 1-2 ตลาดหุ้นนั้นยังมีการผันผวนอยู่ เนื่องมาจากการแก้ไขปัญหาของทุกๆ ประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยยังไม่ออกมาเป็นรูปธรรมมากนัก แต่คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ตั้งแต่ไตรมาส 3 ขึ้นไป แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของทุกๆ ประเทศน่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นแล้วหรือบางปัญหาอาจจะมีการแก้ไขไปบ้างแล้วในครึ่งปีแรกก็จะส่งผลให้สภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

เขากล่าวว่า ในปีหน้าตลาดหุ้นยังคงมีความเสี่ยงอยู่พอสมควรหากนักลงทุนจะทำการลงทุน อันดับแรกควรจะพิจารณาว่าในกระเป๋าของคุณมีเงินอยู่ในปริมาณมากน้อยเท่าไร และสภาพจิตใจของคุณสามารถรองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

ประการที่สอง การลงทุนในทุกประเภท โดยเฉพาะหุ้น อยากจะขอให้นักลงทุนใช้เงินเก็บของตัวเองที่มี มาใช้ในการนำเงินจำนวนนั้นไปลงทุนในกองทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ ฯลฯ ไม่แนะนำให้เอาเงินกู้ คือ เงินที่ไม่ใช่ของเราจริงๆ เป็นเงินที่เราไปกู้ธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นๆ มาลงทุนเพราะมันจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่นักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการกู้มันก็ก่อให้เกิดดอกเบี้ยในจำนวนหนึ่งแก่ผู้กู้เงินอยู่แล้ว และถ้าหากเอาเงินที่กู้ที่ไปลงทุนขาดทุนก็จะส่งผลให้ผู้ลงทุนเกิดปัญหาหนี้สินตามมาได้

สำหรับผู้ที่สนใจที่จะลงทุนในหุ้นควรจะมองหาการลงทุนในระยะยาวน่าจะส่งผลดีกว่าการลงทุนในระยะสั้น และควรจะเลือก สรรหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี และพิจารณาไปถึงตัวบริษัทว่าต้องมีผลประกอบการที่ดีด้วย ผลการดำเนินงานต้องเข็งแรงและมีประวัติการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง นอกจากนี้ หากลงทุนในหุ้นแบบระยะยาวก็อยากจะแนะนำให้ซื้อหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และอาจจะใช้กลยุทธ์ทะยอยซื้อหุ้นทีละเดือนๆ ละเท่าๆ กัน อย่างเช่น อาจจะซื้อหุ้นตัว A 10,000 บาท/เดือน เดือนหน้าก็ซื้อหุ้นตัวเดิมในปริมาณที่เท่าเดิมหรืออาจจะลงทุนในกองทุนอื่นๆ เพื่อลดอัตราความเสี่ยง แต่สำหรับบุคคลที่ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น ตราสารหนี้เลยก็ควรจะหันมาลงทุนในกองทุนรวมแทน เพราะว่ามันจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงในอีกทางหนึ่ง เนื่องจากตัวของกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการลงทุนทุกประเภทเข้ามาช่วยเราดูแลในเรื่องของการลงทุนมากขึ้น

"ในปีหน้านี้ถือว่าเป็นโอกาสของคนร่ำรวย คนที่มีเงินเก็บจำนวนมากที่จะลงทุน ส่วนคนที่มีเงินน้อยหรือไม่ชอบความเสี่ยง ก็ยังมีโอกาสในการลงทุนได้อยู่ ซึ่งอยากจะแนะนำให้ไปลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตัวของพันธบัตรรัฐบาล เพราะมันค่อนข้างปลอดภัย ความเสี่ยงก็ไม่มากจนเกินรับไหว แต่ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าหุ้น" นายมณฑล กล่าว

ระยะยาวหุ้นให้ผลตอบแทนงาม
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. อยุธยา กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจของโลกคงจะไม่ดีเท่าไรนัก เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจจะติดลบประมาณ 2% กว่า ทางฝั่งยุโรปเองอาจจะติดลบเล็กน้อย ส่วนทางญี่ปุ่นก็มีการติดลบเล็กน้อยเช่นกัน โดย 3 ทวีปหลักๆ ของโลก ค่าจีดีพีค่อนข้างติดลบ แต่ทวีปทางเอเชียเศรษฐกิจอาจจะดีกว่าเล็กน้อย เพราะเศรษฐกิจของจีนเองก็มีการเติบโตประมาณ 6-7 % ประเทศไทยเองก็อาจจะมีการเติบโตประมาณ 0-1%
ส่วนเรื่องของหุ้น ก็ยังมีการปรับตัวขึ้น-ลงอยู่ เมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะมีการปรับลดลงมา ซึ่งจุดนี้เป็นความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ถ้าในระยะยาวเรื่องของหุ้นก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี ถ้าหากผู้ลงทุนเลือกลงทุนในบริษัทที่ดี มีผลประกอบการเป็นบวก ซึ่งมีอยู่หลายบริษัทที่ผลประกอบการเกียวกับหุ้นยังคงดีอยู่ และในหลายๆ บริษัทเมื่อหุ้นสูงขึ้นบริษัทก็จะมีการปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น

โดยในเดือนมกราคม 2552 ดอกเบี้ยของประเทศไทยอาจจะมีการปรับลดลงอีกประมาณ 0.5-1% ในตอนนี้ ดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ 2.75% ซึ่งคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยอาจจะมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีหน้า เพราะการลดดอกเบี้ยถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง และการลดอัตราดอกเบี้ยยังเป็นตัวช่วยให้หุ้นมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น และเชื่อว่าในปีหน้าตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้

ในต้นปีที่ผ่านมานี้ ตราสารหนี้มีทิศทางที่ดี และน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐบาล เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จึงส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น ผู้ลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ในต้นปีที่ผ่านมาและถือในระยะยาวถือว่าได้รับประโยชน์พอสมควร แต่ถ้าหากว่าเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัว ส่งผลให้ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ก็จะทำให้ราคาของตราสารหนี้ถูกลง จึงเชื่อว่าปีหน้าตราสารหนี้อาจมีคามผันผวน ซึ่งตลาดตราสารหนี้จะมีทิศทางที่ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้น ถ้าตลาดหุ้นฟื้นตัว มีราคาสูงก็จะทำให้ตลาดตราสารหนี้ไม่ดี มีราคาถูก

"หากนักลงทุนอยากลงทุนในปีหน้า อยากจะแนะนำให้แบ่งการลงทุนเป็นส่วนๆ คือ ลงทุนในหุ้นส่วนหนึ่ง ลงทุนในตราสารหนี้ส่วนหนึ่ง ที่แนะนำเช่นนี้ เพื่อให้การลงทุนเกิดความสมดุล เพราะตลาดหุ้นกับตลาดตราสารหนี้ มีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน การลงทุนอย่างละครึ่งเป็นการถัวเฉลี่ยความเสี่ยง และผลตอบแทนที่จะได้รับ คล้ายๆ กับการชงกาแฟ หุ้นก็คือกาแฟ แล้วตราสารหนี้ก็คือน้ำตาล เอามารวมกันแล้วเราก็จะได้รสชาติที่กลมกล่อมนั่นเอง"

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอีกประการหนึ่ง แต่ว่ามันก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ค่าของเงินในประเทศที่เราเลือกเข้าไปลงทุน เพราะฉะนั้น เราควรเลือกลงทุนในสกุลเงินที่ค่อนข้างดี และจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย และในการลงทุนต่างประเทศ จำพวกอสังหาฯ มีให้เลือกมากมายหลายแบบ ดังนั้น ก่อนที่จะลงทุนต้องทำการศึกษาให้ดีก่อน แล้วต้องดูว่าเราไปลงทุนเพื่อเพิมผลตอบแทน หรือไปลงทุนเพื่อกระจายการลงทุน ลดความเสี่ยง สำหรับนักลงทุนที่สนใจอยากจะลงทุนในต่างประเทศจริงๆ ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี แต่ว่าการลงทุนในต่างประเทศนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศมากพอสมควร หากนักลงทุนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศเลย ก็ไม่แนะนำให้ลงทุนเพราะอาจจะขาดทุนได้

จัดสูตรลงทุน"หุ้น20%ตราสารหนี้80%"
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ. ทหารไทย กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในปีหน้าว่า จากสภาวะทางเศรษฐกิจของต่างประเทศและในประเทศเกิดการชะลอตัว ในครึ่งปีแรกของปี 2009 จะต้องระมัดระวังในเรื่องของการส่งออก โรงแรม ด้านสถาบันทางการเงินเองก็ต้องระมัดระวัง ซึ่งทาง บลจ. ทหารไทยเองก็ได้มีระมัดระวัง และดูแลในเรื่องของเครดิตและความเสี่ยง คือ ทางบลจ.จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก เห็นได้จากการที่ทางบลจ. ไม่ได้เปิดกองทุนอะไรเพิ่มเติม และก็ไม่มีการลงทุนในตัวอื่นๆ เลย แต่จะเน้นลงทุนแต่พันธบัตรรัฐบาล ส่วนในภาพรวมก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จะได้เตรียมรับมือและปรับทิศทางการลงทุน ซึ่งตอนนี้ได้รัฐบาลใหม่แล้ว ก็ต้องจับตามองว่ารัฐบาลของไทยชุดใหม่จะมีการแก้ไขปัญหาอย่างไร และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรปจะมีการฟื้นตัวหรือไม่

"เนื่องจากแนวโน้มของเศรษฐกิจในปีหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงขอแนะนำให้นักลงทุนลงทุนลงทุนในหุ้นประมาณ 20% แล้วที่เหลืออีก 80% อาจจะเอาไปลงทุนในตราสารหนี้ พวกพันธบัตรรัฐบาล แต่ต้องเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุยาว ประมาณ 2-3 ปี สาเหตุที่แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ประเภทพันธบัตรมากๆ เพราะว่าในปีหน้า คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยน่าจะมีการปรับลดลง ส่งผลให้ตราสารหนี้มีราคาสูงขึ้น อีกทั้งเรื่องของความเสี่ยงก็น้อยกว่าการลงทุนในหุ้น แต่จะต้องเป็นการลงทุนในระยะยาวๆ แต่สำหรับคนที่อาชีพยังไม่มั่นคง ยังต้องใช้เงินหมุนเวียนอยู่ ไม่สามารถถือตราสารหนี้ในระยะยาวได้ ก็อาจจะหันมาถือตราสารหนี้ในระยะสั้น 6เดือน-1 ปีแทนก็ได้ ซึ่งสถานการณ์ในปีหน้านี้ ควรเก็บเงินสดไว้เยอะหน่อย เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง และดอกเบี้ยอาจจะมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง"

สุดท้าย ขอฝากถึงเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ ต้องคอยจับตาเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเพราะมันค่อนข้างจะผันผวน ฉะนั้นหากไปลงทุนในต่างประเทศควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างเช่น ของ บลจ. ทหารไทยได้มีอยู่กองทุนหนึ่งที่เป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ แล้วมีการป้องกันความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน" นายกำพล กล่าว

...ได้ฟังความคิดเห็นและข้อแนะนำที่หลากหลายจากผู้เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนกันแล้ว ทำให้เราพอมองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจ และการลงทุนในปีหน้า ว่าจะออกมาในทิศทางใด คุณสามารถนำความคิดเห็นและข้อแนะนำข้างต้นไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในปีหน้า แต่ก็ควรใช้ความระมัดระวังให้มากในการลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว ว่าคุณสนใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใด จะเลือกลงทุนอย่างไร และรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ "การลงทุนของคุณฉลุยในปีฉลู"นี้
นาย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
นาย กำพล อัศวกุลชัย
กำลังโหลดความคิดเห็น