ภาษีแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ ชัดเจน เพิ่มเพดานลงทุนจาก 5 แสน เป็น 7 แสน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลคุ้มครอบคลุม ถึงยอดซื้อตั้งแต่ตุลาคมถึงสิ้นปี ผู้จัดการกองทุนชี้ เป็นเรื่องดี แต่ก็เอื้อเฉพาะคนรวยบางกลุ่มเท่านั้น ประเมินยอดลงทุน ไม่ช่วยเพิ่มเม็ดเงินในตลาดหุ้น-ตราสารหนี้มากนัก หรือประมาณ 1-2 พันล้านบาท
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติขยายเพดานการลงทุนสำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมระยะยาว (LTF) ชั่วคราวเฉพาะเงินที่ลงทุนในปีนี้จากไม่เกิน 15% ของรายได้และไม่เกิน 5 แสนบาท มาเป็น ไม่เกิน 15% ของรายได้และไม่เกิน 7 แสนบาท นั้น บัดนี้กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖๗ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ซึ่งเป็นกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ได้ประกาศในราชกิจจานนุเบกษาแล้ว ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า สามารถลงทุนตามสิทธิที่ขยายไปได้เต็มที่ ขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของแต่ละคน
ทั้งนี้ ในปีภาษี 2551 หากผู้ลงทุนได้มีการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ผู้ลงทุนมีสิทธินำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในวงเงินสูงสุดถึง 700,000 บาท ไปลดเงินได้พึงประเมินก่อนคำนวณภาษี เป็นไปตามสิทธิของแต่ละรายซึ่งต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และหักเงินสะสมที่ผู้ลงทุนส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กับ กบข.แล้ว
นอกจากนี้ สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยาว (LTF) นั้น ในปีภาษี 2551 หากผู้ลงทุนซื้อ LTF ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ก็มีสิทธินำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในวงเงินสูงสุด 700,000 บาท ไปลดเงินได้พึงประเมินก่อนคำนวณภาษีได้ แต่ก็ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินเช่นเดียวกัน
อนึ่ง หากผู้ลงทุนในกองทุนรวมทั้งสองประเภทไม่ได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้ลงทุนก็จะไม่ได้รับสิทธิตามกฎกระทรวงฉบับนี้ คือ ได้รับสิทธิเพียงไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท ตามเกณฑ์เดิมเท่านั้น
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ความชัดเจนดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนมีเงินเดือนสูง ที่สามารถซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 5 แสน เป็น 7 แสน ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น ที่ได้สิทธิดังกล่าว ซึ่งการเพิ่มวงเงินนี้ คงจะถูกใจผู้มีรายได้สูง แต่การเพิ่มวงเงินเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยให้เม็ดเงินในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ เพิ่มขึ้นมากนัก โดจอาจจะเพิ่มขึ้นแค่ 1-2 พันล้านบาทเท่านั้น เพราะว่านักลงทุนเองมีกำลังซื้อมีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม จากมติของ ครม.ที่ปรับเพิ่มวงเงินของแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ จาก 5 แสนเป็น 7 แสนบาทนั้น มีผลตั้งแต่ตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ดังนั้น นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็คงยังได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนเดิม
ด้าน นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ความชัดเจนดังกล่าวมีผลดีเยอะ เพราะตอนนี้การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี ความเสี่ยงต่ำมีอยู่น้อย ดังนั้น การที่นักลงทุนสามารถออมและมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทำให้มีความหมายมากต่อนักลงทุนมาก ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นทั้งข่าวดี และเป็นเหมือนของขวัญปีใหม่ของนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่เคยขาดทุนในแอลทีเอฟ และมีความลังเลที่จะลงทุน ก็อยากจะแนะนำว่า กองทุนแอลทีเอฟที่ให้ผลประโยชน์ ของการประหยัดภาษีค่อนข้างเยอะ ซึ่งถือว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ
สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนในความเสี่ยงต่ำ อยากจะแนะนำกองทุนเปิดวรรณ สมาร์ท หุ้นระยะยาว (1SMART LTF) ที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับหนึ่ง โดยเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน ที่สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ ไม่นับรวมการใช้ประโยชน์ทางด้านภาษี
ทั้งนี้ การที่กฎกระทรวงได้ประกาศในราชกิจจานนุเบกษาแล้ว ก็จะครอบคลุมตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ดังนั้น นักลงทุนที่ซื้อตั้งแต่เดือนตุลาคม ก็ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์นี้อยู่ ส่วนแผนการตลาดหลังจากความชัดเจนดังกล่าว ก็จะพยายามประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนได้รู้มากที่สุด แต่กลยุทธ์ที่ถือว่าได้ผล คงจะเป็นการบอกต่อของลูกค้า ที่เข้ามาลงทุนในกองทุน 1SMART LTF ซึ่งทุกวันนี้มีคนเข้ามาลงทุนในกองทุนนี้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากความชัดเจนของการขยายเพดานการลงทุนจาก 5 แสนบาทเป็น 7 แสนบาทแล้ว ในส่วนของกองทุนแอลทีเอฟเอง ช่วงที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีการยกเลิกเกณฑ์การขายหน่วยลงทุนปีละ 2 ครั้งด้วย ซึ่งหลังจากการยกเลิกดังกล่าว บรรดาบริษัทจัดการกองทุน ต่างออกมาขานรับ ด้วยการเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนแอลทีเอฟได้ทุกวันทำการ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนแอลทีเอฟภายใต้การบริหารของ บลจ.บัวหลวง บลจ.ทหารไทย รวมถึง บลจ.ธนชาต ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน การสับเปลี่ยนออกกองทุนดังกล่าว แต่ในส่วนของเงื่อนไขการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรยังคงเป็นเช่นเดิม โดยที่ผู้ลงทุนยังต้องถือหน่วยลงทุนที่ได้ซื้อไว้ในแต่ละครั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ปฏิทินของเงินลงทุนในแต่ละก้อน จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดไปจากเงื่อนไขการลงทุน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติขยายเพดานการลงทุนสำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมระยะยาว (LTF) ชั่วคราวเฉพาะเงินที่ลงทุนในปีนี้จากไม่เกิน 15% ของรายได้และไม่เกิน 5 แสนบาท มาเป็น ไม่เกิน 15% ของรายได้และไม่เกิน 7 แสนบาท นั้น บัดนี้กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๖๗ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ซึ่งเป็นกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ได้ประกาศในราชกิจจานนุเบกษาแล้ว ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า สามารถลงทุนตามสิทธิที่ขยายไปได้เต็มที่ ขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของแต่ละคน
ทั้งนี้ ในปีภาษี 2551 หากผู้ลงทุนได้มีการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ผู้ลงทุนมีสิทธินำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในวงเงินสูงสุดถึง 700,000 บาท ไปลดเงินได้พึงประเมินก่อนคำนวณภาษี เป็นไปตามสิทธิของแต่ละรายซึ่งต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และหักเงินสะสมที่ผู้ลงทุนส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กับ กบข.แล้ว
นอกจากนี้ สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยาว (LTF) นั้น ในปีภาษี 2551 หากผู้ลงทุนซื้อ LTF ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ก็มีสิทธินำเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในวงเงินสูงสุด 700,000 บาท ไปลดเงินได้พึงประเมินก่อนคำนวณภาษีได้ แต่ก็ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินเช่นเดียวกัน
อนึ่ง หากผู้ลงทุนในกองทุนรวมทั้งสองประเภทไม่ได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้ลงทุนก็จะไม่ได้รับสิทธิตามกฎกระทรวงฉบับนี้ คือ ได้รับสิทธิเพียงไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท ตามเกณฑ์เดิมเท่านั้น
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ความชัดเจนดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนมีเงินเดือนสูง ที่สามารถซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มจาก 5 แสน เป็น 7 แสน ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น ที่ได้สิทธิดังกล่าว ซึ่งการเพิ่มวงเงินนี้ คงจะถูกใจผู้มีรายได้สูง แต่การเพิ่มวงเงินเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยให้เม็ดเงินในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ เพิ่มขึ้นมากนัก โดจอาจจะเพิ่มขึ้นแค่ 1-2 พันล้านบาทเท่านั้น เพราะว่านักลงทุนเองมีกำลังซื้อมีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม จากมติของ ครม.ที่ปรับเพิ่มวงเงินของแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ จาก 5 แสนเป็น 7 แสนบาทนั้น มีผลตั้งแต่ตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ดังนั้น นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็คงยังได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนเดิม
ด้าน นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวว่า ความชัดเจนดังกล่าวมีผลดีเยอะ เพราะตอนนี้การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี ความเสี่ยงต่ำมีอยู่น้อย ดังนั้น การที่นักลงทุนสามารถออมและมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทำให้มีความหมายมากต่อนักลงทุนมาก ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นทั้งข่าวดี และเป็นเหมือนของขวัญปีใหม่ของนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนที่เคยขาดทุนในแอลทีเอฟ และมีความลังเลที่จะลงทุน ก็อยากจะแนะนำว่า กองทุนแอลทีเอฟที่ให้ผลประโยชน์ ของการประหยัดภาษีค่อนข้างเยอะ ซึ่งถือว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ
สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนในความเสี่ยงต่ำ อยากจะแนะนำกองทุนเปิดวรรณ สมาร์ท หุ้นระยะยาว (1SMART LTF) ที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับหนึ่ง โดยเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน ที่สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ ไม่นับรวมการใช้ประโยชน์ทางด้านภาษี
ทั้งนี้ การที่กฎกระทรวงได้ประกาศในราชกิจจานนุเบกษาแล้ว ก็จะครอบคลุมตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ดังนั้น นักลงทุนที่ซื้อตั้งแต่เดือนตุลาคม ก็ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์นี้อยู่ ส่วนแผนการตลาดหลังจากความชัดเจนดังกล่าว ก็จะพยายามประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนได้รู้มากที่สุด แต่กลยุทธ์ที่ถือว่าได้ผล คงจะเป็นการบอกต่อของลูกค้า ที่เข้ามาลงทุนในกองทุน 1SMART LTF ซึ่งทุกวันนี้มีคนเข้ามาลงทุนในกองทุนนี้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากความชัดเจนของการขยายเพดานการลงทุนจาก 5 แสนบาทเป็น 7 แสนบาทแล้ว ในส่วนของกองทุนแอลทีเอฟเอง ช่วงที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีการยกเลิกเกณฑ์การขายหน่วยลงทุนปีละ 2 ครั้งด้วย ซึ่งหลังจากการยกเลิกดังกล่าว บรรดาบริษัทจัดการกองทุน ต่างออกมาขานรับ ด้วยการเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนแอลทีเอฟได้ทุกวันทำการ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนแอลทีเอฟภายใต้การบริหารของ บลจ.บัวหลวง บลจ.ทหารไทย รวมถึง บลจ.ธนชาต ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน การสับเปลี่ยนออกกองทุนดังกล่าว แต่ในส่วนของเงื่อนไขการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรยังคงเป็นเช่นเดิม โดยที่ผู้ลงทุนยังต้องถือหน่วยลงทุนที่ได้ซื้อไว้ในแต่ละครั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ปฏิทินของเงินลงทุนในแต่ละก้อน จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดไปจากเงื่อนไขการลงทุน